เมกะเทรนด์หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า: ทำไมถึงควรลงทุนตอนนี้?

Table of Contents

ทำไมหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าถึงเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุน?

โลกของอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่สุดในรอบกว่า 100 ปี จากยุคของเครื่องยนต์สันดาปที่เคยครองตลาดมาอย่างยาวนาน ตอนนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคทองของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ประสิทธิภาพสูง และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าเดิมอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่แฟชั่นชั่วคราว แต่เป็น “เมกะเทรนด์” ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเดินทางของมนุษยชาติ และเปิดช่องทางทำกำไรให้กับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสได้แต่เนิ่นๆ

ภาพประกอบรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน

ข้อมูลจาก องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปี 2022 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกพุ่งทะลุ 10 ล้านคัน และแนวโน้มยังคงเติบโตแบบก้าวกระโดด ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างเร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด รวมถึงประเทศไทยที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าภายใต้กรอบ “EV 3.5” ที่รวมถึงการให้เงินอุดหนุน การลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้า ทำให้ราคา EV ถูกลงและเข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงดึงดูดผู้บริโภค แต่ยังดึงดูดการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลกอย่าง BYD, GWM และ NETA เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ ส่งผลให้เกิด Ecosystem ที่สมบูรณ์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้

หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าในไทย: มีตัวไหนน่าสนใจบ้าง?

ถึงแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะยังไม่มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ดังอย่าง Tesla หรือ BYD จดทะเบียนโดยตรง แต่ก็มีบริษัทจำนวนมากที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ที่น่าจับตามอง โดยการลงทุนในหุ้นเหล่านี้เปรียบเสมือนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรม EV โดยไม่ต้องเสี่ยงกับความผันผวนของแบรนด์รถโดยตรง

กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์

รถยนต์ไฟฟ้าต้องพึ่งพาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากกว่ารถยนต์ทั่วไปหลายเท่า ทำให้บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านนี้กลายเป็นกำลังหลักในห่วงโซ่การผลิต

  • DELTA: ผู้นำด้านโซลูชันการจัดการพลังงานระดับโลก มีบทบาทสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของ EV เช่น On-board Charger และ DC/DC Converter รวมถึงระบบชาร์จในสถานี ช่วยให้รถไฟฟ้าชาร์จได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
  • KCE: ผู้ผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) คุณภาพสูงที่ใช้ในระบบควบคุมของรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกล่องควบคุมมอเตอร์ ระบบแบตเตอรี่ หรือหน้าจอแสดงผลทั้งหมด
  • HANA: ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกอบและทดสอบชิป (IC) ซึ่งเป็นหัวใจของระบบอัจฉริยะในยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ระบบขับขี่อัตโนมัติไปจนถึงการเชื่อมต่อ IoT

กลุ่มพลังงานและสถานีชาร์จ

เมื่อมีรถ EV บนท้องถนนเพิ่มขึ้น การขยายโครงข่ายสถานีชาร์จและแหล่งพลังงานสะอาดจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศน์

ภาพประกอบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในเมือง
  • EA: ผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของไทย ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ตั้งแต่โรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ไปจนถึงเครือข่ายสถานีชาร์จ “EA Anywhere” ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
  • GPSC: บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ และพัฒนาโซลูชันด้านพลังงานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีแผนรุกขยายธุรกิจ EV อย่างต่อเนื่องในอนาคต
  • PTT OR: ใช้เครือข่ายสถานีบริการ PTT Station ทั่วประเทศในการติดตั้งสถานีชาร์จ “EV Station PluZ” ทั้งแบบเร็วและแบบธรรมดา ผสานการให้บริการน้ำมันกับไฟฟ้าไว้ในที่เดียว

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและผู้จัดจำหน่าย

การที่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำจากจีนและยุโรปเลือกตั้งโรงงานในไทย ทำให้ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์หลัก

  • WHA: ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำที่มีลูกค้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและซัพพลายเออร์รายใหญ่หลายราย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค
  • AMATA: ผู้พัฒนานิคมขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบาย BOI และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่พุ่งเป้ามาที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าต่างประเทศ: ผู้นำตลาดโลกที่ต้องจับตา

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงบริษัทที่เป็นผู้บุกเบิกและกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมโดยตรง การลงทุนในหุ้นต่างประเทศถือเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสสูงสุด เพราะสามารถเข้าถึงบริษัทที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าและฐานลูกค้าทั่วโลก

โดยหนึ่งในแพลตฟอร์มที่นักลงทุนไทยนิยมใช้เพื่อเข้าถึงตลาดหุ้นต่างประเทศคือ Moneta Markets ซึ่งให้บริการซื้อขายหุ้นระดับโลกด้วยค่าธรรมเนียมต่ำ ระบบการซื้อขายที่เสถียร และเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย ทำให้สามารถลงทุนในหุ้น EV ชั้นนำได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

