บทนำ: ทำไม Passive Fund ถึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนไทย?
ในยุคที่การลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กองทุนแบบ Passive หรือที่รู้จักกันในชื่อกองทุนรวมดัชนี ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ดึงดูดใจและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ในเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนชาวไทยที่กำลังมองหาวิธีการลงทุนที่ไม่ซับซ้อน มีประสิทธิภาพสูง และเสียค่าใช้จ่ายน้อย แนวคิดของ Passive Fund แตกต่างจากวิธีการลงทุนแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นการเลือกหุ้นเดี่ยวๆ หรือพยายามจับจังหวะตลาด เพราะมันเน้นไปที่การสะท้อนผลตอบแทนของตลาดโดยรวมแทน

สำหรับนักลงทุนไทยซึ่งมักมีเวลาจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลละเอียดยิบ หรืออยากลดความวุ่นวายในการจัดการพอร์ตการลงทุน กองทุน Passive จึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ ด้วยปรัชญาที่ว่า “ทำไมต้องพยายามเอาชนะตลาด ในเมื่อเราสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตลาดได้” บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความหมายของ Passive Fund หลักการทำงาน ความแตกต่างจาก Active Fund และตัวเลือกพร้อมกลยุทธ์ที่เหมาะกับนักลงทุนไทย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด สร้างฐานะทางการเงินที่มั่นคงในอนาคต
Passive Fund คืออะไร? ทำความเข้าใจหลักการและประเภท
กองทุน Passive คือประเภทหนึ่งของกองทุนรวมที่มุ่งลงทุนโดยเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักที่กำหนดไว้ชัดเจน เช่น ดัชนี SET50 หรือ SET100 ในตลาดหุ้นไทย หรือดัชนี S&P 500 ในสหรัฐอเมริกา ผู้จัดการกองทุนจะไม่ลงลึกไปวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัว หรือพยายามจับจังหวะเพื่อสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนี แต่จะยึดติดตามสัดส่วนของหลักทรัพย์ในดัชนีนั้นๆ อย่างเคร่งครัด

หลักการพื้นฐานคือการ “ติดตาม” ดัชนีให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อองค์ประกอบของดัชนีเปลี่ยนแปลง กองทุนก็จะปรับพอร์ตตามให้สอดคล้อง ทำให้การจัดการกองทุนมีค่าใช้จ่ายต่ำ เพราะไม่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อขายบ่อยๆ ดังนั้น การลงทุนแบบนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่เชื่อในประสิทธิภาพของตลาด และต้องการผลตอบแทนที่สะท้อนการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว โดยเฉพาะในบริบทของตลาดไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่องแต่มีความผันผวน
กองทุน Passive แบ่งออกเป็นสองประเภทหลักที่ได้รับความชื่นชอบ:
- กองทุนรวมดัชนี (Index Fund): เป็นกองทุนทั่วไปที่ซื้อขายผ่านบริษัทจัดการกองทุนหรือธนาคาร โดยลงทุนตามดัชนีที่กำหนด และราคาจะคำนวณจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ณ สิ้นวันทำการ
- กองทุนรวม ETF (Exchange Traded Fund): เป็นกองทุนดัชนีที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นธรรมดา ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ตลอดวันทำการ ในราคาที่ปรับตัวตามตลาดแบบเรียลไทม์ ทำให้ยืดหยุ่นมากกว่า Index Fund แบบดั้งเดิม
ทั้งสองแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการจำลองผลตอบแทนของดัชนี แต่ต่างกันที่ช่องทางการซื้อขายและความสะดวกในการทำธุรกรรม การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการส่วนตัวของนักลงทุนแต่ละคน
เปรียบเทียบ Passive Fund กับ Active Fund: เลือกแบบไหนดี?
เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง นักลงทุนควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างกองทุน Passive กับ Active ซึ่งทั้งสองมีแนวคิดและวิธีการจัดการที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

Active Fund (กองทุนเชิงรุก) มุ่งเป้าหมายเพื่อเอาชนะตลาดหรือดัชนีอ้างอิง โดยผู้จัดการกองทุนอาศัยความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลลึกซึ้ง เลือกหลักทรัพย์เด่น และจับจังหวะซื้อขายเพื่อให้ผลตอบแทนเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่การจัดการแบบนี้มักมีค่าธรรมเนียมสูง และไม่มีหลักประกันว่ากองทุนจะทำได้ดีในระยะยาวเสมอไป
Passive Fund (กองทุนเชิงรับ) ตรงข้ามกัน โดยมีเป้าหมายแค่เลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีให้ใกล้เคียงที่สุด โดยไม่พยายามเอาชนะตลาด ทำให้การบริหารจัดการง่ายและค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ศรัทธาในกลไกตลาด และต้องการผลตอบแทนที่สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
ตารางเปรียบเทียบ Passive Fund และ Active Fund:
คุณสมบัติ | Passive Fund | Active Fund |
---|---|---|
เป้าหมาย | เลียนแบบผลตอบแทนดัชนี | เอาชนะผลตอบแทนดัชนี |
กลยุทธ์ | ลงทุนตามสัดส่วนดัชนี ไม่มีการคัดเลือกหลักทรัพย์เชิงรุก | ผู้จัดการกองทุนวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์เชิงรุก จับจังหวะตลาด |
ค่าธรรมเนียม | ต่ำ (เนื่องจากบริหารจัดการน้อย) | สูง (เนื่องจากต้องจ่ายค่าผู้จัดการกองทุนและค่าวิเคราะห์) |
ความโปร่งใส | สูง (พอร์ตการลงทุนสะท้อนดัชนีโดยตรง) | ปานกลาง (พอร์ตการลงทุนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน) |
ผลตอบแทน | คาดหวังผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี | คาดหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี แต่มีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่าดัชนีได้ |
ความเสี่ยง | ความเสี่ยงตามตลาดโดยรวม | ความเสี่ยงตามตลาด + ความเสี่ยงจากความสามารถของผู้จัดการกองทุน |
เวลาที่ต้องใช้ | น้อย (ไม่จำเป็นต้องติดตามบ่อย) | มาก (อาจต้องติดตามผลงานผู้จัดการกองทุน) |
เหมาะกับ | นักลงทุนมือใหม่, นักลงทุนระยะยาว, ผู้ที่มีเวลาจำกัด, ผู้ที่ต้องการค่าธรรมเนียมต่ำ | นักลงทุนที่เชื่อมั่นในความสามารถของผู้จัดการกองทุน, ผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าตลาด และยอมรับค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น |
การเลือกระหว่างสองแบบนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนตัว เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา และความเต็มใจในการติดตามพอร์ต สำหรับมือใหม่หรือนักลงทุนที่เน้นระยะยาวซึ่งต้องการความสะดวกและต้นทุนต่ำ Passive Fund มักเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นกว่า โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ Passive Fund กำลังเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนใน Passive Fund
แม้การลงทุนทุกประเภทจะมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย แต่การรู้จักจุดเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับ Passive Fund ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนไทย
ข้อดีของ Passive Fund:
- ค่าธรรมเนียมต่ำ: เพราะไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นเชิงลึกหรือซื้อขายบ่อย ค่าใช้จ่ายในการจัดการจึงต่ำกว่ากองทุน Active อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยเพิ่มผลตอบแทนสุทธิในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อในไทย
- กระจายความเสี่ยง: กองทุนลงทุนในหลักทรัพย์หลายตัวตามดัชนี ทำให้กระจายความเสี่ยงได้ดี ลดโอกาสที่การลงทุนในหุ้นตัวเดียวจะกระทบหนัก
- ผลตอบแทนโปร่งใส: ผลงานกองทุนสะท้อนดัชนีตรงๆ ทำให้เข้าใจง่ายและคาดการณ์ได้ นักลงทุนสามารถตรวจสอบ Tracking Error เพื่อดูว่ากองทุนติดตามดัชนีได้ดีแค่ไหน
- ไม่ต้องดูแลบ่อย: เหมาะกับคนยุ่งที่ไม่อยากติดตามข่าวตลาดทุกวัน แค่ลงทุนสม่ำเสมอและถือยาวก็พอ
- เหมาะสำหรับมือใหม่: ความเรียบง่ายและต้นทุนต่ำทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้าวงการ
ข้อเสียของ Passive Fund:
- ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้: ตามหลักการ มันแค่เลียนแบบดัชนี ไม่สร้างผลตอบแทนเหนือตลาด แม้ Active Fund บางกองจะทำได้ไม่ดี
- ลงตามตลาด: ถ้าตลาดตก กองทุนก็ตกตาม โดยไม่มีกลไกป้องกันเชิงรุกเหมือน Active ที่อาจปรับพอร์ตทันท่วงที
- ขาดความยืดหยุ่น: ต้องยึดตามกฎดัชนี ไม่สามารถปรับกลยุทธ์เร็วเพื่อหลีกเลี่ยงหุ้นเสี่ยงหรือเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ที่ไม่อยู่ในดัชนี
แม้จะมีข้อจำกัด แต่ข้อดีโดยรวมทำให้ Passive Fund เป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นความยั่งยืน
เจาะลึก Passive Fund ในตลาดหุ้นไทย: กองทุนเด่นและแพลตฟอร์มการซื้อขาย
สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากลอง Passive Fund การรู้จักผลิตภัณฑ์ในตลาดและช่องทางเข้าถึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ตลาดทุนไทยมีตัวเลือกทั้ง Index Fund และ ETF ที่อ้างอิงดัชนีหลักอย่าง SET50 และ SET100 ซึ่งช่วยให้เข้าถึงหุ้นไทยขนาดใหญ่ได้ง่าย
กองทุน Passive Fund ที่น่าสนใจในตลาดไทย:
- กองทุนที่อ้างอิงดัชนี SET50: ดัชนีนี้รวม 50 หุ้นมูลค่าสูงและสภาพคล่องดีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เหมาะสำหรับลงทุนหุ้นใหญ่ของไทย ตัวอย่างเช่น
- BSET50 (บลจ. บัวหลวง): ETF ที่อ้างอิง SET50 ซื้อขายเหมือนหุ้นผ่าน Streaming App
- K-SET50 (บลจ. กสิกรไทย): Index Fund ที่อ้างอิง SET50
- TMBSET50 (บลจ. ทหารไทย): Index Fund ที่อ้างอิง SET50
- กองทุนที่อ้างอิงดัชนี SET100: รวม 100 หุ้นขนาดใหญ่และสภาพคล่องดี ให้การกระจายความเสี่ยงกว้างขึ้น
- ONE-SET100 (บลจ. วรรณ): Index Fund ที่อ้างอิง SET100
- SCBSET100 (บลจ. ไทยพาณิชย์): Index Fund ที่อ้างอิง SET100
นอกจากนี้ ยังมี Passive Fund ที่อ้างอิงดัชนีต่างประเทศ เปิดโอกาสกระจายพอร์ตไปทั่วโลก เช่น กองทุนอ้างอิง S&P 500, NASDAQ, MSCI World หรือดัชนีตลาดเกิดใหม่ มักอยู่ในรูปแบบ Feeder Fund ที่ลงทุนต่อในกองทุนต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น SCB มีกองทุนที่ลงทุนใน ETF ต่างชาติอ้างอิงหุ้นโลก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจไทยที่อาจผันผวน
แพลตฟอร์มการซื้อขาย Passive Fund ในประเทศไทย:
นักลงทุนเข้าถึงได้หลายทาง:
- ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่: ธนาคารหลักมี บลจ. ในเครือ เป็นช่องทางหลักสำหรับ Index Fund เช่น
- ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB): ซื้อกองทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ ผ่าน SCB Easy App หรือสาขา
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri): ซื้อกองทุน บลจ. กรุงศรี ผ่าน Krungsri Mobile App หรือสาขา
- ธนาคารกสิกรไทย (KBank): ซื้อกองทุน บลจ. กสิกรไทย ผ่าน K-My Funds หรือ K-Plus App
- ธนาคารกรุงเทพ (BBL): ซื้อกองทุน บลจ. บัวหลวง (BBLAM) ผ่าน Bualuang mBanking App หรือสาขา
- บริษัทหลักทรัพย์ (บล.): สำหรับ ETF ต้องเปิดบัญชีกับ บล. และซื้อขายผ่านโปรแกรมเทรด เช่น Streaming App ตัวอย่าง บล. หยวนต้า, บล. บัวหลวง, บล. กสิกรไทย
- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โดยตรง: เปิดบัญชีกับ บลจ. โดยตรง บางแห่งมีแพลตฟอร์มออนไลน์สะดวก เช่น One Asset Management (บลจ. วรรณ) หรือ Krungsri Asset Management (บลจ. กรุงศรี)
