บทนำ: หุ้น Value คืออะไร และทำไมนักลงทุนไทยควรรู้จัก?
ในตลาดการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและโอกาสหลากหลาย การรู้จักประเภทหุ้นและวิธีการลงทุนที่เหมาะสมถือเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นในตลาดหุ้นไทย แนวคิดหนึ่งที่ทรงพลังและพิสูจน์แล้วว่าสร้างผลลัพธ์ดีในระยะยาวคือการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ Value Stock ซึ่งเน้นไปที่การค้นหาบริษัทที่มีฐานะมั่นคง ผลงานแข็งแกร่ง แต่ราคาในตลาดกลับต่ำกว่าคุณค่าที่แท้จริงของธุรกิจนั้นๆ

แนวคิดนี้ได้รับการเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกผ่านผลงานของเบนจามิน เกรแฮม นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ และถูกนำไปปรับใช้อย่างประสบความสำเร็จโดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ลูกศิษย์คนเก่งของเขา การลงทุนในหุ้นคุณค่าคือการหลีกเลี่ยงกระแสชั่วคราวหรือการเก็งกำไรระยะสั้น แต่กลับมุ่งหาสมบัติที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งตลาดอาจละเลยชั่วคราว โดยอาศัยการถือยาวและความอดทน รอให้ราคาปรับตัวให้สอดคล้องกับพื้นฐานที่แท้จริง

สำหรับนักลงทุนในไทย การเรียนรู้เรื่องหุ้นคุณค่าจะไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความรู้ แต่ยังเปิดทางสู่กลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว ทำให้พอร์ตของคุณทนทานต่อความผันผวน และวางรากฐานสู่เสรีภาพทางการเงินที่ยั่งยืน

ทำความเข้าใจ “หุ้นคุณค่า” (Value Stock) อย่างลึกซึ้ง
หุ้น Value คืออะไร? นิยามและแนวคิดหลัก
หุ้นคุณค่าหรือ Value Stock หมายถึงหุ้นของบริษัทที่擁有พื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลประกอบการดีเยี่ยม หรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง แต่ราคาในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET กลับต่ำกว่าคุณค่าจริง อาจเกิดจากปัจจัยชั่วคราว เช่น ข่าวลบชั่วขณะ ความไม่ชัดเจนในอุตสาหกรรม หรือการที่ตลาดมองข้ามโอกาส ผู้ลงทุนแบบนี้จะมองหาส่วนลดราคาที่ตลาดมอบให้ โดยเชื่อมั่นว่าราคาจะค่อยๆ ปรับเข้าหาคุณค่าที่แท้จริงในระยะยาว แนวคิดหลักคือ “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” หรือ Margin of Safety ซึ่งคือการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าคุณค่าจริงมากพอ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการคำนวณหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสกำไรเมื่อตลาดตื่นตัว
ลักษณะสำคัญของหุ้น Value ที่นักลงทุนควรรู้
หุ้นคุณค่ามีคุณสมบัติที่ชัดเจน แตกต่างจากหุ้นอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนคัดเลือกเข้าพอร์ตได้ง่ายขึ้น ลองมาดูกัน:
- กำไรที่สม่ำเสมอและคาดเดาได้: บริษัทเหล่านี้มีประวัติกำไรที่มั่นคง ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่แกว่งตัวรุนแรง สะท้อนถึงธุรกิจที่ยั่งยืน
- งบดุลที่แข็งแรง: หนี้ต่ำ เงินสดและสินทรัพย์เหลวไหลสูง ทำให้รับมือวิกฤตได้ดี หรือขยายกิจการโดยไม่ต้องกู้หนัก
- เงินปันผลที่ต่อเนื่อง: หลายตัวจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ให้ผลตอบแทนระหว่างรอราคาขึ้น
- ราคาต่ำกว่ามูลค่า: อัตราส่วนอย่าง P/E และ P/B มักต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหรืออุตสาหกรรม บ่งบอกว่าถูกประเมินต่ำ
- ธุรกิจที่มีคูเมือง: มีข้อได้เปรียบแข่งขันยั่งยืน เช่น แบรนด์ดัง เทคโนโลยีพิเศษ ต้นทุนต่ำ หรือเครือข่ายลูกค้าที่เหนียวแน่น ซึ่งปกป้องจากคู่แข่ง
คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้หุ้นคุณค่าเหมาะสำหรับการลงทุนยาวๆ ด้วยความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนที่ค่อยๆ สะสม
หุ้น Value vs. หุ้น Growth: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ?