Tesla (TSLA) – ผู้นำตลาดและนวัตกรรม

Tesla ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างสิ้นเชิง ด้วยแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) เครือข่าย Supercharger ที่ครอบคลุม และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การลงทุนใน Tesla คือการลงทุนในวิสัยทัศน์ของ Elon Musk และระบบนิเวศน์ที่ครบวงจร

BYD (BYDDF) – ยักษ์ใหญ่จากจีน

บริษัทจีนที่ก้าวขึ้นมาท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Tesla ได้อย่างน่าจับตามอง BYD มีจุดแข็งด้านการผลิตแบบครบวงจร (Vertical Integration) ตั้งแต่แบตเตอรี่ “Blade Battery” ที่ปลอดภัยและทนทาน ไปจนถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว

Nio, Li Auto, XPeng – สามทหารเสือจากจีน

สตาร์ทอัพ EV จากจีนที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยแต่ละรายมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน

  • Nio: โดดเด่นด้วยบริการสลับแบตเตอรี่ (Battery Swapping) ที่ช่วยลดเวลาชาร์จเหลือเพียงไม่กี่นาที
  • Li Auto: เน้นรถแบบ EREV (Extended-Range Electric Vehicle) ที่มีเครื่องยนต์ช่วยชาร์จ แก้ปัญหาเรื่อง “range anxiety” ได้อย่างตรงจุด
  • XPeng: มุ่งเน้นพัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) และเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัย

ทางเลือกลงทุน: กองทุนรวม EV กระจายความเสี่ยง

การเลือกหุ้นรายตัวต้องอาศัยความรู้เชิงลึกและการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการเกาะเทรนด์แต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง “กองทุนรวม EV” คือทางออกที่ชาญฉลาด

  • การกระจายความเสี่ยง: กองทุนจะลงทุนในหุ้น EV หลายสิบหรือหลายร้อยตัวทั่วโลก ลดการพึ่งพาหุ้นใดหุ้นหนึ่ง
  • ใช้เงินลงทุนน้อย: เริ่มต้นเพียงไม่กี่ร้อยบาท ก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นผู้นำตลาด EV ได้
  • มีผู้เชี่ยวชาญดูแล: ผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์และปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง

กองทุนรวมในไทยที่เกี่ยวข้องกับธีมนี้ เช่น K-CHANGE-A(A), TMB-ES-CHINA-EV และ ASP-EVOLUTION ซึ่งแต่ละกองทุนมีนโยบายการลงทุนและระดับความเสี่ยงต่างกัน นักลงทุนควรศึกษาหนังสือชี้ชวนอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

[จุดเด่น] ไขความสับสน: หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) vs หุ้นรถไฟฟ้า (BTS/MRT)

นี่คือจุดที่นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้เริ่มต้น มักสับสน เนื่องจากในภาษาไทย “รถไฟฟ้า” อาจหมายถึงทั้งรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและรถยนต์ไฟฟ้า แต่ในเชิงการลงทุน ทั้งสองอย่างนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ภาพประกอบนักลงทุนมองกราฟหุ้น
  • หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car): เช่น Tesla, BYD, EA, DELTA เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า นวัตกรรม และเทคโนโลยี รายได้ขึ้นกับยอดขายและส่วนแบ่งตลาด
  • หุ้นรถไฟฟ้า (BTS/MRT): เช่น BTS, BEM ให้บริการขนส่งมวลชน รายได้หลักมาจากค่าโดยสาร การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ และโฆษณา ขึ้นกับจำนวนผู้โดยสารและนโยบายภาครัฐ

การลงทุนใน BTS หรือ BEM จึงไม่ได้หมายถึงการลงทุนในเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การแยกแยะความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณเลือกสินทรัพย์ได้ตรงกับเป้าหมายทางการเงิน

ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณาก่อนลงทุนในหุ้น EV

แม้เทรนด์จะสดใส แต่การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงที่ต้องตระหนัก

  • การแข่งขันสูง: ทั้งจากผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมและสตาร์ทอัพใหม่ ทำให้แรงกดด้านราคาและกำไรเพิ่มขึ้น
  • ความผันผวนของราคา: หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักมีการเคลื่อนไหวรุนแรง นักลงทุนต้องมีสติและวางแผนบริหารความเสี่ยง
  • ความเสี่ยงด้านนโยบาย: การเปลี่ยนแปลงมาตรการสนับสนุนจากรัฐ เช่น ยกเลิกเงินอุดหนุน อาจกระทบยอดขายได้ทันที
  • ปัญหาซัพพลายเชน: การขาดแคลนชิป หรือราคาวัตถุดิบ เช่น ลิเธียม โคบอลต์ ที่ผันผวน อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิต

ข้อมูลจาก วิจัยกรุงศรี ชี้ว่า ตลาด EV ในไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่การแข่งขันที่เข้มข้นก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

สรุป: จะเริ่มลงทุนในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร?

หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของทศวรรษนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นไทยที่อยู่ใน Ecosystem การซื้อหุ้นผู้นำโลกโดยตรง หรือผ่านกองทุนรวม การเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับความรู้ ความเสี่ยง และเป้าหมายของคุณคือกุญแจสำคัญ

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้:

  1. เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์: ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือกองทุนรวม โดยเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ เช่น ที่ให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม Moneta Markets สำหรับการลงทุนในตลาดโลก
  2. ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม: เข้าใจธุรกิจ โมเดลรายได้ และแนวโน้มของบริษัทหรือกองทุนที่สนใจ พร้อมประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้
  3. กำหนดกลยุทธ์และเริ่มลงทุน: เลือกลงทุนในหุ้นรายตัวหรือกองทุนรวม และอาจใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและลดความผันผวน

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มันเกิดขึ้นแล้วในวันนี้ โอกาสในการลงทุนกำลังเปิดกว้าง อย่ารอให้สายเกินไป ศึกษาข้อมูล วางแผนอย่างรอบคอบ และเริ่มต้นลงทุนในเทรนด์ที่จะกำหนดอนาคตได้เลยตั้งแต่วันนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ลงทุนในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง กับ กองทุนรวม EV แบบไหนดีกว่ากัน?

ขึ้นอยู่กับสไตล์และเป้าหมายของนักลงทุน การลงทุนในหุ้นรายตัวให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงหากเลือกหุ้นได้ถูกต้อง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ส่วนกองทุนรวม EV เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ไม่ต้องการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด และยอมรับผลตอบแทนในระดับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มลงทุนในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร?

สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยการลงทุนในกองทุนรวม EV อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงและมีผู้จัดการกองทุนดูแล หลังจากมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาเลือกศึกษาและลงทุนในหุ้นรายตัวที่สนใจเป็นลำดับถัดไป

หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดหุ้นไทย (SET) มีตัวไหนบ้างที่เป็นผู้ผลิตโดยตรง?

ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Brand) ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยโดยตรง แต่มีบริษัทที่ได้รับประโยชน์จาก Ecosystem ของ EV จำนวนมาก เช่น กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, KCE), กลุ่มพลังงานและสถานีชาร์จ (EA, GPSC) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA)

จะซื้อหุ้น Tesla หรือ BYD จากประเทศไทยต้องทำอย่างไร?

นักลงทุนไทยสามารถซื้อหุ้นต่างประเทศอย่าง Tesla (TSLA) หรือ BYD (BYDDF) ได้โดยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ในประเทศไทยที่ให้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีหลายแห่งที่อำนวยความสะดวกในส่วนนี้ หรืออีกทางเลือกคือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเหล่านี้

ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการลงทุนในหุ้นกลุ่ม EV คืออะไร?

ความเสี่ยงที่สำคัญคือ “การแข่งขันที่รุนแรง” ทั้งจากผู้เล่นรายใหม่และค่ายรถยนต์ดั้งเดิม ซึ่งอาจกดดันราคาขายและอัตรากำไร นอกจากนี้ “ความผันผวนของราคาหุ้น” ในกลุ่มเทคโนโลยีก็เป็นอีกความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเตรียมรับมือ

นโยบายสนับสนุน EV ของรัฐบาลไทยส่งผลดีต่อหุ้นตัวไหนบ้าง?

นโยบายสนับสนุนส่งผลดีต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มผู้จัดจำหน่ายรถยนต์, กลุ่มผู้ให้บริการสถานีชาร์จ (EA, OR), และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA) ที่ได้ลูกค้าเป็นโรงงานผลิต EV รายใหญ่จากต่างประเทศ ตามข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

หุ้นรถไฟฟ้า BTS/BEM เกี่ยวข้องกับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่?

ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง หุ้น BTS และ BEM เป็นหุ้นในกลุ่มขนส่งมวลชนระบบราง (Electric Train) ซึ่งมีโมเดลธุรกิจมาจากค่าโดยสารและการพัฒนาพื้นที่ ในขณะที่เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ส่วนบุคคล การผลิต และเทคโนโลยี แม้จะใช้คำว่า “รถไฟฟ้า” เหมือนกัน แต่เป็นคนละอุตสาหกรรมกันอย่างสิ้นเชิง

อนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร?

คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยจะมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้นในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น, เทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพัฒนาไปไกลกว่าเดิม ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นและชาร์จเร็วขึ้น, และสถานีชาร์จจะครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนเปลี่ยนมาใช้ EV มากขึ้นไปอีก

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *