Put Call Option: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนไทย
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! คุณเคยได้ยินคำว่า Put Call Option ไหมครับ? สำหรับนักลงทุนมือใหม่ อาจจะฟังดูซับซ้อน แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Put Call Option แบบละเอียด เข้าใจง่าย พร้อมทั้งกลยุทธ์และข้อควรระวังที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Put Call Option เป็นเครื่องมือที่มีชื่อเสียงในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ องค์ประกอบหลักของ Put Call Option ได้แก่:
- สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์
- กำหนดราคาที่จะดำเนินการ (Strike Price)
- ระยะเวลาสำหรับการใช้สิทธิ (Expiration Date)
Put Call Option คืออะไร?
Put Call Option คือ สัญญาอนุพันธ์ (Derivative) ที่ให้สิทธิ แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัด แก่ผู้ซื้อ ในการซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (Expiration Date) โดยผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่าพรีเมียม (Premium) ให้แก่ผู้ขายสัญญา
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อบ้านหลังหนึ่ง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ คุณจึงทำสัญญา “จอง” บ้านหลังนั้นไว้ โดยจ่ายเงินมัดจำ (พรีเมียม) ให้กับเจ้าของบ้าน สัญญานี้ให้สิทธิคุณในการซื้อบ้านหลังนั้นในราคาที่ตกลงกันไว้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าคุณตัดสินใจซื้อ ก็สามารถใช้สิทธิซื้อบ้านได้ แต่ถ้าไม่ซื้อ ก็แค่ทิ้งเงินมัดจำไป สัญญา Put Call Option ก็คล้ายกันครับ
ศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับ Put Call Option:
- สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset): คือ สินทรัพย์ที่สัญญาอ้างอิงถึง เช่น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์
- ราคาใช้สิทธิ (Strike Price): คือ ราคาที่ผู้ซื้อสัญญาสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงได้
- พรีเมียม (Premium): คือ ราคาที่ผู้ซื้อสัญญาต้องจ่ายให้แก่ผู้ขายสัญญา
- วันหมดอายุ (Expiration Date): คือ วันสุดท้ายที่ผู้ซื้อสัญญาสามารถใช้สิทธิได้
- In the Money (ITM): คือ สถานะที่ผู้ซื้อสัญญาสามารถทำกำไรได้ทันทีหากใช้สิทธิ
- At the Money (ATM): คือ สถานะที่ราคาใช้สิทธิเท่ากับราคาตลาดของสินทรัพย์อ้างอิง
- Out of the Money (OTM): คือ สถานะที่ผู้ซื้อสัญญายังไม่สามารถทำกำไรได้หากใช้สิทธิ
Call Option และ Put Option ต่างกันอย่างไร?
Call Option (สิทธิในการซื้อ): ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ เมื่อราคาตลาดของสินทรัพย์อ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ถือ Call Option จะได้กำไร
Put Option (สิทธิในการขาย): ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ เมื่อราคาตลาดของสินทรัพย์อ้างอิงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ถือ Put Option จะได้กำไร
ตัวอย่าง:
- คุณคาดการณ์ว่าราคาหุ้นของบริษัท ABC จะสูงขึ้น คุณจึงซื้อ Call Option ของหุ้น ABC ที่ราคาใช้สิทธิ 100 บาท หากราคาหุ้น ABC สูงขึ้นเป็น 120 บาท คุณสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้น ABC ในราคา 100 บาท แล้วนำไปขายในตลาดที่ราคา 120 บาท ทำให้คุณได้กำไร
- คุณคาดการณ์ว่าราคาหุ้นของบริษัท XYZ จะลดลง คุณจึงซื้อ Put Option ของหุ้น XYZ ที่ราคาใช้สิทธิ 50 บาท หากราคาหุ้น XYZ ลดลงเหลือ 30 บาท คุณสามารถใช้สิทธิขายหุ้น XYZ ในราคา 50 บาท แม้ว่าราคาตลาดจะอยู่ที่ 30 บาท ทำให้คุณได้กำไร