เปรียบเทียบความแตกต่างพื้นฐาน
การรู้จักจุดต่างระหว่างหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโตช่วยให้คุณกำหนดกลยุทธ์ที่ตรงกับเป้าหมายและระดับเสี่ยงที่ยอมรับได้ นี่คือตารางสรุปหลักๆ:
คุณสมบัติ | หุ้น Value (หุ้นคุณค่า) | หุ้น Growth (หุ้นเติบโต) |
---|---|---|
แนวคิดหลัก | ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง | ซื้อหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต |
ผลกำไร | มั่นคง, คาดการณ์ได้, อาจไม่หวือหวา | เติบโตอย่างรวดเร็ว, มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด |
ราคาหุ้น | มักมี P/E และ P/B ต่ำ, ราคาถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐาน | มักมี P/E และ P/B สูง, ราคาแพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานปัจจุบัน |
เงินปันผล | มักจะจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีอัตราผลตอบแทนที่ดี | มักจะไม่จ่ายหรือไม่จ่ายเงินปันผลเลย หรือจ่ายน้อยมาก เพราะนำกำไรไปลงทุนต่อ |
ความผันผวน | ค่อนข้างต่ำ, มีเสถียรภาพมากกว่า | สูง, ราคาอาจผันผวนรุนแรงตามข่าวสารและการคาดการณ์ |
อุตสาหกรรม | มักพบในอุตสาหกรรมเก่าแก่, มีเสถียรภาพ เช่น ธนาคาร, สาธารณูปโภค, วัสดุก่อสร้าง | มักพบในอุตสาหกรรมใหม่, เทคโนโลยี, นวัตกรรม เช่น เทคโนโลยี, พลังงานหมุนเวียน, AI |
เป้าหมายนักลงทุน | สร้างความมั่งคั่งระยะยาว, เน้นความปลอดภัยและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ | สร้างผลตอบแทนสูงในระยะสั้นถึงกลาง, ยอมรับความเสี่ยงได้สูง |
กลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน
ผู้ลงทุนหุ้นคุณค่าจะเน้นวิเคราะห์พื้นฐานอย่างละเอียด เพื่อหาบริษัทที่ตลาดมองข้าม และรออย่างอดทนให้ราคาสะท้อนคุณค่าจริง โดยถือยาวหลายปี การตัดสินใจมาจากข้อมูลการเงินและคุณภาพธุรกิจ ไม่ใช่การเดาทิศทางตลาดระยะสั้น
ส่วนผู้ลงทุนหุ้นเติบโตจะมองหาบริษัทที่มีนวัตกรรมเด่น โอกาสขยายรายได้และกำไรแบบก้าวกระโดด แม้ราคาจะดูแพงตอนนี้ กลยุทธ์นี้เสี่ยงสูงแต่โอกาสรางวัลก็มาก หากบริษัทเติบโตตามแผน
การเลือกขึ้นอยู่กับเป้าหมาย กรอบเวลา และความเสี่ยงที่รับได้ บางครั้งการผสมทั้งสองแบบในพอร์ตจะช่วยกระจายเสี่ยง สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความมั่นคง
ตัวชี้วัดสำคัญในการค้นหาหุ้น Value ในตลาดหุ้นไทย
อัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมสำหรับหุ้นคุณค่า
การประเมินมูลค่าคือหัวใจของการลงทุนหุ้นคุณค่า ผู้ลงทุนต้องชำนาญในการดูอัตราส่วนการเงินเพื่อหาหุ้นที่เหมาะสมใน SET
- P/E Ratio (ราคาต่อกำไร): อัตราส่วน P/E บอกว่านักลงทุนยอมจ่ายกี่เท่าของกำไรเพื่อซื้อหุ้น หุ้นคุณค่ามักมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหรืออุตสาหกรรม แสดงถึงการถูกมองข้าม
- P/B Ratio (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี): อัตราส่วน P/B เปรียบราคากับมูลค่าบัญชี หากต่ำกว่า 1 หมายถึงซื้อสินทรัพย์ในราคาถูกกว่าที่บันทึกไว้ สัญญาณดีสำหรับหุ้นคุณค่า
- Dividend Yield (อัตราเงินปันผลตอบแทน): คำนวณจากปันผลหารราคาหุ้น หุ้นคุณค่ามักให้ผลตอบแทนสูงระหว่างรอราคาขึ้น
- Debt-to-Equity Ratio (อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น): วัดความมั่นคง ค่าต่ำแสดงหนี้ต่ำ สะท้อนความแข็งแกร่งและเสี่ยงน้อย
- Earnings Per Share (EPS – กำไรต่อหุ้น): แสดงกำไรต่อหุ้น หากสม่ำเสมอหรือเติบโตช้าๆ คือสัญญาณบวก
การดูหลายตัวชี้วัดพร้อมกันช่วยให้เห็นภาพรวมสุขภาพการเงิน และค้นหาหุ้นคุณค่าที่แท้จริงได้ชัดเจน
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: มองหา “ขุมทรัพย์” ที่ซ่อนอยู่
นอกจากตัวเลข การดูเชิงคุณภาพคือกุญแจในการหาหุ้นคุณค่าที่ดี ซึ่งเน้นเข้าใจธุรกิจลึกๆ:
- คูเมืองทางธุรกิจ: หาบริษัทที่มีข้อได้เปรียบยั่งยืนที่คู่แข่งเลียนแบบยาก เช่น แบรนด์แข็ง (CPALL) ต้นทุนต่ำ (SCC) เทคโนโลยีเฉพาะ หรือเครือข่ายลูกค้าที่เปลี่ยนยาก
- คุณภาพผู้บริหาร: ทีมบริหารเก่ง มีวิสัยทัศน์ และธรรมาภิบาลดี ขับเคลื่อนการเติบโตยั่งยืน ควรศึกษาประวัติและผลงาน
- แนวโน้มอุตสาหกรรม: แม้เติบโตช้า แต่ควรมีอนาคต ไม่ถูก disruption ง่าย และปรับตัวได้
- การประเมินมูลค่าที่แท้จริง: คำนวณด้วยตัวเอง เช่น Discounted Cash Flow (DCF) เพื่อหา Margin of Safety เทียบกับราคาตลาด
การรวมปริมาณและคุณภาพช่วยให้คุณเห็นคุณค่าที่ตลาดพลาด และเลือกหุ้นดีในราคาเหมาะสม
เริ่มต้นลงทุนหุ้น Value ในตลาดหุ้นไทย: คู่มือฉบับปฏิบัติ
ขั้นตอนการคัดกรองหุ้น Value ใน SET
สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากเริ่มหาหุ้นคุณค่าใน SET ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
- ใช้เครื่องมือคัดกรองหุ้น: เว็บ SET.or.th SET.or.th หรือแพลตฟอร์มโบรกเกอร์อย่าง Bualuang Securities, Yuanta Securities หรือ Liberator มีเครื่องมือฟรี กำหนดเงื่อนไขพื้นฐาน เช่น:
- P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (ต่ำกว่า 10-15 เท่า)
- P/B ต่ำกว่า 1 หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ต่ำกว่า 1.5 เท่า)
- Dividend Yield สูงกว่าดอกเบี้ยฝาก (มากกว่า 3-5%)
- D/E Ratio ต่ำ (ต่ำกว่า 1-1.5 เท่า)
- EPS คงที่หรือเติบโตช้าๆ
- ศึกษาข้อมูลบริษัทละเอียด: เมื่อได้ลิสต์แล้ว ดูรายงานประจำปี งบการเงิน ข่าว และบทวิเคราะห์
- วิเคราะห์อุตสาหกรรมและคู่แข่ง: เข้าใจบริบทอุตสาหกรรม คู่แข่ง และข้อได้เปรียบ (Moat)
- ประเมินมูลค่าจริง: คำนวณด้วยวิธีต่างๆ เพื่อหา Margin of Safety
- ตัดสินใจลงทุน: ถ้าราคาต่ำกว่ามูลค่าจริงมากพอและมีกันชน ก็เข้าลงทุนได้
ตัวอย่างหุ้น Value ที่น่าสนใจในตลาดหุ้นไทย (เพื่อการศึกษาเท่านั้น)
สำคัญ: ตัวอย่างนี้สำหรับศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำ ควรวิเคราะห์เอง
