การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เข็มทิศนำทางสำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่ต้องการยกระดับฝีมือ
สวัสดีครับเพื่อนนักลงทุนทุกท่าน! ยินดีต้อนรับสู่โลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ในเส้นทางนี้ เราทุกคนต่างต้องการเครื่องมือที่จะช่วยให้การตัดสินใจของเรามีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้นที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับความซับซ้อนของตลาด
เครื่องมือหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ นั่นคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค มันไม่ใช่เพียงแค่การดูเส้นกราฟสวยๆ แต่คือศาสตร์และศิลป์ที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของราคาที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อนำมาคาดการณ์แนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกเข้าไปในแก่นแท้ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ตั้งแต่พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ไปจนถึงเครื่องมือและกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เราจะอธิบายในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เปรียบเสมือนมีครูผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำอยู่เคียงข้าง พร้อมทั้งไขข้อสงสัยต่างๆ ที่คุณอาจมี มั่นใจได้เลยว่าเมื่ออ่านจบ คุณจะมีความเข้าใจที่แข็งแกร่งขึ้นในการนำเครื่องมือนี้ไปปรับใช้กับการลงทุนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ฟอเร็กซ์, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสินทรัพย์อื่นๆ
ทำไมต้องใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการลงทุน? ประโยชน์ที่คุณอาจมองข้าม
หลายครั้งที่เราได้ยินคำว่า “วิเคราะห์พื้นฐาน” และ “วิเคราะห์ทางเทคนิค” อยู่คู่กัน แต่ทำไมการวิเคราะห์ทางเทคนิคถึงมีความสำคัญและเป็นที่นิยม? ลองพิจารณาประโยชน์เหล่านี้ดูสิครับ
-
เห็นภาพรวมของตลาด: กราฟราคาคือตัวแทนของอารมณ์และพฤติกรรมของผู้คนนับล้านที่ทำการซื้อขายสินทรัพย์นั้นๆ การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราเห็นภาพรวมของอุปสงค์และอุปทานที่กำลังขับเคลื่อนราคาในปัจจุบัน
-
ระบุแนวโน้มได้อย่างรวดเร็ว: ตลาดมักเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม (Trend) การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราสามารถระบุได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือกำลังพักตัว ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจว่าจะซื้อ ขาย หรือรอดู
-
กำหนดจุดเข้าและออกที่ชัดเจน: หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการลงทุนคือการตัดสินใจว่าจะซื้อเมื่อไหร่และขายเมื่อไหร่ เครื่องมือทางเทคนิค เช่น แนวรับ แนวต้าน หรือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ ช่วยให้เรามีจุดอ้างอิงที่ชัดเจนในการกำหนดจังหวะการเข้าและออกจากการซื้อขาย ทำให้การตัดสินใจมีหลักการมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การคาดเดา
-
ช่วยในการบริหารความเสี่ยง: การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) ที่เหมาะสมได้ โดยอิงจากโครงสร้างของราคาหรือแนวรับแนวต้าน ทำให้เราสามารถจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่เรายอมรับได้
-
สามารถใช้ได้กับทุกตลาดและทุกกรอบเวลา: ไม่ว่าคุณจะสนใจลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ฟอเร็กซ์ คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถใช้เครื่องมือเดียวกันนี้ในการวิเคราะห์กราฟรายวัน รายสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งรายนาที ขึ้นอยู่กับสไตล์การซื้อขายของคุณ
กล่าวโดยสรุป การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือเครื่องมือที่มีพลัง ช่วยให้เราอ่าน “แผนที่” ของตลาดและวางแผนการเดินทางได้อย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น แม้ว่าจะไม่ใช่เครื่องมือที่รับประกันผลกำไร 100% แต่ก็ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จและช่วยให้เราบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามเสาหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: แก่นแท้ที่คุณต้องเข้าใจ
ก่อนที่เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือและรูปแบบต่างๆ เรามาทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสามประการของการวิเคราะห์ทางเทคนิคกันก่อน หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของศาสตร์นี้ และจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของวิธีการคิดแบบ Technical Analyst
หลักการที่ 1: ตลาดรับรู้ทุกสิ่ง (Market Discounts Everything)
หลักการนี้กล่าวว่า ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท ข่าวสารทางการเมือง เหตุการณ์ทางธรรมชาติ หรือแม้แต่อารมณ์ของนักลงทุน ได้ถูกสะท้อนรวมอยู่ในราคาซื้อขายปัจจุบันบนกราฟแล้ว นั่นหมายความว่า Technical Analyst ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาขุดคุ้ยข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เพราะเชื่อว่าผลกระทบจากข้อมูลเหล่านั้นได้ปรากฏอยู่ในรูปของราคาและการเคลื่อนไหวบนกราฟแล้ว หน้าที่ของเราคือการวิเคราะห์ “ผลลัพธ์” ที่ปรากฏบนกราฟนั่นเอง
หลักการที่ 2: ราคาเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม (Price Moves in Trends)
หลักการนี้เป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่ง การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดไม่ได้เป็นไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งๆ แนวโน้มหลักๆ แบ่งออกได้เป็นสามแบบ คือ:
-
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ราคาทำจุดสูงสุดใหม่และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (Higher Highs and Higher Lows)
-
แนวโน้มขาลง (Downtrend): ราคาทำจุดสูงสุดใหม่และจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลงเรื่อยๆ (Lower Highs and Lower Lows)
-
แนวโน้มออกข้าง หรือ พักตัว (Sideways/Consolidation): ราคาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ไม่ได้ทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ที่ชัดเจน
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่าแนวโน้มเหล่านี้มักจะคงอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีแรงกระทำที่มากพอมาเปลี่ยนแปลงทิศทาง หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานของการใช้กลยุทธ์ “ตามแนวโน้ม” (Trend Following) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
หลักการที่ 3: ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย (History Tends to Repeat Itself)
หลักการนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตวิทยามนุษย์ที่มักจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เดิมๆ รูปแบบราคา (Chart Patterns) และรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มักมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยอารมณ์พื้นฐานอย่างความโลภและความกลัวยังคงเหมือนเดิมตลอดเวลา การจดจำและทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ ช่วยให้นักวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถคาดการณ์ความเป็นไปได้ของทิศทางการเคลื่อนไหวในอนาคตได้
เมื่อคุณเข้าใจหลักการพื้นฐานทั้งสามข้อนี้แล้ว การเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคอื่นๆ จะง่ายขึ้นมาก เพราะทุกอย่างล้วนต่อยอดมาจากรากฐานเหล่านี้ครับ
รู้จักประเภทของกราฟราคา: ภาษาภาพของตลาด
กราฟราคาคือเครื่องมือหลักของ Technical Analyst เปรียบเสมือนแผนที่ที่เราใช้ในการนำทางในตลาด การทำความเข้าใจประเภทของกราฟต่างๆ และสิ่งที่แต่ละประเภทบอกเราได้เป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่ามีกราฟแบบไหนบ้างที่คุณควรรู้จัก
-
กราฟเส้น (Line Chart): เป็นกราฟที่ง่ายที่สุด โดยปกติจะแสดงราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ด้วยการลากเส้นเชื่อมต่อกัน แม้จะเรียบง่าย แต่ก็ช่วยให้เห็นแนวโน้มภาพรวมได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับดูแนวโน้มระยะยาว หรือเปรียบเทียบราคาสินทรัพย์หลายตัวพร้อมกัน
-
กราฟแท่ง (Bar Chart): กราฟแบบนี้ให้ข้อมูลมากขึ้นในแต่ละแท่ง แต่ละแท่งจะแสดงข้อมูล 4 ส่วน คือ ราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low), และราคาปิด (Close) ในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น รายวัน รายชั่วโมง) แท่งจะประกอบด้วยเส้นแนวตั้ง โดยมีขีดสั้นๆ ทางซ้ายแทนราคาเปิด และขีดสั้นๆ ทางขวาแทนราคาปิด ความยาวของเส้นแนวตั้งแสดงถึงช่วงการซื้อขายของราคานั้นๆ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ความผันผวนภายในกรอบเวลา
-
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): เป็นกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะให้ข้อมูล OHLC (Open, High, Low, Close) เหมือนกราฟแท่งแล้ว ยังมีการแสดงผลที่ช่วยให้ตีความได้ง่ายขึ้น ตัว “แท่งเทียน” จะมีส่วนประกอบหลักคือ “ลำตัว” (Body) ซึ่งแสดงช่วงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด และ “ไส้เทียน” (Wick/Shadow) ซึ่งแสดงราคาต่ำสุดและสูงสุด หากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ลำตัวมักจะเป็นสีเขียวหรือขาว (แสดงถึงแรงซื้อ) หากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด ลำตัวมักจะเป็นสีแดงหรือดำ (แสดงถึงแรงขาย) รูปแบบของแท่งเทียนแต่ละแท่ง หรือการรวมกันของหลายๆ แท่งเทียน สามารถบอกสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับอารมณ์และทิศทางที่เป็นไปได้ของตลาดได้
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้กราฟประเภทใด สิ่งสำคัญคือการทำความคุ้นเคยกับมันและสามารถอ่านข้อมูลที่ปรากฏบนกราฟได้อย่างรวดเร็ว กราฟคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสายการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณ
แกะรอยแนวโน้มตลาด: เพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในโลกการลงทุน
ตามหลักการพื้นฐานที่สอง แนวโน้มคือสิ่งสำคัญ การระบุแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นและเทรดไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้ม (Trend Following) มักเป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากที่สุด ลองจินตนาการว่าคุณกำลังว่ายน้ำตามกระแสน้ำ ย่อมง่ายกว่าการว่ายทวนกระแสน้ำจริงไหมครับ
เราสามารถใช้เครื่องมือและเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยในการระบุและยืนยันแนวโน้มได้:
-
การลากเส้นแนวโน้ม (Trend Lines): เป็นเครื่องมือพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพ การลากเส้นตรงเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น (Upward Trend Line) หรือเชื่อมระหว่างจุดสูงสุดที่กดตัวต่ำลงในแนวโน้มขาลง (Downward Trend Line) ช่วยให้เห็นภาพทิศทางของแนวโน้มได้อย่างชัดเจน เส้นแนวโน้มที่แข็งแรงมักจะเป็นแนวรับหรือแนวต้านตามธรรมชาติ
-
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages – MA): เป็นอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดตัวหนึ่ง MA ช่วยกรองความผันผวนของราคาในระยะสั้น และแสดงให้เห็นถึงทิศทางของแนวโน้มได้อย่างนุ่มนวลขึ้น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (เช่น MA 20 วัน) มักใช้ดูแนวโน้มระยะสั้นถึงปานกลาง ในขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น MA 200 วัน) ใช้ดูแนวโน้มระยะยาว การที่ราคายืนอยู่เหนือ MA มักเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่ราคาที่ต่ำกว่า MA มักเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลง
-
การวิเคราะห์โครงสร้างราคา: การสังเกตว่าราคากำลังทำจุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Highs, Higher Lows) หรือต่ำลง (Lower Highs, Lower Lows) เป็นวิธีพื้นฐานที่สุดในการระบุแนวโน้ม หากราคายังคงทำ HH และ HL อย่างต่อเนื่อง นี่คือแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง และในทางกลับกันสำหรับแนวโน้มขาลง
การเทรดตามแนวโน้มไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยวินัยในการรอให้แนวโน้มชัดเจนก่อนเข้าเทรด และมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อป้องกันตัวเองเมื่อแนวโน้มสิ้นสุดลงหรือมีการกลับตัว
แนวรับและแนวต้าน: เขตแดนสำคัญบนกราฟ ที่นักเทรดควรรู้
บนกราฟราคา จะมีบริเวณหรือระดับราคาบางอย่างที่ดูเหมือนว่าราคาจะ “ชน” แล้วเด้งกลับบ่อยๆ ระดับเหล่านี้เรียกว่า แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance)
-
แนวรับ: คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งการลดลงของราคาได้ ในอดีต เมื่อราคาลงมาถึงระดับนี้ มักจะมีแรงซื้อผลักดันให้ราคากลับขึ้นไปอีกครั้ง เปรียบเสมือน “พื้น” ที่รองรับราคาไม่ให้ร่วงลงไปง่ายๆ
-
แนวต้าน: คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของราคาได้ ในอดีต เมื่อราคาขึ้นมาถึงระดับนี้ มักจะมีแรงขายกดดันให้ราคากลับลงมาอีกครั้ง เปรียบเสมือน “เพดาน” ที่ขวางไม่ให้ราคาขึ้นไปต่อ
แนวรับและแนวต้านมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะช่วยให้นักเทรด:
-
กำหนดจุดเข้าเทรด: การซื้อใกล้แนวรับในแนวโน้มขาขึ้น หรือการขายใกล้แนวต้านในแนวโน้มขาลง มักเป็นจุดเข้าที่มีความเสี่ยงต่ำ
-
กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-loss): การตั้ง Stop-loss ไว้ต่ำกว่าแนวรับ (สำหรับสถานะซื้อ) หรือสูงกว่าแนวต้าน (สำหรับสถานะขาย) เป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ หากราคาหลุดแนวรับ/แนวต้าน แสดงว่าการวิเคราะห์ของเราอาจผิดพลาดและควรออกจากสถานะเพื่อจำกัดการขาดทุน
-
กำหนดเป้าหมายกำไร (Take Profit): แนวต้านสามารถใช้เป็นเป้าหมายในการทำกำไรสำหรับสถานะซื้อได้ และแนวรับสำหรับสถานะขาย เมื่อราคาไปถึงแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ อาจพิจารณาปิดทำกำไรบางส่วนหรือทั้งหมด
โปรดจำไว้ว่า แนวรับและแนวต้านไม่ได้เป็นเส้นที่แน่นอน แต่เป็น “บริเวณ” หรือ “โซน” ที่ราคาอาจมีปฏิกิริยา นอกจากนี้ เมื่อแนวรับถูกทะลุลงไป มักจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ และเมื่อแนวต้านถูกทะลุขึ้นไป มักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ นี่คือหลักการที่เรียกว่า “การสลับบทบาท” (Role Reversal) ของแนวรับแนวต้าน
ทำความเข้าใจรูปแบบกราฟยอดนิยม: สัญญาณจากพฤติกรรมราคา
รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) คือลักษณะเฉพาะของการเคลื่อนไหวของราคาที่ปรากฏบนกราฟ ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อแรงขาย รูปแบบเหล่านี้มักจะให้สัญญาณเกี่ยวกับทิศทางที่เป็นไปได้ในอนาคต โดยอิงจากหลักการที่ว่าประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย เรามาดูรูปแบบที่พบบ่อยและมีความสำคัญกัน:
-
รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns): รูปแบบเหล่านี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปหลังจากช่วงพักตัว ตัวอย่างเช่น:
-
สามเหลี่ยม (Triangles): อาจเป็นสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical), สามเหลี่ยมมุมฉากขาขึ้น (Ascending), หรือสามเหลี่ยมมุมฉากขาลง (Descending) มักแสดงถึงการบีบตัวของราคา ก่อนที่จะเบรกเอาท์ไปตามทิศทางของแนวโน้มเดิม
-
ธง (Flags) และ เพนแนนท์ (Pennants): เป็นรูปแบบพักตัวระยะสั้นที่เกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรุนแรง มักจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ หรือรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ ก่อนที่ราคาจะพุ่งต่อในทิศทางเดิม
-
กล่อง หรือ สี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle/Box): รูปแบบนี้แสดงถึงช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวออกข้างอย่างชัดเจน โดยมีแนวรับและแนวต้านที่ค่อนข้างคงที่ มักเกิดในช่วงที่ตลาดกำลังลังเล สะสมกำลัง หรือพักตัว ก่อนที่จะเลือกทิศทางต่อไป การเบรกเอาท์ออกจากกรอบสี่เหลี่ยมนี้ มักเป็นสัญญาณของทิศทางการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
-
-
รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns): รูปแบบเหล่านี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่กำลังจะสิ้นสุดลงและอาจมีการกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น:
-
หัวและไหล่ (Head and Shoulders): เป็นรูปแบบการกลับตัวที่พบบ่อย มีลักษณะเหมือนศีรษะอยู่ตรงกลาง และมีไหล่สองข้างอยู่ด้านข้าง การหลุดแนว “เส้นคอ” (Neckline) มักเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว
-
ดับเบิ้ลท็อป (Double Top) และ ดับเบิ้ลบ็อทท่อม (Double Bottom): รูปแบบนี้มีลักษณะเหมือนตัว “M” หรือตัว “W” แสดงถึงการที่ราคาพยายามจะไปต่อในทิศทางเดิมสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ การหลุดแนวรับตรงกลาง (สำหรับ Double Top) หรือทะลุแนวต้านตรงกลาง (สำหรับ Double Bottom) มักเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว
-
ทริปเปิ้ลท็อป (Triple Top) และ ทริปเปิ้ลบ็อทท่อม (Triple Bottom): คล้ายกับ Double Top/Bottom แต่มีการพยายามถึงสามครั้ง
-
การเรียนรู้ที่จะระบุและตีความรูปแบบกราฟเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ ยิ่งคุณเห็นรูปแบบบ่อยแค่ไหน คุณก็จะยิ่งตีความได้แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น
เครื่องมือคู่ใจ: อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ตัวช่วยในการตัดสินใจ
นอกเหนือจากการวิเคราะห์กราฟเปล่าๆ (Price Action) และรูปแบบราคาแล้ว นักวิเคราะห์ทางเทคนิคยังนิยมใช้ อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค (Technical Indicators) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณมาจากราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขาย เพื่อช่วยยืนยันสัญญาณ ให้ข้อมูลเชิงลึก หรือสร้างสัญญาณการซื้อขายใหม่ๆ อินดิเคเตอร์มีมากมายหลายร้อยตัว แต่มีบางตัวที่เป็นที่นิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
ประเภทอินดิเคเตอร์ | รายละเอียด |
---|---|
อินดิเคเตอร์ตามแนวโน้ม | ช่วยระบุและยืนยันแนวโน้ม เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), MACD (Moving Average Convergence Divergence) |
อินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัม | ช่วยวัดความเร็วและแรงของการเคลื่อนไหวของราคา เช่น RSI (Relative Strength Index), Stochastic Oscillator |
อินดิเคเตอร์วัดความผันผวน | ช่วยวัดระดับความผันผวนของราคา เช่น Bollinger Bands, Average True Range (ATR) |
อินดิเคเตอร์วัดปริมาณการซื้อขาย | วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างราคากับปริมาณการซื้อขาย เช่น On-Balance Volume (OBV) |
สิ่งสำคัญในการใช้อินดิเคเตอร์คือ:
-
อย่าใช้อินดิเคเตอร์มากเกินไป: การใช้อินดิเคเตอร์หลายๆ ตัวพร้อมกันอาจทำให้เกิดสัญญาณขัดแย้งกันและสับสนได้ ควรเลือกใช้อินดิเคเตอร์เพียงไม่กี่ตัวที่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้
-
อินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่เป็น Lagging Indicators: อินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่คำนวณจากข้อมูลในอดีต ทำให้มักจะให้สัญญาณตามหลังการเคลื่อนไหวของราคาจริง (Lagging) การใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ Price Action จะช่วยให้ได้สัญญาณที่แม่นยำขึ้น
-
มองหาสัญญาณยืนยัน: ใช้อินดิเคเตอร์เพื่อยืนยันสัญญาณที่คุณได้จากการวิเคราะห์รูปแบบกราฟหรือแนวโน้ม ไม่ใช่นำไปใช้อย่างโดดเดี่ยว
การเรียนรู้วิธีการตั้งค่าและตีความอินดิเคเตอร์ต่างๆ จะช่วยเพิ่มมิติให้กับการวิเคราะห์ของคุณ และอาจเปิดโอกาสในการค้นหาสัญญาณการซื้อขายที่คุณอาจมองข้ามไป
ปริมาณการซื้อขายบอกอะไรเราได้บ้าง? ความสำคัญของ Volume ในการวิเคราะห์เทคนิค
ในขณะที่การวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักเน้นไปที่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) Volume แสดงถึงจำนวนหน่วยของสินทรัพย์ที่ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนในช่วงเวลาที่กำหนด มันบอกให้เรารู้ถึง “พลัง” หรือ “ความน่าเชื่อถือ” ของการเคลื่อนไหวของราคา
ลองนึกภาพว่าราคากำลังปรับตัวขึ้น:
-
หากราคาวิ่งขึ้นพร้อมกับ Volume ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าการเคลื่อนไหวขาขึ้นนั้นมีแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่ง มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าราคาจะขึ้นไปอีก และพร้อมที่จะซื้อ ทำให้แนวโน้มขาขึ้นนั้นมีความน่าเชื่อถือสูง
-
หากราคาวิ่งขึ้น แต่ Volume กลับลดลง หรือมี Volume ต่ำ แสดงว่าการเคลื่อนไหวขาขึ้นนั้นอาจไม่แข็งแรงนัก มีผู้คนจำนวนน้อยที่เข้ามาซื้อ การขึ้นครั้งนี้อาจเป็นการขึ้นที่อ่อนแอและมีโอกาสที่จะกลับตัวลงได้ง่าย
ในทางกลับกัน สำหรับราคาที่กำลังปรับตัวลง:
-
หากราคาลง พร้อมกับ Volume ที่สูง แสดงถึงแรงขายที่รุนแรงและความกลัวในตลาด ทำให้แนวโน้มขาลงมีความน่าเชื่อถือ
-
หากราคาลง แต่ Volume ต่ำ อาจเป็นการลงที่ไม่แข็งแรง และมีโอกาสที่ราคาจะดีดกลับขึ้นไปได้
นอกจากนี้ Volume ยังมีความสำคัญเมื่อราคา เบรกเอาท์ (Breakout) ทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ หากการเบรกเอาท์เกิดขึ้นพร้อมกับ Volume ที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ มักจะเป็นสัญญาณที่แข็งแรงและน่าเชื่อถือว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางของการเบรกเอาท์ ในขณะที่การเบรกเอาท์ที่มี Volume ต่ำ อาจเป็นสัญญาณหลอก (False Breakout) และราคามีโอกาสกลับเข้ามาในกรอบเดิม
การวิเคราะห์ Volume ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ Price Action และอินดิเคเตอร์อื่นๆ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อขายของคุณได้อย่างมากครับ
การบริหารความเสี่ยงกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค: อยู่รอดในตลาดระยะยาว
การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราหาจุดเข้าออกที่ดีได้ก็จริง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณอยู่รอดในตลาดได้อย่างยั่งยืน คือ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ไม่ว่ากลยุทธ์ของคุณจะดีแค่ไหน ก็ย่อมมีวันที่ผิดพลาด การควบคุมความเสี่ยงจะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนครั้งใหญ่ที่อาจทำให้คุณหมดตัวได้
การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงดังนี้:
-
กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-loss): อย่างที่กล่าวไป การใช้แนวรับ แนวต้าน หรือโครงสร้างของกราฟ เป็นจุดอ้างอิงในการตั้ง Stop-loss ที่เหมาะสม เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับการคาดการณ์และไปถึงจุดนี้ แสดงว่าการวิเคราะห์ของคุณผิด และคุณควรปิดสถานะเพื่อจำกัดการขาดทุน
-
กำหนดขนาดสถานะ (Position Sizing): เมื่อคุณกำหนดจุด Stop-loss ได้แล้ว คุณสามารถคำนวณขนาดของสถานะ (ว่าจะซื้อขายกี่หน่วย) ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากราคาชน Stop-loss คุณจะขาดทุนไม่เกินกว่าเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ของเงินทุนทั้งหมด (เช่น ไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง)
-
ประเมินอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): ก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง ควรประเมินว่าศักยภาพในการทำกำไร (Take Profit Target) เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่จะขาดทุน (Stop-loss Distance) เป็นอย่างไร ควรเลือกเทรดที่มีอัตราส่วน Risk-Reward ที่ดี เช่น 1:2 หรือมากกว่า หมายความว่าคุณมีโอกาสทำกำไรได้เป็นสองเท่าของจำนวนเงินที่คุณยอมเสี่ยง
จำไว้ว่า การวิเคราะห์ที่ดีแต่ไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ย่อมนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในที่สุด การบริหารความเสี่ยงคือเกราะป้องกันเงินทุนของคุณในโลกการลงทุนที่ผันผวน
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มสำหรับการเทรดที่ให้ความสำคัญกับความเสถียรและเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์และ CFD Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ แพลตฟอร์มนี้มีชื่อเสียงด้านการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและสเปรดที่แข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการต้นทุนการเทรดของคุณ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ ให้ใช้งานบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4 และ MT5 ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำความรู้ทางเทคนิคมาประยุกต์ใช้จริง
ผสานการวิเคราะห์: เทคนิค vs. พื้นฐาน จะเลือกอะไรดี?
คำถามยอดฮิตคือ ควรเลือกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การวิเคราะห์พื้นฐาน? คำตอบง่ายๆ คือ คุณไม่จำเป็นต้องเลือก! การผสานการวิเคราะห์ทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน มักจะให้มุมมองที่รอบด้านและแข็งแกร่งกว่าการใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
-
การวิเคราะห์พื้นฐาน: ช่วยให้เราเข้าใจ “คุณค่าที่แท้จริง” ของสินทรัพย์นั้นๆ ว่าดีหรือไม่ดี มีอนาคตหรือไม่ มีปัจจัยอะไรที่ขับเคลื่อนในระยะยาว เหมาะสำหรับการคัดเลือกสินทรัพย์และกำหนดทิศทางการลงทุนในภาพใหญ่ (Buy Side หรือ Sell Side) หรือการลงทุนระยะยาว
-
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ช่วยให้เราหา “จังหวะเวลา” ในการเข้าและออกจากตลาด สำหรับสินทรัพย์ที่เราได้ทำการวิเคราะห์พื้นฐานมาแล้วว่าน่าสนใจ การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะบอกเราว่าเมื่อไหร่คือเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้าซื้อ หรือเมื่อไหร่ที่ควรขายทำกำไรหรือตัดขาดทุน นอกจากนี้ยังช่วยยืนยันความแข็งแรงของแนวโน้มที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่เราเห็น
ลองนึกภาพว่าคุณใช้การวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อคัดเลือกหุ้นบริษัทที่มีผลประกอบการดี มีอนาคต และราคาดูเหมือนจะถูกกว่าคุณค่าที่แท้จริง จากนั้นคุณใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหารูปแบบกราฟหรือสัญญาณอินดิเคเตอร์ที่บ่งชี้ถึงการเริ่มของแนวโน้มขาขึ้น นี่คือการทำงานร่วมกันที่ทรงพลัง!
สำหรับนักลงทุนระยะยาว การวิเคราะห์พื้นฐานอาจมีความสำคัญมากกว่า ในขณะที่นักเทรดระยะสั้นหรือกลาง อาจให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสไตล์ไหน การมีความรู้ทั้งสองด้านย่อมได้เปรียบ
ในการเทรดสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างฟอเร็กซ์หรือ CFD การตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำในจังหวะสำคัญเป็นสิ่งจำเป็น การมีแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้จึงสำคัญไม่แพ้ความรู้ในการวิเคราะห์ หากคุณกำลังพิจารณาแพลตฟอร์มสำหรับการเทรดสินทรัพย์หลากหลายประเภท ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครบครัน Moneta Markets อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องความเสถียรของระบบและการให้บริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณโฟกัสกับการวิเคราะห์และเทรดได้อย่างเต็มที่
เริ่มต้นเดินทางสายเทคนิค: คำแนะนำสำหรับมือใหม่และผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเอง
การเริ่มต้นเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจดูท่วมท้นในตอนแรก มีศัพท์แสงมากมาย อินดิเคเตอร์เป็นร้อยตัว รูปแบบกราฟอีกนับไม่ถ้วน แต่อย่าเพิ่งท้อครับ ทุกอย่างต้องใช้เวลาและการฝึกฝน นี่คือคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ที่ต้องการพัฒนาฝีมือ:
-
เริ่มต้นจากพื้นฐาน: ทำความเข้าใจหลักการสามเสาหลัก ประเภทของกราฟ และการระบุแนวโน้มให้แม่นยำก่อน อย่าเพิ่งรีบกระโดดไปใช้อินดิเคเตอร์ซับซ้อน
-
เลือกเครื่องมือที่ใช่และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง: ไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกอินดิเคเตอร์ เลือกรู้จักและเชี่ยวชาญอินดิเคเตอร์หรือรูปแบบกราฟเพียงไม่กี่อย่างที่คุณรู้สึกว่าเข้าใจและใช้งานได้ดี
-
ฝึกฝนบนกราฟจริง: เปิดกราฟราคาของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ แล้วลองมองหาแนวโน้ม แนวรับ แนวต้าน รูปแบบกราฟที่คุณเรียนรู้มา ฝึกฝนการลากเส้นแนวโน้ม การตีเส้นแนวรับแนวต้าน
-
เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account): ก่อนนำเงินจริงไปลงทุน ให้ทดลองใช้กลยุทธ์การวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณบนบัญชีทดลองก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม เครื่องมือ และดูว่ากลยุทธ์นั้นๆ ทำงานได้ผลจริงหรือไม่ในสภาพตลาดจริง
-
บันทึกการซื้อขาย (Trading Journal): บันทึกทุกการเทรดที่คุณทำ ทั้งเหตุผลในการเข้า/ออก จุด Stop-loss/Take Profit ผลลัพธ์ และข้อคิดเห็น การย้อนกลับมาดูบันทึกจะช่วยให้คุณเห็นข้อผิดพลาดและจุดแข็งของตัวเอง ทำให้พัฒนาได้ถูกจุด
-
เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีอินดิเคเตอร์ใหม่ๆ หรือมุมมองใหม่ๆ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเกิดขึ้นตลอดเวลา อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ อ่านหนังสือ บทความ หรือเข้าร่วมสัมมนา
-
ควบคุมอารมณ์: ความกลัวและความโลภเป็นศัตรูตัวฉกาจของการเทรด แม้จะวิเคราะห์มาอย่างดี แต่อารมณ์อาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาด การมีวินัยและยึดตามแผนการเทรดที่วางไว้เป็นสิ่งสำคัญมาก
การเป็น Technical Analyst ที่ดีต้องใช้เวลา ความอดทน และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ขอให้สนุกกับการเรียนรู้และเดินทางในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิคครับ!
ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: มองโลกตามความเป็นจริง
แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเป็นเครื่องมือที่มีพลัง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่จะบอกอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100% การทำความเข้าใจข้อจำกัดของมันจะช่วยให้เราใช้งานเครื่องมือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่คาดหวังสูงเกินไป
-
ไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน: ข้อได้เปรียบของการวิเคราะห์เทคนิคคือไม่ต้องสนใจข่าวสาร แต่ในทางกลับกัน มันก็ไม่ได้บอกเราว่า “ทำไม” ราคาถึงเคลื่อนไหวแบบนั้น เหตุการณ์สำคัญที่ไม่คาดคิด (Black Swan Events) เช่น ภัยพิบัติ หรือวิกฤตเศรษฐกิจ อาจทำให้รูปแบบทางเทคนิคเสียไปได้โดยสิ้นเชิง
-
สัญญาณหลอก (False Signals): ไม่มีอินดิเคเตอร์หรือรูปแบบกราฟใดที่ให้สัญญาณถูกต้องเสมอไป คุณจะเจอสัญญาณหลอกอยู่บ้างเสมอ การบริหารความเสี่ยงและการใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกันจะช่วยลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกได้
-
อาจมีความลำเอียงของผู้ใช้งาน (User Bias): นักวิเคราะห์สองคนอาจมองกราฟเดียวกัน แต่ตีความแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ มุมมอง หรือแม้แต่อารมณ์ส่วนตัว
-
การเคลื่อนไหวในตลาดที่ไม่มีสภาพคล่อง: การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะทำงานได้ดีในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มีผู้ซื้อขายจำนวนมาก แต่ในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ ราคาอาจถูกขับเคลื่อนได้ง่ายด้วยการซื้อขายเพียงไม่กี่รายการ ทำให้รูปแบบทางเทคนิคไม่น่าเชื่อถือ
การรับรู้ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่หมายความว่าเราควรใช้มันอย่างมีวิจารณญาณ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง และอาจพิจารณาข้อมูลอื่นๆ เช่น ปัจจัยพื้นฐาน (หากเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้นๆ) เพื่อให้การตัดสินใจของเราแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การเลือกแพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเทรด หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก เช่น Moneta Markets ที่ได้รับการกำกับดูแลโดย ASIC, FSCA, FSA นี่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการดำเนินงานที่สูง การมีผู้ให้บริการที่มั่นคงช่วยให้คุณมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยของเงินทุนและการดำเนินการตามคำสั่ง ซึ่งเป็นส่วนเสริมที่สำคัญเมื่อคุณนำการวิเคราะห์ทางเทคนิคไปใช้ในการเทรดจริง
บทสรุป: การวิเคราะห์ทางเทคนิค เครื่องมือทรงคุณค่าบนเส้นทางลงทุนของคุณ
ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางสำรวจโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน กราฟประเภทต่างๆ แนวโน้ม แนวรับแนวต้าน รูปแบบกราฟ ไปจนถึงอินดิเคเตอร์ และที่สำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยง
คุณได้เรียนรู้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่การพยากรณ์อนาคต แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดในอดีตและปัจจุบัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการคาดการณ์ทิศทางที่เป็นไปได้ในอนาคต มันช่วยให้เรามีแผนการเทรดที่ชัดเจน มีจุดเข้าและออกที่เป็นระบบ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้เราบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นเทรดเดอร์ที่ต้องการยกระดับฝีมือ การเรียนรู้และฝึกฝนการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นสิ่งที่คุ้มค่า การลงทุนในความรู้คือการลงทุนที่ดีที่สุด และการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือหนึ่งในความรู้หลักที่คุณควรมีติดตัวไว้
จำไว้ว่า กุญแจสู่ความสำเร็จ ไม่ใช่การหาเครื่องมือวิเศษเพียงอย่างเดียว แต่คือการผสมผสานความรู้ การฝึกฝน วินัย และการบริหารความเสี่ยงเข้าด้วยกัน ขอให้คุณนำความรู้ที่ได้จากบทความนี้ไปปรับใช้กับการลงทุนของคุณ และประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ครับ!
เราหวังว่าบทความเชิงลึกนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณ หากมีคำถามเพิ่มเติม หรือต้องการเจาะลึกในหัวข้อใดเป็นพิเศษ อย่าลังเลที่จะศึกษาเพิ่มเติม การเรียนรู้ในโลกของการลงทุนไม่มีที่สิ้นสุด!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกล่องคือ
Q:การวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร?
A:การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการศึกษาและวิเคราะห์กราฟราคา เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตโดยใช้ข้อมูล histórico
Q:ทำไมต้องใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค?
A:การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราตัดสินใจซื้อ-ขายได้ดีขึ้น โดยการดูพฤติกรรมราคาในตลาด
Q:มีเครื่องมืออะไรบ้างในการวิเคราะห์ทางเทคนิค?
A:เครื่องมือที่ใช้บ่อย ได้แก่ กราฟราคา, อินดิเคเตอร์, แนวรับและแนวต้าน