Put-Call Parity และโอกาส Arbitrage
Put-Call Parity คือ สมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาของ Call Option และ Put Option ที่มีสินทรัพย์อ้างอิง, ราคาใช้สิทธิ, และวันหมดอายุเดียวกัน โดยสมการนี้ระบุว่า ผลต่างของราคา Call Option และ Put Option ควรเท่ากับผลต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิงในปัจจุบัน และมูลค่าปัจจุบันของราคาใช้สิทธิ
สูตร Put-Call Parity:
สัญลักษณ์ | คำอธิบาย |
---|---|
C | ราคา Call Option |
P | ราคา Put Option |
S | ราคาสินทรัพย์อ้างอิงในปัจจุบัน |
PV(K) | มูลค่าปัจจุบันของราคาใช้สิทธิ (K) |
หากราคาของ Call Option และ Put Option ไม่สอดคล้องกับสมการ Put-Call Parity จะเกิดโอกาสในการทำ Arbitrage หรือ การเก็งกำไรจากความแตกต่างของราคาในตลาดต่างๆ โดยไม่มีความเสี่ยง
ตัวอย่าง:
สมมติว่าหุ้น XYZ มีราคา 100 บาท, Call Option ที่ราคาใช้สิทธิ 100 บาท มีราคา 10 บาท, และ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิ 100 บาท มีราคา 5 บาท โดยอัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยง (Risk-Free Rate) คือ 5% ต่อปี หากวันหมดอายุเหลืออีก 1 ปี มูลค่าปัจจุบันของราคาใช้สิทธิคือ 100 / (1 + 0.05) = 95.24 บาท
จากสูตร Put-Call Parity: 10 – 5 = 100 – 95.24
5 = 4.76 (ไม่สมดุล)
ในกรณีนี้ จะเกิดโอกาส Arbitrage โดยนักลงทุนสามารถ:
- ซื้อ Put Option ในราคา 5 บาท
- ขาย Call Option ในราคา 10 บาท
- ซื้อหุ้น XYZ ในราคา 100 บาท
- กู้เงิน 95.24 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย 5%
เมื่อถึงวันหมดอายุ นักลงทุนจะใช้สิทธิขายหุ้น XYZ ในราคา 100 บาท (จาก Put Option) และนำเงินไปชำระหนี้ (100 บาท) ทำให้ได้กำไรจากการ Arbitrage
Callable Bonds: ความเสี่ยงและผลตอบแทน
Callable Bonds (หุ้นกู้ที่มีสิทธิเรียกคืน) คือ หุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิในการเรียกคืน (Call) หุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดชำระหนี้ (Maturity Date) โดยผู้ออกจะจ่ายเงินต้นคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้ พร้อมกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระ
ความเสี่ยงของ Callable Bonds:
- Reinvestment Risk (ความเสี่ยงในการลงทุนใหม่): หากผู้ออกเรียกคืนหุ้นกู้ก่อนกำหนด ผู้ถือหุ้นกู้จะต้องนำเงินต้นที่ได้รับคืนไปลงทุนใหม่ ซึ่งอาจทำให้อัตราผลตอบแทนลดลง หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง
- Call Risk (ความเสี่ยงในการถูกเรียกคืน): ผู้ออกมักจะเรียกคืนหุ้นกู้เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ทำให้ผู้ถือหุ้นกู้เสียโอกาสในการได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่า
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
Higher Yield (ผลตอบแทนที่สูงกว่า) | Callable Risks (ความเสี่ยงในการเรียกคืน) |
ผลตอบแทนของ Callable Bonds:
- Higher Yield (ผลตอบแทนที่สูงกว่า): Callable Bonds มักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า Non-Callable Bonds (หุ้นกู้ที่ไม่มีสิทธิเรียกคืน) เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นกู้อาจถูกเรียกคืนก่อนกำหนด
ก่อนตัดสินใจลงทุนใน Callable Bonds นักลงทุนควรพิจารณาถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างรอบคอบ และควรประเมินว่าตนเองมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด
กลยุทธ์การใช้ Put และ Call Options
Put และ Call Options สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งเพื่อเก็งกำไร (Speculation) และป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
กลยุทธ์การเก็งกำไร:
- Long Call (ซื้อ Call Option): เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะสูงขึ้น
- Long Put (ซื้อ Put Option): เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะลดลง
- Short Call (ขาย Call Option): เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะไม่สูงขึ้นมากนัก
- Short Put (ขาย Put Option): เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะไม่ลดลงมากนัก
กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง:
- Protective Put (ซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง): นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ สามารถซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาหุ้นลดลง
- Covered Call (ขาย Call Option เมื่อถือหุ้นอยู่): นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ สามารถขาย Call Option เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม และลดต้นทุนในการถือหุ้น
如果你正考慮開始進行外匯交易或探索更多差價合約商品,那麼 Moneta Markets 是一個值得參考的平台。它來自澳洲,提供超過 1000 種金融商品,無論是新手還是專業交易者都能找到合適的選擇。
ตัวอย่าง:
คุณถือหุ้น XYZ อยู่ 100 หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันคือ 50 บาท คุณกังวลว่าราคาหุ้นอาจจะลดลง คุณจึงซื้อ Put Option ของหุ้น XYZ ที่ราคาใช้สิทธิ 50 บาท (Protective Put) หากราคาหุ้นลดลงเหลือ 40 บาท คุณสามารถใช้สิทธิขายหุ้น XYZ ในราคา 50 บาท ทำให้คุณสามารถจำกัดความเสียหายได้
DW (Derivative Warrants): ทางเลือกสำหรับนักลงทุน
DW (Derivative Warrants) เป็นตราสารอนุพันธ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Options แต่มีข้อแตกต่างกันบางประการ DW ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ และมีอายุที่จำกัด โดยปกติแล้ว DW จะมีการจ่าย “เงินสดส่วนต่าง” (Cash Settlement) เมื่อหมดอายุ หาก DW มีสถานะ In-the-Money (ITM)
ข้อแตกต่างระหว่าง DW และ Options:
- ผู้ออก: Options ซื้อขายกันในตลาดโดยตรง ส่วน DW ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์
- การใช้สิทธิ: Options สามารถใช้สิทธิได้ก่อนวันหมดอายุ (American Style) หรือเฉพาะวันหมดอายุ (European Style) ส่วน DW จะมีการจ่ายเงินสดส่วนต่างเมื่อหมดอายุเท่านั้น
- การชำระราคา: Options สามารถชำระราคาด้วยการส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิง (Physical Delivery) หรือจ่ายเงินสดส่วนต่าง ส่วน DW จะมีการจ่ายเงินสดส่วนต่างเท่านั้น
รหัสการลงทุน | อัตราทด | ประเภทสิทธิ |
---|---|---|
Call DW | 5 เท่า | ซื้อ Call Option |
Put DW | 5 เท่า | ขาย Put Option |
การคำนวณเงินสดส่วนต่างของ DW:
Call DW: (ราคาอ้างอิง ณ วันหมดอายุ – ราคาใช้สิทธิ) x อัตราทด
Put DW: (ราคาใช้สิทธิ – ราคาอ้างอิง ณ วันหมดอายุ) x อัตราทด
ตัวอย่าง:
คุณซื้อ Call DW ของหุ้น ABC ที่ราคาใช้สิทธิ 100 บาท อัตราทดคือ 5 เท่า เมื่อ DW หมดอายุ ราคาหุ้น ABC อยู่ที่ 120 บาท คุณจะได้รับเงินสดส่วนต่าง (120 – 100) x 5 = 100 บาทต่อ DW หนึ่งหน่วย
ข้อควรระวังในการลงทุนใน DW:
- Time Decay (การลดลงของมูลค่าตามเวลา): DW มีมูลค่าลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ เนื่องจากระยะเวลาในการทำกำไรเหลือน้อยลง
- Gearing (อัตราทด): DW มีอัตราทดที่สูง ทำให้ผลตอบแทนและผลขาดทุนขยายใหญ่ขึ้น
- สภาพคล่อง (Liquidity): DW บางตัวอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ซื้อขายได้ยาก
ข้อดีและข้อเสียของ Put Call Option
ข้อดี:
- Leverage (อัตราทด): Options ช่วยให้คุณสามารถควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูงได้ด้วยเงินลงทุนที่น้อยกว่า
- Flexibility (ความยืดหยุ่น): Options สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ
- Hedging (การป้องกันความเสี่ยง): Options สามารถใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
ข้อเสีย:
- Complexity (ความซับซ้อน): Options เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน ต้องใช้ความเข้าใจอย่างมาก
- Time Decay (การลดลงของมูลค่าตามเวลา): Options มีมูลค่าลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ
- Limited Upside (กำไรที่จำกัด): ในบางกลยุทธ์ Options อาจมีกำไรที่จำกัด
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาของ Put Call Option
ราคาของ Put Call Option ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ดังนี้:
ปัจจัย | ผลกระทบ |
---|---|
ราคาสินทรัพย์อ้างอิง | ราคา Call Option จะสูงขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น และราคา Put Option จะสูงขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงลดลง |
ราคาใช้สิทธิ | ราคา Call Option จะลดลงเมื่อราคาใช้สิทธิสูงขึ้น และราคา Put Option จะสูงขึ้นเมื่อราคาใช้สิทธิสูงขึ้น |
ระยะเวลาจนถึงวันหมดอายุ | ราคา Options จะสูงขึ้นเมื่อระยะเวลาจนถึงวันหมดอายุยาวนานขึ้น |
ความผันผวนของราคา | ราคา Options จะสูงขึ้นเมื่อความผันผวนของราคาสูงขึ้น |
อัตราดอกเบี้ย | ราคา Call Option จะสูงขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และราคา Put Option จะลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น |
เงินปันผล | ราคา Call Option จะลดลงเมื่อมีการจ่ายเงินปันผล และราคา Put Option จะสูงขึ้นเมื่อมีการจ่ายเงินปันผล |
Put Call Option เหมาะกับใคร?
Put Call Option เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุน และมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง Options ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ไม่เข้าใจกลไกการทำงานและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ก่อนตัดสินใจลงทุนใน Options นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Put Call Option มีประโยชน์มากมาย ซึ่งรวมถึง:
- การสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ
- การสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
- การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ตลาด
บทสรุป
Put Call Option เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Put Call Option อย่างถ่องแท้ จะช่วยให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่คุณตั้งไว้
在選擇交易平台時,Moneta Markets 的靈活性與技術優勢值得一提。它支援 MT4、MT5、Pro Trader 等主流平台,結合高速執行與低點差設定,提供良好的交易體驗。
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนทุกท่านนะครับ หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับput call option คือ
Q:Put Call Option คืออะไร?
A:Put Call Option คือ สัญญาอนุพันธ์ที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด แต่ไม่ใช่ข้อผูกพัน
Q:Put Option กับ Call Option ต่างกันอย่างไร?
A:Put Option ให้สิทธิในการขายสินทรัพย์ ขณะที่ Call Option ให้สิทธิในการซื้อสินทรัพย์
Q:การซื้อขาย Options มีความเสี่ยงอย่างไร?
A:การซื้อขาย Options มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมูลค่าอาจลดลงเมื่อใกล้วันหมดอายุ และต้องมีการบริหารความเสี่ยงให้ดี