การเทรดฟิวเจอร์ในตลาด TFEX นั้นเป็นสนามที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากความผันผวนของราคาสินค้าอ้างอิง แต่ในขณะเดียวกัน ตลาดนี้ก็มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงในระดับสูงเช่นกัน เพื่อช่วยให้คุณ naviga ในตลาดนี้ได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงเทคนิคและกลยุทธ์สำคัญที่คุณควรรู้ในฐานะนักลงทุน
เริ่มต้นกันที่พื้นฐานก่อนเลยนะครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ TFEX แต่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร TFEX ย่อมาจาก Thailand Futures Exchange ซึ่งเป็นตลาดสำหรับซื้อขาย สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) และ ออปชัน (Options) ในประเทศไทยครับ
แตกต่างจากตลาดหุ้นที่เราซื้อขายหุ้นของบริษัทโดยตรง ใน TFEX เราไม่ได้ซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง แต่เราซื้อขาย สัญญา ที่ตกลงจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงนั้นในราคาที่ตกลงกันและในวันที่ในอนาคต โดยส่วนใหญ่ใน TFEX จะเป็นการชำระราคาด้วยเงินสดตามส่วนต่างของราคา (Cash Settlement)
สินค้าอ้างอิงที่มีการซื้อขายใน TFEX มีหลากหลายประเภท เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการและกลยุทธ์ของนักลงทุนที่แตกต่างกัน ตัวอย่างสินค้าอ้างอิงยอดนิยม ได้แก่:
- ดัชนีหุ้น: เช่น SET50 Index Futures (สัญญาที่อ้างอิงดัชนีหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่และสภาพคล่องสูง)
- สินค้าโภคภัณฑ์: เช่น สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures), สัญญาซื้อขายโลหะเงินล่วงหน้า (Silver Futures)
- ค่าเงิน: เช่น สัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ (USD/THB Futures)
- ตราสารหนี้: เช่น สัญญาซื้อขายอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล
ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ TFEX และสินค้าที่ซื้อขายในตลาดนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญก่อนที่เราจะไปลงรายละเอียดเกี่ยวกับ เทคนิคการเทรดฟิวเจอร์ ครับ
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า TFEX คืออะไร ก็ถึงเวลาพิจารณาถึงข้อดีและข้อควรระวังของการ เทรด TFEX เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและสามารถประเมินความเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของคุณได้
ข้อดีของการเทรด TFEX:
- โอกาสทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง: คุณสามารถเปิดสถานะ Long (ซื้อ) เพื่อทำกำไรเมื่อราคาคาดว่าจะขึ้น หรือเปิดสถานะ Short (ขาย) เพื่อทำกำไรเมื่อราคาคาดว่าจะลง ซึ่งแตกต่างจากการซื้อหุ้นที่โดยทั่วไปแล้วจะทำกำไรได้ง่ายกว่าในตลาดขาขึ้นเท่านั้น
- การใช้ Leverage: คุณสามารถควบคุม สัญญา ที่มีมูลค่าสูงกว่าจำนวนเงิน หลักประกัน ที่วางไว้ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในอัตรสูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
- การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): นักลงทุนหรือธุรกิจที่ถือครองสินทรัพย์อ้างอิงอยู่แล้ว สามารถใช้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ใน TFEX เพื่อล็อคราคาและป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในอนาคตได้
- สภาพคล่องค่อนข้างสูง: สินค้าอ้างอิงหลักๆ ใน TFEX เช่น SET50 Index Futures มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ทำให้คุณสามารถเข้าและออกจากสถานะได้ค่อนข้างสะดวก
- อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.: ตลาด TFEX อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยให้กับนักลงทุน
ข้อดี | ข้อควรระวัง |
---|---|
สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง | Leverage เพิ่มความเสี่ยงขาดทุน |
การใช้ Leverage | ตลาดมีความซับซ้อนในการวิเคราะห์ |
การป้องกันความเสี่ยง | ความเสี่ยงด้านวันหมดอายุ |
การทำความเข้าใจทั้งข้อดีและข้อควรระวังเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาด TFEX ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
มาถึงหัวใจสำคัญของบทความนี้แล้วครับ การ เทรด TFEX ให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว แต่มีหลากหลาย กลยุทธ์การเทรด ให้คุณเลือกใช้ได้ตามความถนัด ระดับประสบการณ์ และมุมมองต่อตลาด เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 5 กลยุทธ์หลักที่ได้รับความนิยมและสามารถนำไปปรับใช้ได้
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ไม่ว่าคุณจะเลือกกลยุทธ์ใดก็ตาม การบริหารความเสี่ยงและการมีวินัยเป็นกุญแจสำคัญเสมอ
กลยุทธ์ เทรดตามแนวโน้ม หรือ Trend Following เป็นหนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แนวคิดเรียบง่ายคือ เราจะพยายามจับทิศทางหลักของตลาด ไม่ว่าจะเป็น แนวโน้ม ขาขึ้น ขาลง หรือไซด์เวย์ และทำการซื้อขายไปตามทิศทางนั้น
หากเราเชื่อว่าราคา สัญญาซื้อขายล่วงหน้า กำลังอยู่ใน แนวโน้ม ขาขึ้น เราก็จะเปิดสถานะ Long (ซื้อ) และถือสถานะไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ แนวโน้ม ยังคงอยู่ ในทางกลับกัน หากเราเห็นว่าราคากำลังอยู่ใน แนวโน้ม ขาลง เราก็จะเปิดสถานะ Short (ขาย) เพื่อทำกำไรจากการลดลงของราคา
เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้ม | การใช้งาน |
---|---|
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) | ช่วยกรองความผันผวนและยืนยัน แนวโน้ม |
MACD (Moving Average Convergence Divergence) | ดูความแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลงของ แนวโน้ม |
Bollinger Bands | ดูความผันผวนและโอกาสในการกลับตัว |
การระบุ แนวโน้ม ให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือการรู้ว่าจะ ออกจากสถานะ เมื่อใดเมื่อ แนวโน้ม เริ่มอ่อนแรงหรือเปลี่ยนทิศ การตั้งจุด Stop Loss จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในกลยุทธ์นี้ เพื่อจำกัดการขาดทุนหาก แนวโน้ม ไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ และอาจพิจารณาตั้ง จุด Take Profit หรือใช้ Trailing Stop เพื่อล็อคกำไรเมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง
กลยุทธ์ เทรดตามแนวโน้ม เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถอดทนรอและถือสถานะได้นานพอสมควร และเชื่อมั่นในพลังของ แนวโน้ม ตลาดครับ
กลยุทธ์เทรดตามข่าว จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาที่มักจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงภายหลังการประกาศข่าวสำคัญ
ข่าวสารที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดมีหลากหลายประเภท เช่น:
- ข่าวสารเศรษฐกิจ: การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน, GDP, ยอดค้าปลีก ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงสุขภาพของเศรษฐกิจและอาจส่งผลต่อมุมมองการลงทุน
- ข่าวสารการเมือง: เหตุการณ์ทางการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือความไม่สงบทางการเมือง อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้
- ข่าวจาก ธนาคารกลาง: การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน การประกาศ อัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการกระตุ้น/ชะลอเศรษฐกิจ มีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึง สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ข่าวเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอ้างอิง
นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ว่าข่าวที่ออกมานั้น “ดี” หรือ “ร้าย” ต่อ สัญญา ที่ตนสนใจ และตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายอย่างรวดเร็ว การเทรดตามข่าว มีโอกาสทำกำไรได้สูงมากในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน เนื่องจากราคาอาจเคลื่อนไหวผันผวนอย่างคาดไม่ถึง หรือข่าวที่ออกมาอาจไม่ได้ส่งผลตามที่คาดไว้
กลยุทธ์นี้จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความสามารถในการติดตามข่าวสารตลอดเวลา มีความว่องไวในการตัดสินใจ และพร้อมรับความเสี่ยงจาก ความผันผวน ที่สูงมากในช่วงเวลาสั้นๆ ครับ การตั้งจุด Stop Loss ที่เหมาะสมก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด
กลยุทธ์เทรดแบบ Spread หรือที่เรียกว่า Relative Value Trading เป็น เทคนิคการเทรดฟิวเจอร์ ที่แตกต่างออกไป โดยไม่ได้เน้นการคาดการณ์ทิศทางราคาของ สัญญา เดี่ยวๆ แต่เน้นการทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Spread) ระหว่าง สัญญา TFEX สองสัญญาที่มีความสัมพันธ์กัน