ขั้นตอนการซื้อขายกองทุน:
สำหรับ Index Fund ผ่านธนาคารหรือ บลจ. เริ่มด้วยเปิดบัญชีกองทุนรวม ผ่านแอปหรือสาขา เมื่ออนุมัติแล้ว เลือกกองทุนและซื้อขายได้เลย สำหรับ ETF เปิดบัญชีกับ บล. และใช้ Streaming ส่งคำสั่งเหมือนหุ้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ในไทยค่อนข้างรวดเร็วและเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะผ่านแอปมือถือ
กลยุทธ์การลงทุนและข้อควรพิจารณาสำหรับ Passive Fund ในไทย
แม้ Passive Fund จะดูเรียบง่าย แต่การมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้ผลตอบแทนสูงสุดและตรงกับเป้าหมายทางการเงิน โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเศรษฐกิจภายในและภายนอก
การประเมินคุณภาพ Passive Fund:
- Tracking Error (ค่าความคลาดเคลื่อนในการติดตาม): วัดความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนกองทุนกับดัชนี ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงถึงการติดตามที่แม่นยำ
- Expense Ratio (อัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม): ค่าใช้จ่ายทั้งปีที่กองทุนเก็บ ยิ่งต่ำยิ่งช่วยรักษาผลตอบแทนระยะยาว
- Fund Size (ขนาดกองทุน): กองทุนใหญ่มีสภาพคล่องดีและต้นทุนต่อหน่วยต่ำ
- Historical Performance (ผลการดำเนินงานในอดีต): ใช้ดูว่ากองทุนติดตามดัชนีได้ดีแค่ไหน แม้ไม่รับประกันอนาคต แต่เป็นข้อมูลมีค่า
กลยุทธ์การลงทุน:
- การลงทุนระยะยาว: Passive Fund เหมาะกับการถือยาว เพราะตลาดหุ้นโดยรวมมักเติบโตในระยะยาว ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนชั่วคราว
- การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA – Dollar-Cost Averaging): ลงทุนเงินเท่าๆ กันทุกช่วง ไม่ว่าตลาดขึ้นหรือลง ช่วยลดความเสี่ยงจับจังหวะผิด และได้ราคาเฉลี่ยดี
- การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation): แม้เป็น Passive แต่ควรกระจายระหว่างหุ้น ตราสารหนี้ หรือดัชนีต่างกัน เพื่อบริหารความเสี่ยงให้เหมาะกับโปรไฟล์ส่วนตัว
- ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: สำหรับกองทุนอ้างอิงต่างประเทศ ถ้ากองทุนไม่ป้องกัน (Hedging) การเปลี่ยนแปลงของเงินบาทอาจกระทบผลตอบแทน ควรเลือกกองทุนที่มีนโยบายเหมาะสม
ภาษีและการวางแผนการลงทุน Passive Fund ในประเทศไทย
เรื่องภาษีเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการลงทุน Passive Fund สำหรับนักลงทุนไทย เพื่อให้วางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ประโยชน์สูงสุด
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน Passive Fund:
- ภาษีเงินปันผล (Dividend Tax): ถ้ากองทุนจ่ายปันผล จะหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เหมือนหุ้นทั่วไป สำหรับ ETF ที่จดทะเบียนในตลาด สามารถไม่รวมปันผลในภาษีเงินได้บุคคล และ 10% ถือเป็นภาษีสุดท้าย (Final Tax)
- ภาษีกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gains Tax): กำไรจากการขายหน่วยลงทุนกองทุนรวม (ยกเว้น ETF ในตลาด) ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลในไทย ซึ่งเป็นข้อดีเหนือกว่าการลงทุนหุ้นตรงๆ และ ETF ก็ยกเว้นเช่นกัน
การวางแผนการลงทุน Passive Fund เพื่อลดหย่อนภาษี:
ไทยมีเครื่องมือลงทุนที่ให้สิทธิภาษี ซึ่งรวม Passive Fund ได้:
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF – Super Savings Fund): ส่งเสริมออมยาว ลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไข Passive Fund หลายตัวมีเวอร์ชัน SSF ให้ลงทุนดัชนีพร้อมสิทธิประโยชน์
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF – Retirement Mutual Fund): สำหรับวัยเกษียณ ลดหย่อนภาษีแต่เงื่อนไขเข้มงวดเรื่องอายุและระยะถือครอง Passive ในรูป RMF เป็นทางเลือกวางแผนเกษียณที่ดี
การเลือก SSF หรือ RMF แบบ Passive เป็นวิธีสร้างผลตอบแทนยาวพร้อมประหยัดภาษี ควรศึกษาถึงเงื่อนไขละเอียดเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่และถูกกฎหมาย ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากเว็บไซต์ของ กรมสรรพากร
สรุป: Passive Fund ทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับอนาคตการเงิน
Passive Fund ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นเครื่องมือลงทุนที่ทรงพลังและยั่งยืน สำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะชาวไทยที่ต้องการความเรียบง่าย ประสิทธิภาพ และต้นทุนต่ำ ด้วยการติดตามผลตอบแทนตลาดโดยรวมแทนการแข่งขัน มันช่วยสร้างความมั่งคั่งระยะยาวด้วยวินัย
ไม่จำเป็นต้องทิ้ง Active Fund ไปทั้งหมด แต่ Passive สามารถเสริมพอร์ตได้ดี การผสมรวม เช่น ใช้ DCA สม่ำเสมอ ลดหย่อนผ่าน SSF/RMF หรือกระจายไปต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ฉลาดในการจัดการความเสี่ยงและเข้าใกล้เป้าหมายการเงิน
กุญแจคือการศึกษาข้อมูล เข้าใจหลักการ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวัง รวมถึงเลือกกองทุนที่ตรงวัตถุประสงค์และระดับเสี่ยงของคุณ ด้วยความรู้ที่ถูกต้องและการตัดสินใจรอบคอบ Passive Fund จะเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตทางการเงินที่มั่นคงสำหรับนักลงทุนไทยทุกคน เรียนรู้เพิ่มจากแหล่งน่าเชื่อถือ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Passive Fund (FAQ)
Passive Fund เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่จริงหรือไม่ และควรเริ่มต้นอย่างไร?
จริงครับ Passive Fund เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเรียบง่าย ค่าธรรมเนียมต่ำ และไม่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์มากนัก การเริ่มต้นที่ดีคือการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เลือกกองทุนที่อ้างอิงดัชนีหลักของไทย (เช่น SET50) และพิจารณาลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ด้วยจำนวนเงินที่สม่ำเสมอ
กองทุน Passive Fund ในไทยมีค่าธรรมเนียมเฉลี่ยเท่าไหร่ และถือว่าแพงหรือไม่?
ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยของ Passive Fund ในไทยมักจะอยู่ในช่วง 0.10% – 0.70% ต่อปี (Expense Ratio) ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ Active Fund ที่อาจมีค่าธรรมเนียมสูงถึง 1-2% ต่อปี ดังนั้น Passive Fund จึงไม่ถือว่าแพง และค่าธรรมเนียมที่ต่ำเป็นหนึ่งในข้อดีหลักที่ทำให้กองทุนประเภทนี้ได้รับความนิยม
ฉันสามารถซื้อ Passive Fund ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารกรุงศรี (Krungsri) หรือ SCB ได้อย่างไร และมีขั้นตอนอะไรบ้าง?
คุณสามารถซื้อ Passive Fund (ในรูปแบบ Index Fund) ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารเหล่านี้ได้โดยตรง โดยมีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้:
- เปิดบัญชีกองทุนรวมกับ บลจ. ในเครือธนาคาร (หากยังไม่มี) ซึ่งทำได้ผ่านแอปฯ หรือสาขา
- เข้าสู่แอปพลิเคชัน (เช่น Krungsri Mobile App หรือ SCB Easy App)
- เลือกเมนู “ลงทุน” หรือ “กองทุนรวม”
- ค้นหากองทุน Passive Fund ที่คุณสนใจ (อาจใช้คำว่า SET50, SET100 หรือชื่อกองทุนโดยตรง)
- ระบุจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และยืนยันคำสั่งซื้อ
สำหรับ ETF จะต้องซื้อผ่านแอปพลิเคชันซื้อขายหลักทรัพย์ (เช่น Streaming App) โดยเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์
ความเสี่ยงหลักของการลงทุนใน Passive Fund คืออะไร และมีวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างไร?
ความเสี่ยงหลักคือ ความเสี่ยงตลาด (Market Risk) กล่าวคือเมื่อตลาดโดยรวมปรับตัวลง กองทุน Passive Fund ก็จะปรับตัวลงตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังมี Tracking Error Risk คือความเสี่ยงที่กองทุนอาจไม่สามารถติดตามดัชนีได้สมบูรณ์ และ Liquidity Risk หากเป็น ETF ที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
วิธีบริหารจัดการ: เน้นการลงทุนระยะยาว, ใช้กลยุทธ์ DCA, กระจายการลงทุนไปยังดัชนีหรือสินทรัพย์ที่หลากหลาย และเลือกกองทุนที่มี Tracking Error ต่ำ
หากต้องการลงทุนใน Passive Fund ที่อ้างอิงดัชนีต่างประเทศ ควรพิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีอย่างไร?
ควรพิจารณาเรื่อง ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นสำคัญ หากกองทุนไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยง (Non-Hedging) การแข็งค่าของเงินบาทจะทำให้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทลดลง ในทางกลับกันหากเงินบาทอ่อนค่า จะได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับเรื่อง ภาษี กำไรจากการขายหน่วยลงทุนยังคงได้รับการยกเว้นภาษีในไทย แต่ในบางประเทศอาจมีการหักภาษีเงินปันผล ณ ที่จ่ายตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ ซึ่งต้องตรวจสอบนโยบายของกองทุนและข้อตกลงภาษีระหว่างประเทศ
Passive Fund สามารถให้ผลตอบแทนแซงหน้า Active Fund ได้จริงหรือในระยะยาว?
งานวิจัยจำนวนมาก โดยเฉพาะจาก SPIVA (S&P Dow Jones Indices Versus Active) ชี้ให้เห็นว่าในระยะยาว กองทุน Passive Fund มีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่าหรืออย่างน้อยก็เทียบเท่ากับ Active Fund ส่วนใหญ่ หลังหักค่าธรรมเนียม เนื่องจาก Active Fund มีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าและผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ
การลงทุนใน Passive Fund มีประโยชน์ด้านภาษีในประเทศไทยอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกับ SSF และ RMF?
ประโยชน์หลักคือ กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนได้รับการยกเว้นภาษี (สำหรับกองทุนรวมทั่วไปและ ETF) ส่วน เงินปันผลถูกหัก ณ ที่จ่าย 10% และเป็น Final Tax
สำหรับ SSF และ RMF หากคุณลงทุนใน Passive Fund ที่เป็นเวอร์ชัน SSF หรือ RMF คุณจะได้รับสิทธิ ลดหย่อนภาษี สำหรับเงินลงทุนตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ทำให้คุณประหยัดภาษีได้และสร้างผลตอบแทนในระยะยาวไปพร้อมกัน
ควรใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) กับ Passive Fund หรือไม่ และมีข้อดีอย่างไร?
ควรอย่างยิ่งครับ กลยุทธ์ DCA เหมาะกับ Passive Fund เป็นอย่างมาก ข้อดีคือ:
- **ลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด:** คุณไม่ต้องกังวลว่าจะซื้อตอนแพงหรือไม่ เพราะเป็นการซื้อเฉลี่ยราคา
- **สร้างวินัยการลงทุน:** ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสม่ำเสมอโดยอัตโนมัติ
- **ได้ประโยชน์เมื่อตลาดผันผวน:** ในช่วงที่ตลาดราคาตก คุณจะได้หน่วยลงทุนในราคาที่ถูกลง ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อตลาดฟื้นตัว
มี Passive Fund ประเภทไหนบ้างที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในกลุ่มนักลงทุนไทย?
Passive Fund ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนไทยมักจะเป็นกองทุนที่อ้างอิงดัชนีหลักของไทย เช่น SET50 Index Fund/ETF และ SET100 Index Fund เนื่องจากเป็นดัชนีที่รู้จักกันดีและสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ Passive Fund ที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศผ่าน Feeder Fund ที่อ้างอิงดัชนีระดับโลกอย่าง S&P 500 หรือ MSCI World ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับการกระจายความเสี่ยง
หากตลาดผันผวนรุนแรงหรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ Passive Fund จะยังคงเป็นทางเลือกที่ดีอยู่หรือไม่?
ในระยะสั้น Passive Fund จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนและวิกฤตเศรษฐกิจไม่ต่างจากตลาดโดยรวม และจะปรับตัวลงตามดัชนีอ้างอิง อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ยังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและมีวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (DCA) ช่วงวิกฤตอาจเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหน่วยลงทุนในราคาที่ถูกลง เพื่อรอการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต ดังนั้น Passive Fund ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว แม้ในภาวะที่ตลาดผันผวน