ในตลาดไทยมีบริษัทหลายแห่งที่จัดเป็นหุ้นคุณค่า ด้วยพื้นฐานดี ปันผลสม่ำเสมอ และธุรกิจมั่นคง เช่น:
- ธนาคารกรุงเทพ (BBL): ธนาคารใหญ่ ประวัติยาว ฐานลูกค้าแน่น P/E และ P/B ต่ำกว่าอุตสาหกรรม
- ปูนซิเมนต์ไทย (SCC): ธุรกิจหลากหลายอย่างปิโตรเคมี ซีเมนต์ แบรนด์นำตลาดหลายด้าน
- ซีพี ออลล์ (CPALL): ผู้บริหาร 7-Eleven เครือข่ายกว้าง รายได้กำไรแน่นอน
บริษัทเหล่านี้มีชื่อเสียง ผลงานพิสูจน์แล้ว และสร้างกระแสเงินสดดี แต่ตลาดและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงได้ ต้องวิเคราะห์ให้รอบคอบ
ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณาในการลงทุนหุ้น Value ในประเทศไทย
แม้หุ้นคุณค่าจะมีข้อดีมาก แต่ก็มีจุดที่ต้องระวังสำหรับนักลงทุนไทย เพื่อตัดสินใจอย่างฉลาด:
- กับดักหุ้นคุณค่า (Value Trap): หุ้นดูถูกเพราะ P/E P/B ต่ำ แต่จริงๆ ธุรกิจกำลังเสื่อม เช่น ถูก disrupt หนี้เกิน หรือแข่งไม่ได้ อาจทำให้เงินจม
- ต้องอดทนยาวนาน: ตลาดอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรับราคา ผู้ใจร้อนอาจขายก่อนเห็นผล
- ตลาดอาจละเลย: ถ้าตลาดฮอตกับหุ้นเติบโต เงินอาจไหลออกจากหุ้นคุณค่า ราคาไม่ขยับแม้พื้นฐานดี
- ความเสี่ยงเฉพาะไทย:
- การเมืองและเศรษฐกิจไม่แน่นอน: นโยบายรัฐหรือเศรษฐกิจผันผวนกระทบผลประกอบการ
- สภาพคล่องต่ำ: หุ้นเล็กบางตัวซื้อขายยาก ไม่กระทบราคา
- ธรรมาภิบาล: ยังมีเสี่ยงในบางบริษัท แม้ลดลง
เพื่อลดเสี่ยง ควรกระจายพอร์ต อย่าใส่ไข่ตะกร้าเดียว และศึกษาละเอียดก่อนลงทุน
สรุป: หุ้น Value ทางเลือกการลงทุนที่ยั่งยืน
การลงทุนหุ้นคุณค่าเป็นวิธีที่พิสูจน์แล้วว่าสร้างความมั่งคั่งยาวๆ ด้วยหลักง่ายๆ คือซื้อธุรกิจดีในราคาที่ดีหรือต่ำกว่าคุณค่าจริง แม้ไม่ซับซ้อนแต่ต้องเข้าใจธุรกิจลึก มีวินัยและอดทน
สำหรับนักลงทุนไทย การนำแนวคิดนี้ไปใช้ช่วยสร้างพอร์ตมั่นคง ทนตลาดผันผวน และเติบโตยั่งยืน การเรียนรู้ต่อเนื่อง วิเคราะห์พื้นฐานทั้งตัวเลขและคุณภาพ และหาส่วนเผื่อความปลอดภัย คือทางสู่ความสำเร็จ ขอให้เริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นและรอบคอบ สู่เป้าหมายเสรีภาพทางการเงิน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้น Value ในตลาดหุ้นไทย (FAQ)
หุ้น Value กับหุ้น Growth แตกต่างกันอย่างไรในบริบทตลาดหุ้นไทย?
หุ้น Value ในตลาดหุ้นไทยคือหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดี จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แต่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มักพบในอุตสาหกรรมเก่าแก่และมีเสถียรภาพ (เช่น ธนาคาร ปูนซีเมนต์) ส่วนหุ้น Growth คือหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต มักอยู่ในอุตสาหกรรมใหม่หรือเทคโนโลยี และราคาหุ้นมักจะแพงเมื่อเทียบกับผลกำไรปัจจุบันครับ
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นหาหุ้น Value ในตลาด SET อย่างไร?
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นจากการเรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์งบการเงินและอัตราส่วนสำคัญ เช่น P/E, P/B, Dividend Yield จากนั้นใช้เครื่องมือคัดกรองหุ้น (Stock Screener) ที่มีอยู่ในเว็บไซต์ SET.or.th หรือแพลตฟอร์มของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อกรองหุ้นที่เข้าข่าย และทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึกของแต่ละบริษัทครับ
มีอัตราส่วนทางการเงินใดบ้างที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์หุ้น Value?
อัตราส่วนที่สำคัญที่สุดได้แก่ P/E Ratio (ราคาต่อกำไร), P/B Ratio (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี), Dividend Yield (อัตราเงินปันผลตอบแทน), และ Debt-to-Equity Ratio (อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น) เพื่อประเมินว่าหุ้นนั้นถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับพื้นฐาน และมีความมั่นคงทางการเงินเพียงใดครับ
“กับดักหุ้นคุณค่า” (Value Trap) คืออะไร และนักลงทุนไทยควรระวังอย่างไร?
กับดักหุ้นคุณค่าคือหุ้นที่ดูเหมือนถูก (มี P/E, P/B ต่ำ) แต่แท้จริงแล้วบริษัทกำลังมีปัญหาพื้นฐานที่เสื่อมถอยลงอย่างถาวร ทำให้ราคาไม่ปรับตัวขึ้น วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องวิเคราะห์เชิงคุณภาพให้ลึกซึ้งถึงธุรกิจ ผู้บริหาร และแนวโน้มอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียวครับ
การลงทุนในหุ้น Value เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันหรือไม่?
การลงทุนในหุ้น Value เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือมีความไม่แน่นอน เนื่องจากหุ้น Value มักเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีกระแสเงินสดมั่นคง ทำให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาถึงปัจจัยเฉพาะของเศรษฐกิจไทย เช่น อัตราดอกเบี้ยและนโยบายภาครัฐด้วยครับ
สามารถใช้แพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันใดบ้างเพื่อช่วยคัดกรองหุ้น Value ในไทย?
คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในไทย เช่น Bualuang Securities (หลักทรัพย์บัวหลวง), Yuanta Securities (หลักทรัพย์หยวนต้า) หรือ Liberator ซึ่งมักจะมีเครื่องมือ Stock Screener ให้ใช้ นอกจากนี้ เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็มีข้อมูลและเครื่องมือพื้นฐานให้ใช้เช่นกันครับ
หุ้น Value มักจะจ่ายเงินปันผลสูงกว่าหุ้นประเภทอื่นจริงหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว หุ้น Value มักจะมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูงกว่าหุ้นประเภทอื่น เนื่องจากเป็นบริษัทที่เติบโตเต็มที่แล้ว มีกระแสเงินสดที่มั่นคง และเลือกที่จะคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล แทนที่จะนำไปลงทุนขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วเหมือนหุ้น Growth ครับ
ควรมีกรอบเวลาการลงทุนสำหรับหุ้น Value ในตลาดไทยประมาณเท่าใด?
การลงทุนในหุ้น Value เป็นกลยุทธ์ระยะยาว โดยทั่วไปควรมีกรอบเวลาการลงทุนตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป หรือนานกว่านั้น เพื่อให้ตลาดมีเวลาเพียงพอที่จะตระหนักถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท และให้ผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจและเงินปันผลที่ได้รับครับ
หุ้น Value มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยต้องพิจารณาเป็นพิเศษ?
นอกเหนือจากความเสี่ยงทั่วไป เช่น กับดักหุ้นคุณค่าและความผันผวนของตลาด นักลงทุนไทยควรพิจารณาถึงความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ สภาพคล่องของหุ้นบางตัวในตลาด SET รวมถึงประเด็นด้านธรรมาภิบาลของบริษัทที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ
นอกจาก P/E และ P/B แล้ว มีตัวชี้วัดอื่นใดที่นักลงทุนไทยควรให้ความสนใจ?
นอกจาก P/E และ P/B แล้ว ควรพิจารณาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เพื่อดูความมั่นคงทางการเงิน, อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เพื่อดูผลตอบแทนจากปันผล, และกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) เพื่อประเมินความสามารถในการสร้างเงินสดของบริษัทครับ ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจมหภาคได้ครับ