ข้อดีที่สำคัญมากๆ ของ การเทรดแบบ Spread คืออะไรครับ? คือ การใช้หลักประกันน้อยกว่า การเปิดสถานะ สัญญา เดียวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโบรกเกอร์จะมองว่าความเสี่ยงโดยรวมต่ำกว่า เพราะคุณมีสถานะทั้ง Long และ Short ในสินค้าอ้างอิงเดียวกัน แค่คนละเดือน ทำให้ความเสี่ยงจาก ความผันผวน ของราคา สัญญา หลักถูกหักล้างกันไปในระดับหนึ่ง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อส่วนต่างราคา (Spread) ของคู่ สัญญา ที่เราเทรด ได้แก่:
- อายุสัญญาที่เหลือ: โดยทั่วไป สัญญาที่ใกล้หมดอายุกับสัญญาที่ไกลออกไป มักจะมีส่วนต่างราคาที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา จนกระทั่งวันหมดอายุที่ราคาจะมาบรรจบกัน
- อัตราดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ย ในตลาดมีผลต่อต้นทุนการถือครองสินทรัพย์ ซึ่งสะท้อนมาถึงราคา สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่มีวันหมดอายุต่างกัน และส่งผลต่อ Spread ครับ
- อัตราผลตอบแทนจากการถือครองสินทรัพย์: เช่น เงินปันผลของหุ้นในดัชนี SET50 จะส่งผลต่อราคาของ SET50 Index Futures ที่มีอายุต่างกัน ทำให้ส่วนต่างราคาของ Spread เปลี่ยนแปลงไป
การส่งคำสั่ง เทรดแบบ Spread ใน TFEX มักจะทำได้ง่ายผ่านฟังก์ชันพิเศษที่เรียกว่า Combination Order ที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีให้บริการ ทำให้คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อ สัญญา หนึ่งและขาย สัญญา หนึ่งได้พร้อมกันในราคา Spread ที่คุณต้องการ
แม้ว่า กลยุทธ์เทรดแบบ Spread จะช่วยลดความเสี่ยงจากการคาดการณ์ทิศทางตลาดโดยรวมผิดพลาด แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจาก ความผันผวน ของส่วนต่างราคา (Spread) เอง และความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในคู่ สัญญา บางคู่ การบริหารความเสี่ยง และ การตั้งจุด Stop Loss ที่เหมาะสมสำหรับ Spread ที่แคบลงหรือกว้างขึ้นเกินคาด ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นครับ
การ เทรดแบบ Option ใน TFEX เป็น เทคนิคการเทรดฟิวเจอร์ ที่มีความซับซ้อนในระดับสูง และเหมาะสำหรับ นักลงทุนผู้มีประสบการณ์ และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกลไกของ Option
ออปชัน คือ สัญญา ที่ให้สิทธิ์ (แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัด) แก่ผู้ถือในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น SET50 Index Futures) ในราคาที่กำหนด (ราคาใช้สิทธิ์ – Strike Price) ภายในหรือ ณ วันที่กำหนด (วันหมดอายุ) ครับ
มีออปชันหลักๆ สองประเภท คือ:
- Option Call: ให้สิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงใน ราคาใช้สิทธิ์
- Option Put: ให้สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์อ้างอิงใน ราคาใช้สิทธิ์
กลยุทธ์ Scalping มีความเครียดสูงและต้องใช้สมาธิอย่างมากในการเฝ้าหน้าจอ การเคลื่อนไหวผิดทางเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ขาดทุนได้รวดเร็ว หากไม่มี การบริหารความเสี่ยง ที่ดีและ การตั้งจุด Stop Loss ที่เข้มงวดมากๆ
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับ นักลงทุนผู้มีประสบการณ์ ที่สามารถรับมือกับแรงกดดันได้ดี มีวินัยสูง และมีเวลาเฝ้าตลาดได้อย่างเต็มที่ ไม่เหมาะสำหรับ นักลงทุนมือใหม่ อย่างยิ่งครับ
เราได้สำรวจ 5 กลยุทธ์หลักในการ เทรด TFEX แล้ว คุณจะเห็นว่าแต่ละกลยุทธ์มีลักษณะเฉพาะตัวและเหมาะกับนักลงทุนที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ กลยุทธ์การเทรด ใดก็ตามในตลาด TFEX สิ่งหนึ่งที่เราเน้นย้ำและอยากให้คุณให้ความสำคัญสูงสุดคือ การบริหารความเสี่ยง ครับ นี่คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดนี้ในระยะยาว
ตลาดอนุพันธ์ มีคุณสมบัติเด่นคือ Leverage ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคาม Leverage ทำให้คุณสามารถควบคุม สัญญา ที่มีมูลค่าสูงกว่าเงิน หลักประกัน ที่วางไว้หลายเท่าตัว ส่งผลให้ผลตอบแทน (หรือขาดทุน) ต่อเงินลงทุนของคุณถูกขยายใหญ่ขึ้น
ลองจินตนาการว่าคุณมีเงินทุน 100,000 บาท และใช้ Leverage 10 เท่า คุณสามารถควบคุม สัญญา ที่มีมูลค่า 1,000,000 บาทได้ หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดเพียง 1% พอร์ตของคุณก็จะบวก 10,000 บาท (1% ของ 1,000,000 บาท) หรือคิดเป็น 10% ของเงินทุนเริ่มต้น แต่ในทางกลับกัน หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางเพียง 1% คุณก็จะขาดทุน 10,000 บาท หรือ 10% ของเงินทุนทันที และหากขาดทุนมากขึ้นจน หลักประกัน ไม่เพียงพอ คุณก็จะถูกเรียก หลักประกัน เพิ่ม (Margin Call) หรือถูกบังคับปิดสถานะ (Force Close) ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น การ การบริหารความเสี่ยง ใน TFEX จึงเป็นเรื่องที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด เครื่องมือพื้นฐานที่คุณต้องใช้ให้เป็นคือ การตั้งจุด Stop Loss ก่อนเปิดสถานะเสมอ กำหนดไว้เลยว่า หากราคาเคลื่อนไหวผิดทางไปถึงจุดไหน คุณพร้อมที่จะยอมตัดขาดทุนเพื่อรักษาเงินต้นที่เหลืออยู่ และออกจากตลาดไปก่อน การทำเช่นนี้จะช่วยจำกัดขนาดการขาดทุนของคุณในแต่ละครั้งให้อยู่ในระดับที่คุณยอมรับได้
วิธีการบริหารความเสี่ยง | คำอธิบาย |
---|---|
การกำหนดขนาดสถานะ (Position Sizing) | อย่าเปิดสถานะใหญ่เกินขนาดของพอร์ต ทำความเข้าใจความเสี่ยงสูงสุดที่ยอมรับได้ |
การกระจายความเสี่ยง | ไม่นำเงินทุนทั้งหมดไปลงทุนใน สัญญา เดียวหรือสินค้าอ้างอิงเพียงประเภทเดียว |
การบริหารจัดการหลักประกัน | รักษาอัตราส่วน หลักประกัน ที่ใช้ให้มีระดับที่ปลอดภัย |
จำไว้ว่า การบริหารความเสี่ยง ไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมด (เพราะการเทรดทุกอย่างมีความเสี่ยง) แต่หมายถึงการจัดการและควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่คุณสามารถรับมือได้ เพื่อให้คุณยังคงอยู่ในเกมและมีโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว
เมื่อคุณมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ TFEX, ข้อดีข้อควรระวัง, และ กลยุทธ์การเทรด ต่างๆ แล้ว หากคุณตัดสินใจที่จะเริ่มต้น เทรด TFEX ขั้นตอนต่อไปคือการ เปิดพอร์ต กับ บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตให้ให้บริการซื้อขาย สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโบรกเกอร์จะเป็นผู้ช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดและมีเครื่องมือสนับสนุนการเทรดของคุณครับ เราควรพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง:
- ความน่าเชื่อถือและมั่นคง: เลือกโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และมีประวัติการดำเนินงานที่ดี
- แพลตฟอร์มและเครื่องมือการเทรด: มีแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและมีเครื่องมือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่ครบครัน
- บทวิเคราะห์และข้อมูลข่าวสาร: โบรกเกอร์ที่มีบทวิเคราะห์ตลาดและข้อมูลที่เป็นประโยชน์
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย: เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่างๆ
- บริการลูกค้า: มีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือเมื่อคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัย
เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการปูพื้นฐานและให้แนวทางแก่คุณในการก้าวเข้าสู่โลกของการ เทรดฟิวเจอร์ ในตลาด TFEX ได้อย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จครับ ขอให้คุณโชคดีกับการเทรด!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทคนิคการเทรดฟิวเจอร์
Q:การเปิดสถานะ Long และ Short คืออะไร?
A:สถานะ Long คือการซื้อสัญญาในขณะที่คาดว่าราคาจะขึ้น; สถานะ Short คือการขายสัญญาในขณะที่ราคาคาดว่าจะลง.
Q:TFEX มีความเสี่ยงอย่างไร?
A:TFEX มีความเสี่ยงจาก Leverage ที่อาจทำให้ขาดทุนมากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเดิมและยังมีความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวราคาอย่างกระทันหัน.
Q:ควรตั้งจุด Stop Loss ไว้อย่างไร?
A:ควรกำหนดจุด Stop Loss ตามระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้และระยะการวิเคราะห์ของตลาด เพื่อควบคุมการขาดทุนในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน.