หุ้นบุริมสิทธิ คือ ทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนในปี 2025

Table of Contents

หุ้นบุริมสิทธิ: ไขทุกข้อข้องใจที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ตราสารทางการเงินไม่ได้มีแค่หุ้นสามัญที่เราคุ้นเคยกันดีเท่านั้น ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและมีคุณสมบัติเฉพาะตัว นั่นคือ หุ้นบุริมสิทธิ หรือ Preferred Stock สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังมองหาหนทางสร้างรายได้ หรือนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและทำความเข้าใจตราสารที่ซับซ้อนมากขึ้น การทำความรู้จักกับหุ้นบุริมสิทธินี้ถือเป็นก้าวสำคัญ เราจะพาคุณไปเจาะลึกว่าหุ้นบุริมสิทธิคืออะไร แตกต่างจากหุ้นสามัญและหุ้นกู้อย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และเหมาะกับสไตล์การลงทุนแบบไหน เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูล

  • หุ้นบุริมสิทธิให้สิทธิประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักลงทุน
  • ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
  • หุ้นบุริมสิทธิให้โอกาสในการลงทุนที่กระจายความเสี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินอธิบายหุ้นบุริมสิทธิให้กับนักลงทุนมือใหม่

ทำความเข้าใจพื้นฐาน: หุ้นบุริมสิทธิคืออะไร มีบทบาทอย่างไรในบริษัท

เริ่มต้นกันที่นิยามพื้นฐานที่สุดครับ หุ้นบุริมสิทธิ จัดเป็น ตราสารทุน ประเภทหนึ่ง เช่นเดียวกับ หุ้นสามัญ นั่นหมายความว่าเมื่อคุณลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ คุณจะมีสถานะเป็นหนึ่งใน เจ้าของร่วม ของ บริษัท นั้นๆ เพียงแต่เป็นเจ้าของที่มีสิทธิพิเศษบางประการที่แตกต่างและเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญธรรมดา

บริษัทต่างๆ ออก หุ้นบุริมสิทธิ เพื่อวัตถุประสงค์หลักคือการ ระดมเงินทุน จากสาธารณชน เพื่อนำไปใช้ในการขยายกิจการ ชำระหนี้ หรือดำเนินงานอื่นๆ การออกหุ้นบุริมสิทธิเป็นทางเลือกในการระดมทุนที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ โครงสร้างเงินทุน ของบริษัท โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระหนี้สินในรูปแบบ หุ้นกู้ หรือทำให้สิทธิในการบริหารจัดการ (ผ่านสิทธิลงคะแนนเสียง) ของผู้ถือหุ้นเดิมลดลงมากนัก

หัวใจสำคัญของ หุ้นบุริมสิทธิ อยู่ที่คำว่า “บุริมสิทธิ” ซึ่งหมายถึง สิทธิพิเศษ ที่ผู้ถือหุ้นประเภทนี้จะได้รับ นี่คือสิ่งที่ทำให้หุ้นบุริมสิทธิมีความน่าสนใจและแตกต่างจากหุ้นสามัญอย่างชัดเจน

ประเภทหุ้น สิทธิประโยชน์
หุ้นบุริมสิทธิ ได้รับเงินปันผลก่อนหุ้นสามัญ
หุ้นสามัญ มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
หุ้นกู้ ได้รับการชำระคืนก่อนหุ้นบุริมสิทธิ

สิทธิพิเศษอันดับแรก: เงินปันผลคงที่และความได้เปรียบในการรับเงิน

สิทธิพิเศษที่โดดเด่นที่สุดของผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ คือ สิทธิในการได้รับ เงินปันผล ในอัตราที่ คงที่ และถูกกำหนดไว้แน่นอนล่วงหน้า อัตรา เงินปันผล นี้มักจะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นบุริมสิทธิ หรือเป็นจำนวนเงินบาทต่อหุ้นที่ชัดเจน

สิ่งที่ทำให้สิทธิพิเศษนี้มีความสำคัญคือ ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ มีสิทธิ์ได้รับ เงินปันผล ก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ เสมอ ในทางปฏิบัติ หาก บริษัท มีกำไรและประกาศจ่าย เงินปันผล บริษัทจะต้องจ่าย เงินปันผล ให้กับผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ครบถ้วนตามอัตราที่กำหนดไว้ก่อน หลังจากนั้น หากยังมีกำไรเหลืออยู่ จึงจะสามารถนำไปจ่ายเป็น เงินปันผล ให้กับผู้ถือ หุ้นสามัญ ได้

ในกรณีที่ บริษัท ประสบปัญหาขาดทุน หรือมีผลประกอบการไม่ดีจนไม่สามารถจ่าย เงินปันผล ได้ตามปกติ สิทธิพิเศษของผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นหุ้นบุริมสิทธิชนิดที่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเข้ามา เช่น ชนิดสะสม ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนถัดไป การได้รับ เงินปันผล ที่ค่อนข้างแน่นอนและได้รับก่อนใครนี้ ทำให้หุ้นบุริมสิทธิมีความคล้ายคลึงกับ ตราสารหนี้ อย่าง หุ้นกู้ ในแง่ของการสร้างรายได้ประจำที่สม่ำเสมอ

การแสดงภาพเงินปันผลจากหุ้นบุริมสิทธิ

ลำดับสิทธิ์เมื่อบริษัทเลิกกิจการ: ใครได้รับเงินคืนก่อนหลัง

อีกหนึ่งสิทธิพิเศษที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ คือ ลำดับความสำคัญในการชำระบัญชี หรือการได้รับคืนเงินทุน เมื่อ บริษัท มีอันต้อง เลิกกิจการ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทรัพย์สินของ บริษัท จะถูกนำมาขายเพื่อชำระคืนภาระผูกพันต่างๆ โดยมีลำดับสิทธิ์ที่ถูกกำหนดไว้ตามกฎหมายและข้อตกลง โดยทั่วไป ลำดับการได้รับคืนเงินทุนจะเป็นดังนี้:

  • อันดับแรก: เจ้าหนี้ ต่างๆ ซึ่งรวมถึงผู้ถือ ตราสารหนี้ หรือ หุ้นกู้

  • อันดับที่สอง: ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ

  • อันดับสุดท้าย: ผู้ถือ หุ้นสามัญ

นี่หมายความว่า หาก บริษัท ต้อง เลิกกิจการ และมีทรัพย์สินเหลือจากการชำระคืนหนี้สินให้กับเจ้าหนี้แล้ว ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ จะมีสิทธิ์ได้รับ เงินคืนทุน ของตนเองก่อนที่จะมีการจ่ายคืนสิ่งใดๆ ให้กับผู้ถือ หุ้นสามัญ สิทธินี้ช่วยลด ความเสี่ยง ในการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดลงได้เมื่อเทียบกับการถือ หุ้นสามัญ อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ยังคงมีลำดับสิทธิ์หลังเจ้าหนี้เสมอ ซึ่งแตกต่างจากผู้ถือหุ้นกู้ที่อยู่ในลำดับต้นๆ

นักลงทุนอ่านเอกสารเกี่ยวกับข้อดีของหุ้นบุริมสิทธิ

เปรียบเทียบชัดๆ: หุ้นบุริมสิทธิ vs หุ้นสามัญ vs หุ้นกู้

เพื่อให้เห็นภาพรวมของ หุ้นบุริมสิทธิ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาเปรียบเทียบกับ หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้ ซึ่งเป็นตราสารทางการเงินที่นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญ:

  • สถานะของผู้ถือ: ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ และ หุ้นสามัญ มีสถานะเป็น เจ้าของร่วม ใน บริษัท แต่ผู้ถือ หุ้นกู้ มีสถานะเป็น เจ้าหนี้ ของบริษัท

  • การได้รับเงินปันผล/ดอกเบี้ย: ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ได้รับ เงินปันผล ในอัตรา คงที่ และได้รับก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ ผู้ถือ หุ้นสามัญ ได้รับ เงินปันผล (หากมีประกาศจ่าย) ในอัตราที่ ผันแปร ตามผลกำไร และได้รับหลังผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ส่วนผู้ถือ หุ้นกู้ ได้รับ ดอกเบี้ย ในอัตรา คงที่ ตามกำหนด ซึ่งเป็นภาระผูกพันของบริษัท

  • สิทธิในการออกเสียงลงคะแนน: โดยทั่วไป ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น) ผู้ถือ หุ้นสามัญ มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ซึ่งเป็นสิทธิในการบริหารจัดการ บริษัท ผู้ถือ หุ้นกู้ ไม่มีสิทธิออกเสียง

  • ลำดับการเรียกร้องสินทรัพย์เมื่อเลิกกิจการ: ผู้ถือ หุ้นกู้ อยู่ในลำดับแรก ตามมาด้วยผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ และผู้ถือ หุ้นสามัญ อยู่ในลำดับสุดท้าย

  • โอกาสได้รับผลตอบแทน: หุ้นบุริมสิทธิ มักให้ ผลตอบแทน ที่จำกัดในแง่ของ กำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain) เนื่องจากราคาหุ้นมักไม่ผันผวนมากนัก เน้น ผลตอบแทน จาก เงินปันผล ที่ คงที่ ผู้ถือ หุ้นสามัญ มีโอกาสได้รับ ผลตอบแทน สูง ทั้งจาก เงินปันผล ที่เพิ่มขึ้นและ กำไรจากการขายหุ้น หากบริษัทเติบโตและราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ผู้ถือ หุ้นกู้ ได้รับ ผลตอบแทน เป็น ดอกเบี้ย และเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด ไม่ได้มีส่วนร่วมในผลกำไรของบริษัท

  • ความเสี่ยง: หุ้นบุริมสิทธิ มี ความเสี่ยง ที่ต่ำกว่า หุ้นสามัญ แต่สูงกว่า หุ้นกู้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับ เงินปันผล และ เงินคืนทุน อยู่ในลำดับที่สูงกว่าหุ้นสามัญ แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่บริษัทอาจไม่สามารถจ่าย เงินปันผล ได้ หรือมีทรัพย์สินไม่พอคืนทุนทั้งหมดเมื่อเลิกกิจการ ในขณะที่ หุ้นกู้ มี ความเสี่ยง ต่ำสุดหากบริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง

การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่า หุ้นบุริมสิทธิ วางตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่าง หุ้นสามัญ กับ หุ้นกู้ โดยมีลักษณะเด่นของทั้งสองอย่างผสมผสานกันอยู่

กราฟิกแสดงความแตกต่างระหว่างหุ้นและตราสารหนี้

การแลกเปลี่ยนที่ต้องรู้: การไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว หนึ่งในลักษณะสำคัญที่แยก หุ้นบุริมสิทธิ ออกจาก หุ้นสามัญ คือการที่ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี หรือการประชุมวิสามัญใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ บริษัท

นี่คือข้อแลกเปลี่ยนสำหรับ สิทธิพิเศษ ในการได้รับ เงินปันผล ก่อนและมีลำดับสิทธิ์สูงกว่าในการได้รับ เงินคืนทุน เมื่อ เลิกกิจการ บริษัทส่วนใหญ่ที่ออกหุ้นบุริมสิทธิมักจะออกแบบให้หุ้นประเภทนี้ไม่มีสิทธิในการโหวต เพื่อรักษาสัดส่วนการควบคุมของกลุ่มผู้ถือหุ้นสามัญเดิมไว้

อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น หาก บริษัท ผิดนัดชำระ เงินปันผล ให้กับผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลง ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ อาจได้รับ สิทธิลงคะแนนเสียง ชั่วคราวจนกว่าบริษัทจะกลับมาจ่าย เงินปันผล ได้ตามปกติ นี่เป็นมาตรการคุ้มครองผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิอย่างหนึ่ง

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดทิศทางของ บริษัท การลงทุนใน หุ้นสามัญ จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่หากคุณเป็นนักลงทุนที่เน้น ผลตอบแทน ในรูปแบบของรายได้ประจำที่ค่อนข้างแน่นอนและไม่ได้สนใจ สิทธิลงคะแนนเสียง หุ้นบุริมสิทธิก็เป็นทางเลือกที่น่าพิจารณา

เจาะลึกประเภทต่างๆ ของหุ้นบุริมสิทธิ: ความหลากหลายที่คุณควรรู้

หุ้นบุริมสิทธิ ไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่มีความหลากหลายที่มาพร้อมกับคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งส่งผลต่อ ความเสี่ยง และ ผลตอบแทน ที่ผู้ลงทุนจะได้รับ เรามาทำความรู้จักกับประเภทหลักๆ กันครับ:

  • หุ้นบุริมสิทธิประเภทสะสม (Cumulative Preferred Stock): นี่คือประเภทที่พบได้บ่อยและมี สิทธิพิเศษ เพิ่มเติมที่สำคัญ หาก บริษัท ไม่สามารถจ่าย เงินปันผล ในงวดใดงวดหนึ่งได้ เงินปันผล ที่ค้างจ่ายนั้นจะถูกสะสมไว้และ บริษัท จะต้องจ่าย เงินปันผล ที่สะสมค้างจ่ายทั้งหมดให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิประเภทสะสมนี้ก่อนที่จะจ่าย เงินปันผล ให้กับผู้ถือ หุ้นสามัญ ได้ นี่เป็นมาตรการที่ช่วยคุ้มครองผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้เป็นอย่างดี ทำให้ ความเสี่ยง ในการพลาดรับ เงินปันผล ลดลง

  • หุ้นบุริมสิทธิประเภทไม่สะสม (Non-Cumulative Preferred Stock): ตรงข้ามกับประเภทสะสม หาก บริษัท ไม่ได้จ่าย เงินปันผล ในงวดใดงวดหนึ่ง เงินปันผล ในงวดนั้นจะถือเป็นอันยกเลิกไป ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิประเภทนี้จะไม่ได้รับเงินปันผลค้างจ่ายนั้นอีกในอนาคต ทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่าประเภทสะสมในแง่ของการได้รับรายได้ประจำ

  • หุ้นบุริมสิทธิประเภทร่วมรับ (Participating Preferred Stock): หุ้นบุริมสิทธิประเภทนี้มี สิทธิพิเศษ ที่น่าสนใจมากนอกเหนือจาก เงินปันผล ในอัตรา คงที่ แล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิประเภทร่วมรับยังมีสิทธิ์ที่จะได้รับ เงินปันผล เพิ่มเติม หาก บริษัท มีผลกำไรที่สูงมากและจ่าย เงินปันผล ให้กับผู้ถือ หุ้นสามัญ ในอัตราที่สูงเกินกว่าระดับที่กำหนดไว้ สิทธิ์ในการร่วมรับเงินปันผลพิเศษนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับ ผลตอบแทน ที่สูงขึ้นในยามที่บริษัทมีผลประกอบการยอดเยี่ยม

  • หุ้นบุริมสิทธิประเภทแปลงสภาพได้ (Convertible Preferred Stock): หุ้นบุริมสิทธิประเภทนี้ให้ทางเลือกแก่ผู้ถือในการ แปลงสภาพ หุ้นบุริมสิทธิที่ตนถืออยู่ให้กลายเป็น หุ้นสามัญ ของ บริษัท ในอัตราส่วนที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะเลือกใช้สิทธิ์แปลงสภาพเมื่อราคา หุ้นสามัญ ปรับตัวสูงขึ้นมากจนคุ้มค่ากว่าการถือหุ้นบุริมสิทธิ การมีคุณสมบัติแปลงสภาพนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับ กำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain) เหมือนผู้ถือ หุ้นสามัญ ในขณะที่ยังคงได้รับ เงินปันผล ที่ คงที่ และ สิทธิพิเศษ อื่นๆ ของหุ้นบุริมสิทธิไปก่อน ถือเป็นลูกผสมที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทั้งรายได้ประจำและโอกาสในการเติบโต

นอกจากประเภทหลักๆ เหล่านี้ ยังอาจมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ อีก เช่น สิทธิ์ในการเรียกคืน (Callable Preferred Stock) ซึ่งทำให้ บริษัท ผู้ออกมีสิทธิ์ซื้อคืนหุ้นบุริมสิทธิจากผู้ถือได้ในราคาและเงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้น ก่อนลงทุนใน หุ้นบุริมสิทธิ ประเภทใดก็ตาม คุณจำเป็นต้องศึกษาเอกสารชี้ชวนและทำความเข้าใจคุณสมบัติเฉพาะตัวของหุ้นบุริมสิทธิรุ่นนั้นๆ อย่างละเอียด

ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิในมุมมองนักลงทุน

เมื่อทำความรู้จักกับ หุ้นบุริมสิทธิ มากขึ้น เรามาสรุปข้อดีและข้อเสียในมุมมองของผู้ลงทุน เพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ

ข้อดีของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ:

  • รายได้ประจำที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ: คุณได้รับ เงินปันผล ในอัตรา คงที่ และได้รับก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้

  • ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ: ทั้งในแง่ของการได้รับ เงินปันผล และลำดับสิทธิ์ในการได้รับ เงินคืนทุน เมื่อ เลิกกิจการ

  • ความมั่นคงด้านราคามากกว่า: ราคาของ หุ้นบุริมสิทธิ มักจะมีความผันผวนน้อยกว่า หุ้นสามัญ และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของ อัตราดอกเบี้ย มากกว่าผลประกอบการของ บริษัท (คล้าย หุ้นกู้ )

  • มีสิทธิพิเศษบางประการ: เช่น สิทธิ์สะสมเงินปันผล (ในประเภทสะสม) หรือสิทธิ์ร่วมรับเงินปันผลเพิ่มเติม (ในประเภทร่วมรับ)

ข้อเสียของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ:

  • โอกาสได้รับผลตอบแทนจำกัด: ผลตอบแทน หลักมาจาก เงินปันผล ที่ คงที่ โอกาสในการทำ กำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain) จากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเหมือน หุ้นสามัญ มีน้อยกว่า

  • ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน: คุณจะไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการ บริษัท

  • ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: เนื่องจาก เงินปันผล เป็นแบบ คงที่ เมื่อ อัตราดอกเบี้ย ในตลาดปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าของหุ้นบุริมสิทธิ (ราคาตลาด) อาจลดลง เพื่อให้ ผลตอบแทน เทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

  • ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนจริงผิดพลาดไปจากผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ (Call Risk): หาก บริษัท มีสิทธิ์เรียกคืนหุ้นบุริมสิทธิ และ อัตราดอกเบี้ย ในตลาดลดลง บริษัทอาจใช้สิทธิ์เรียกคืนหุ้นบุริมสิทธิเพื่อออกหุ้นบุริมสิทธิชุดใหม่ที่มีต้นทุน (อัตราเงินปันผล) ต่ำกว่า ทำให้ผู้ลงทุนต้องนำเงินไปลงทุนใหม่ในอัตราผลตอบแทนที่ต่ำลง

  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): หุ้นบุริมสิทธิ บางรุ่นอาจมีการซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย น้อยกว่า หุ้นสามัญ ทำให้การซื้อขายเปลี่ยนมือทำได้ยากกว่า

การชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียเหล่านี้จะช่วยให้คุณพิจารณาได้ว่า หุ้นบุริมสิทธิ เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณหรือไม่

ความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนลงทุน

แม้ว่า หุ้นบุริมสิทธิ จะถูกมองว่ามีความ ความเสี่ยง ต่ำกว่า หุ้นสามัญ แต่ก็ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

  • ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: ดังที่กล่าวไปแล้ว หุ้นบุริมสิทธิ มีลักษณะคล้าย หุ้นกู้ ในแง่ของ เงินปันผล ที่ คงที่ ดังนั้น มูลค่าตลาดของหุ้นบุริมสิทธิจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับการเปลี่ยนแปลงของ อัตราดอกเบี้ย ในตลาด หาก อัตราดอกเบี้ย โดยรวมในเศรษฐกิจปรับตัวสูงขึ้น ราคาของหุ้นบุริมสิทธิในตลาดรองมักจะลดลง และในทางกลับกัน หาก อัตราดอกเบี้ย ลดลง ราคาหุ้นบุริมสิทธิก็มีแนวโน้มจะสูงขึ้น

  • ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพทางการเงินของบริษัท: แม้ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ จะได้รับ เงินปันผล ก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ แต่การจ่าย เงินปันผล ก็ยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องของ บริษัท หาก บริษัท มีปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง อาจไม่สามารถจ่าย เงินปันผล ให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการ เลิกกิจการ แม้จะมีลำดับสิทธิ์สูงกว่าผู้ถือ หุ้นสามัญ แต่หากทรัพย์สินของบริษัทไม่เพียงพอที่จะชำระคืนเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิทั้งหมด ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก็อาจได้รับ เงินคืนทุน ไม่เต็มจำนวน หรือไม่ได้รับเลย

  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: หุ้นบุริมสิทธิ ไม่ได้มีการซื้อขายอย่างคึกคักเท่า หุ้นสามัญ ใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดอื่นๆ เสมอไป หุ้นบุริมสิทธิบางรุ่นอาจมีปริมาณการซื้อขายต่ำ ทำให้การขายหุ้นเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดทำได้ยาก หรืออาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการเข้า-ออกจากการลงทุน ความเสี่ยง ด้านสภาพคล่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

  • ความเสี่ยงในการถูกเรียกคืน (Call Risk): หากหุ้นบุริมสิทธิที่คุณถืออยู่มีคุณสมบัติ “เรียกคืนได้” (Callable) บริษัท ผู้ออกมีสิทธิ์ที่จะซื้อคืนหุ้นนั้นจากคุณได้ตามราคาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นเมื่อ อัตราดอกเบี้ย ในตลาดลดลง ทำให้บริษัทสามารถระดมทุนใหม่ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า การถูกเรียกคืนอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการได้รับ เงินปันผล ที่สูงต่อไป และต้องนำเงินไปลงทุนใหม่ในสภาวะที่ อัตราดอกเบี้ย โดยรวมต่ำกว่าเดิม

การประเมิน ความเสี่ยง เหล่านี้ควบคู่ไปกับ ผลตอบแทน ที่คาดหวัง จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับระดับการยอมรับความเสี่ยงของคุณ

หุ้นบุริมสิทธิในมุมมองบริษัท: กลไกสำคัญในโครงสร้างเงินทุน

เรามอง หุ้นบุริมสิทธิ ในมุมของนักลงทุนมามากแล้ว ลองมามองในมุมของ บริษัท ผู้ออกบ้าง การออกหุ้นบุริมสิทธิเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์หลายประการสำหรับบริษัท:

  • การระดมทุนที่ยืดหยุ่น: การออก หุ้นบุริมสิทธิ เป็นอีกทางเลือกในการ ระดมเงินทุน โดยไม่ต้องก่อหนี้เพิ่มเหมือนการออก หุ้นกู้ หรือเพิ่มจำนวน หุ้นสามัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ สิทธิลงคะแนนเสียง และการควบคุมของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม

  • ปรับปรุงโครงสร้างเงินทุน: เงินทุนที่ได้จากการออก หุ้นบุริมสิทธิ จะถูกบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งช่วยให้ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to-Equity Ratio) ของ บริษัท ลดลงได้ ทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทดูแข็งแกร่งขึ้นในสายตาของเจ้าหนี้และนักลงทุน

  • ไม่กระทบสิทธิในการบริหารจัดการ: เนื่องจาก หุ้นบุริมสิทธิ โดยทั่วไป ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน บริษัทสามารถระดมทุนก้อนใหญ่ได้โดยที่อำนาจในการตัดสินใจยังคงอยู่ที่ผู้ถือ หุ้นสามัญ เดิม

  • ความยืดหยุ่นในการจ่ายเงินปันผล: แม้จะมีภาระต้องจ่าย เงินปันผล ให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก่อน แต่โดยทั่วไปแล้ว การไม่จ่าย เงินปันผล หุ้นบุริมสิทธิจะไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้แบบการไม่จ่าย ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ซึ่งอาจนำไปสู่การล้มละลายได้เร็วกว่า (ยกเว้นในกรณีที่มีข้อตกลงพิเศษ)

อย่างไรก็ตาม การออก หุ้นบุริมสิทธิ ก็มีข้อจำกัดสำหรับ บริษัท เช่นกัน ภาระในการจ่าย เงินปันผล ที่ คงที่ อาจเป็นภาระที่หนักในช่วงเวลาที่ บริษัท มีกำไรน้อย นอกจากนี้ เงินปันผล ที่จ่ายให้กับผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ไม่สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เหมือนดอกเบี้ย หุ้นกู้

หุ้นบุริมสิทธิเหมาะกับใคร? ค้นหาสไตล์การลงทุนที่ใช่

จากการทำความเข้าใจคุณสมบัติและลักษณะเด่นของ หุ้นบุริมสิทธิ เราสามารถสรุปได้ว่า หุ้นบุริมสิทธิ เป็นตราสารที่เหมาะกับนักลงทุนบางกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่นๆ หากคุณมีลักษณะดังต่อไปนี้ การลงทุนใน หุ้นบุริมสิทธิ อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ:

  • นักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำที่มั่นคง: หากเป้าหมายหลักของคุณคือการได้รับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้จาก เงินปันผล ในอัตรา คงที่ หุ้นบุริมสิทธิสามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีกว่า หุ้นสามัญ ที่เงินปันผลไม่แน่นอน

  • นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ: เมื่อเทียบกับ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิมีความ ความเสี่ยง ที่ต่ำกว่า ทั้งในแง่ของความผันผวนของราคา และลำดับสิทธิ์ในการได้รับ เงินปันผล และ เงินคืนทุน

  • นักลงทุนที่ไม่เน้นการมีส่วนร่วมในการบริหาร: หากคุณไม่ได้สนใจหรือต้องการใช้ สิทธิลงคะแนนเสียง เพื่อมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของ บริษัท การที่หุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธินี้ก็ไม่ใช่ข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับคุณ

  • นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: การเพิ่ม หุ้นบุริมสิทธิ เข้ามาในพอร์ตการลงทุนที่มี หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้ อยู่แล้ว สามารถช่วยกระจาย ความเสี่ยง ได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากตราสารสองประเภทแรก

ในทางกลับกัน หากคุณเป็นนักลงทุนที่เน้นการเติบโตระยะยาว ต้องการทำ กำไรจากการขายหุ้น สูงๆ ชอบ ความเสี่ยง ที่สูงกว่าเพื่อแลกกับโอกาสได้รับ ผลตอบแทน ที่สูงกว่า หรือต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ บริษัท การลงทุนใน หุ้นสามัญ หรือการลงทุนรูปแบบอื่นที่ให้ ผลตอบแทน ตามผลการดำเนินงานของบริษัทโดยตรง อาจจะเหมาะสมกับคุณมากกว่า

บทสรุป: ทางเลือกที่น่าสนใจในโลกของการลงทุน

หุ้นบุริมสิทธิ เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นลูกผสมระหว่าง ตราสารทุน และ ตราสารหนี้ ที่มอบ สิทธิพิเศษ ในการได้รับ เงินปันผล ที่ คงที่ และมีลำดับสิทธิ์ในการได้รับ เงินคืนทุน ก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ ในกรณีที่ บริษัท เลิกกิจการ

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้ รวมถึงการศึกษาประเภทต่างๆ ของหุ้นบุริมสิทธิ และประเมิน ความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยง ด้าน อัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยง ด้านสภาพคล่อง และ ความเสี่ยง ที่ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนจริงผิดพลาดไปจากผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ (Call Risk) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดก่อนตัดสินใจลงทุน

สำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งรายได้ประจำที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ยอมรับ ความเสี่ยง ได้ต่ำกว่าการลงทุนใน หุ้นสามัญ และไม่ได้ต้องการ สิทธิลงคะแนนเสียง ในการบริหาร บริษัท หุ้นบุริมสิทธิ ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่คุณควรศึกษาและพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนของคุณเสมอจำไว้ว่า การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง คุณควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความสามารถในการรับ ความเสี่ยง ของตนเองก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิ คือ

Q:หุ้นบุริมสิทธิคืออะไรมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

A:หุ้นบุริมสิทธิคือหุ้นที่ให้สิทธิในการได้รับเงินปันผลที่คงที่ก่อนหุ้นสามัญ ข้อดีคือความเสี่ยงต่ำกว่า ข้อเสียคือไม่มีสิทธิออกเสียงในการตัดสินใจบริษัท

Q:การออกหุ้นบุริมสิทธิส่งผลต่อบริษัทอย่างไร?

A:การออกหุ้นบุริมสิทธิช่วยระดมทุนโดยไม่กระทบสิทธิลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้น

Q:ใครที่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ?

A:นักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำและไม่เน้นการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการบริษัท

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *