Lot คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์ Forex มือใหม่และมืออาชีพ

การเข้าใจแนวคิดเรื่อง “ล็อต” ในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในส่วนของฟอเร็กซ์และ CFD ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่นักเทรดทุกคนควรทราบ ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มต้นหรือมีประสบการณ์มานานแล้ว เพราะล็อตคือหน่วยวัดสำหรับกำหนดปริมาณการซื้อขาย ซึ่งมีผลต่อขนาดของออเดอร์ที่เปิด ความเป็นไปได้ในการทำกำไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ

ภาพประกอบนักเทรดกำลังศึกษาขนาดล็อตในตลาดฟอเร็กซ์พร้อมกราฟและตัวเลขทางการเงิน

เนื้อหานี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความหมายของขนาดล็อต ประเภทต่าง ๆ วิธีคำนวณกำไรและขาดทุน ความเชื่อมโยงกับเลเวอเรจและมาร์จิ้น รวมถึงเคล็ดลับในการจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยให้นักเทรดชาวไทยนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดของตัวเองได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภาพประกอบนักเทรดชาวไทยกำลังเรียนรู้การคำนวณขนาดล็อตด้วยกราฟและสัญลักษณ์เลเวอเรจ

Table of Contents

เกริ่นนำ: ล็อตคืออะไร และทำไมนักเทรดฟอเร็กซ์ถึงต้องรู้จัก?

ในแวดวงการเทรดฟอเร็กซ์ ซึ่งเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ หรือแม้แต่ตลาด CFD ที่เกี่ยวข้อง คำว่าล็อตไม่ได้หมายถึงกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์หรือล็อตเตอรี่อย่างที่เราคุ้นเคย แต่เป็นหน่วยมาตรฐานที่ใช้วัดปริมาณการซื้อขายแต่ละรอบ

ภาพประกอบแพลตฟอร์มเทรดฟอเร็กซ์และ CFD ที่เน้นคำว่าล็อตอย่างชัดเจน

การทำความเข้าใจขนาดล็อตจึงเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเทรดทุกคน เนื่องจากมันกำหนดว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียง 1 pip จะมีมูลค่าเท่าใด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจำนวนกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ การเลือกขนาดล็อตให้เหมาะสมยังเป็นหัวใจหลักในการจัดการความเสี่ยง ช่วยปกป้องทุนของคุณจากความสูญเสียที่ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความรู้จักล็อตในตลาดฟอเร็กซ์และ CFD ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ล็อตคือหน่วยที่ใช้วัดปริมาณของสินทรัพย์อ้างอิงที่นักเทรดกำลังทำธุรกรรม โดยปกติ 1 ล็อตจะเท่ากับจำนวนหน่วยของสกุลเงินหลักที่เปิดตำแหน่ง การกำหนดขนาดล็อตแบบมาตรฐานนี้ช่วยให้การเทรดในตลาดระดับโลกมีความเป็นระบบและเข้าใจได้ง่ายสำหรับทุกคน

สำหรับตลาดฟอเร็กซ์ ขนาดล็อตมักอ้างอิงจากจำนวนหน่วยของสกุลเงินหลัก เช่น ในคู่สกุลเงิน EUR/USD สกุลเงินหลักคือ EUR ดังนั้น 1 ล็อตจึงหมายถึงปริมาณ EUR ที่นักเทรดกำลังซื้อหรือขาย

ประเภทขนาดล็อต: เลือกให้ตรงกับสไตล์การเทรดของคุณ

เพื่อตอบโจทย์นักเทรดที่มีทุนและระดับความเสี่ยงต่างกัน โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จึงจัดหาขนาดล็อตหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีขนาดและผลกระทบต่อบัญชีเทรดที่แตกต่างกันไป

สแตนดาร์ดล็อต (ล็อตมาตรฐาน)

สแตนดาร์ดล็อตคือขนาดล็อตที่ใหญ่ที่สุด โดย 1 สแตนดาร์ดล็อตเท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีทุนหนาและประสบการณ์สูง ซึ่งต้องการผลตอบแทนจากความเคลื่อนไหวราคาระดับใหญ่ การเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยในสแตนดาร์ดล็อตสามารถก่อให้เกิดกำไรหรือขาดทุนมหาศาลได้

มินิล็อต

มินิล็อตคือขนาดที่เล็กลง โดย 1 มินิล็อตเท่ากับ 10,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก เป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับนักเทรดที่มีทุนปานกลาง หรือใครที่อยากลดความเสี่ยงจากการใช้สแตนดาร์ดล็อต มินิล็อตช่วยให้เข้าถึงตลาดได้โดยควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า

ไมโครล็อต

ไมโครล็อตคือขนาดเล็กสุด โดย 1 ไมโครล็อตเท่ากับ 1,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก เป็นทางเลือกเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือใหม่ คนที่มีทุนจำกัด หรือผู้ที่อยากทดลองกลยุทธ์ใหม่โดยไม่เสี่ยงมาก การเทรดด้วยไมโครล็อตช่วยให้คุ้นเคยกับตลาดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขาดทุนหนัก

นาโนล็อต – สำหรับโบรกเกอร์บางราย

นาโนล็อตคือขนาดที่เล็กลงกว่าไมโครล็อต โดย 1 นาโนล็อตเท่ากับ 100 หน่วยของสกุลเงินหลัก ไม่ใช่โบรกเกอร์ทุกแห่งจะมี แต่ถ้ามี ก็เหมาะสำหรับการฝึกเทรดในสภาพจริงโดยแทบไม่มีความเสี่ยง ทำให้เป็นเครื่องมือเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม

สำหรับนักเทรดชาวไทย การเลือกขนาดล็อตควรคำนึงถึงขนาดทุนในบัญชีและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โบรกเกอร์ยอดนิยมในไทยมักให้บริการมินิล็อตและไมโครล็อต ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจและทุนเริ่มต้นที่จำกัดในท้องถิ่น

ขนาดล็อตเชื่อมโยงกับมูลค่าพิพและการคำนวณกำไรขาดทุนอย่างไร?

พิพคือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กสุดในตลาดฟอเร็กซ์ การเคลื่อนไหวแต่ละพิพจะกำหนดกำไรหรือขาดทุนของคุณ และมูลค่าพิพนั้นขึ้นอยู่กับขนาดล็อตที่เลือก

สูตรคำนวณมูลค่าพิพ:

มูลค่าพิพ = (1 พิพ / อัตราแลกเปลี่ยน) x ขนาดล็อต

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • คู่สกุลเงิน EUR/USD: สมมติอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน 1.0750
    • สแตนดาร์ดล็อต (100,000 หน่วย): มูลค่าพิพ = (0.0001 / 1.0750) x 100,000 ≈ 9.30 USD (โดยปกติเมื่อ USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง มูลค่าพิพอยู่ที่ 10 USD)
    • มินิล็อต (10,000 หน่วย): มูลค่าพิพ ≈ 1 USD
    • ไมโครล็อต (1,000 หน่วย): มูลค่าพิพ ≈ 0.10 USD
  • คู่สกุลเงิน USD/JPY: สมมติอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน 148.50
    • สแตนดาร์ดล็อต (100,000 หน่วย): มูลค่าพิพ = (0.01 / 148.50) x 100,000 ≈ 6.73 USD (เมื่อ JPY เป็นสกุลเงินอ้างอิง มูลค่าพิพอยู่ที่ 6.73 USD)
    • มินิล็อต (10,000 หน่วย): มูลค่าพิพ ≈ 0.67 USD
    • ไมโครล็อต (1,000 หน่วย): มูลค่าพิพ ≈ 0.067 USD

จากตัวอย่างชัดเจนว่ายิ่งขนาดล็อตใหญ่ มูลค่าพิพก็ยิ่งสูงตามไปด้วย หากราคาเคลื่อนไหวตามที่คาด คุณจะได้กำไรมาก แต่ถ้าผิดทาง ขาดทุนก็จะหนักเช่นกัน

สำหรับการคำนวณกำไรหรือขาดทุน ให้คูณจำนวนพิพที่ได้หรือเสียด้วยมูลค่าพิพของขนาดล็อต เช่น ถ้าเปิด 1 สแตนดาร์ดล็อตใน EUR/USD และได้กำไร 50 พิพ กำไรจะอยู่ที่ 50 x 10 USD = 500 USD (หรือราว 17,500 บาท ถ้า 1 USD = 35 บาท) ซึ่งช่วยให้นักเทรดเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นในการวางแผน

ขนาดล็อต เลเวอเรจ และมาร์จิ้น: ความเชื่อมโยงที่นักเทรดไทยต้องชำนาญ

ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดล็อต เลเวอเรจ และมาร์จิ้นเป็นหัวข้อที่นักเทรดชาวไทยควรศึกษาอย่างละเอียด เพื่อจัดการทุนได้อย่างชาญฉลาดและหลีกเลี่ยงปัญหาที่พบบ่อย

เลเวอเรจ: คือเครื่องมือจากโบรกเกอร์ที่ช่วยให้นักเทรดควบคุมตำแหน่งขนาดใหญ่เกินกว่าทุนจริง เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายถึงควบคุมสินทรัพย์มูลค่า 100,000 ดอลลาร์ด้วยทุนแค่ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มโอกาสแต่ก็เพิ่มความเสี่ยงตาม

มาร์จิ้น: คือส่วนของทุนจริงที่โบรกเกอร์ล็อกไว้เป็นหลักประกันสำหรับการเปิดตำแหน่งด้วยเลเวอเรจ มันไม่ใช่ค่าธรรมเนียม แต่เป็นเงินที่ถูกผูกไว้จนกว่าจะปิดออเดอร์

ความเชื่อมโยงหลัก:

  • ขนาดล็อตและมาร์จิ้น: ขนาดล็อตที่ใหญ่ขึ้นต้องใช้มาร์จิ้นมากกว่า แม้เลเวอเรจจะสูง
  • เลเวอเรจและมาร์จิ้น: เลเวอเรจสูงช่วยลดมาร์จิ้นที่ต้องใช้สำหรับขนาดล็อตเดียวกัน

ความเสี่ยงสำหรับนักเทรดไทย: การผสมขนาดล็อตใหญ่กับเลเวอเรจสูงเป็นข้อผิดพลาดทั่วไปในมือใหม่ไทย ซึ่งอาจนำไปสู่ margin call หรือ stop out อย่างรวดเร็วถ้าตลาดผันผวน โดยเฉพาะในช่วงข่าวเศรษฐกิจสำคัญ

เคล็ดลับ: แม้โบรกเกอร์จะให้เลเวอเรจสูงอย่าง 1:500 หรือ 1:1000 แต่ไม่ควรใช้เต็มที่ ควรเลือกขนาดล็อตที่ตรงกับขนาดบัญชี และจำกัดความเสี่ยงต่อเทรดไม่เกิน 1-2% ของทุนทั้งหมด เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

จัดการความเสี่ยงด้วยขนาดล็อต: เคล็ดลับสำหรับการเทรดที่ยั่งยืน

การจัดการความเสี่ยงคือกุญแจสู่ความสำเร็จในฟอเร็กซ์ระยะยาว และขนาดล็อตคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยควบคุมได้ดี ตามแนวทางจากแหล่งข้อมูลชั้นนำอย่าง IG

หลักพื้นฐาน: กำหนดความเสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อเทรด

วิธีที่ได้รับการยอมรับคือการตั้งว่ายอมเสี่ยงขาดทุนเท่าไรต่อเทรด โดยแนะนำไม่เกิน 1-2% ของทุนทั้งหมด เช่น ทุน 1,000 USD เสี่ยง 2% หมายถึงขาดทุนสูงสุด 20 USD ต่อครั้ง ซึ่งช่วยรักษาทุนไว้ได้นาน

ขั้นตอนคำนวณขนาดล็อตที่เหมาะสม:

  1. กำหนดจุด stop loss: ก่อนเปิดออเดอร์ ต้องรู้ว่าจะตั้ง stop loss ห่างจากจุดเข้าเท่าไรในหน่วยพิพ
  2. คำนวณเงินที่ยอมเสี่ยง: เอาเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงคูณกับทุนในบัญชี
  3. หามูลค่าพิพที่เหมาะ: เอาเงินที่ยอมเสี่ยงหารด้วยจำนวนพิพของ stop loss
  4. แปลงเป็นขนาดล็อต: ใช้สูตรขนาดล็อต = (มูลค่าพิพที่เหมาะ / 10 USD) x 100,000 (สำหรับคู่สกุลเงินที่ USD เป็นอ้างอิงและมูลค่าพิพ 10 USD ต่อสแตนดาร์ดล็อต)

ตัวอย่างปฏิบัติ:

  • ทุน: 1,000 USD
  • ความเสี่ยง: 2% = 20 USD
  • Stop loss: 20 พิพ
  • มูลค่าพิพที่เหมาะ: 20 USD / 20 พิพ = 1 USD/พิพ
  • ขนาดล็อต: เท่ากับ 1 มินิล็อต (10,000 หน่วย)

ดังนั้น เปิดด้วย 1 มินิล็อตเพื่อให้ขาดทุนสูงสุดไม่เกิน 20 USD ถ้าราคาชน stop loss การนำขนาดล็อตไปใช้คู่กับ stop loss และ take profit อย่างมีวินัย จะช่วยควบคุมความเสี่ยงและรักษาทุนได้ดี สร้างฐานสำหรับการเทรดที่ยั่งยืน

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการใช้ขนาดล็อตสำหรับมือใหม่ไทย และวิธีป้องกัน

นักเทรดมือใหม่ในไทยมักเจอปัญหาจากการใช้ขนาดล็อตผิดพลาด ซึ่งนำไปสู่ขาดทุนไม่จำเป็น นี่คือข้อผิดพลาดหลักและแนวทางหลีกเลี่ยง

  1. เลือกขนาดล็อตใหญ่เกินทุน:
    • ปัญหา: เห็นเลเวอเรจสูงจากโบรกเกอร์ ก็ใช้ขนาดล็อตใหญ่เพื่อหวังกำไรเยอะ โดยไม่ดูทุนที่จำกัด
    • แนวทางแก้: ยึดหลักเสี่ยง 1-2% ของทุนเสมอ ถ้าทุนน้อย เริ่มด้วยไมโครล็อตหรือนาโนล็อต เพื่อสร้างประสบการณ์โดยไม่เสี่ยงมาก
  2. ไม่วางแผนความเสี่ยงและ stop loss:
    • ปัญหา: เปิดออเดอร์ด้วยขนาดล็อตที่อยากได้ โดยไม่คิดถึงจุด stop loss หรือขีดจำกัดขาดทุน
    • แนวทางแก้: ก่อนเทรดทุกครั้ง ต้องกำหนด stop loss และปรับขนาดล็อตให้ตรงกับความเสี่ยงที่ยอมรับ เพื่อป้องกันการขาดทุนเกินควบคุม
  3. เข้าใจผิดว่าขนาดล็อตใหญ่คือเก่ง:
    • ปัญหา: มือใหม่บางคนคิดว่าขนาดล็อตใหญ่แสดงถึงความโปร หรืออยากอวดเพื่อน
    • แนวทางแก้: ขนาดล็อตวัดความเสี่ยงและความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความเก่ง การเทรดฉลาดคือรักษาทุนและกำไรสม่ำเสมอ ไม่ใช่เสี่ยงจนหมดตัว
  4. ไม่ปรับขนาดล็อตตามตลาดหรือกลยุทธ์:
    • ปัญหา: ใช้ขนาดล็อตเดิมตลอด แม้กลยุทธ์เปลี่ยนหรือตลาดผันผวนหนัก
    • แนวทางแก้: ติดตามสภาวะตลาดและความผันผวน ถ้าตลาดเด้งแรง ลดขนาดล็อตเพื่อลดผลกระทบจากพิพ
  5. เลียนแบบขนาดล็อตจากคนอื่นโดยไม่วิเคราะห์:
    • ปัญหา: เห็นนักเทรดอื่นใช้ขนาดล็อตใหญ่แล้วกำไร ก็ทำตามโดยไม่ดูทุนหรือกลยุทธ์ตัวเอง
    • แนวทางแก้: แต่ละคนมีทุนและความเสี่ยงต่างกัน การจัดการขนาดล็อตต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ส่วนตัวเท่านั้น

การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ต้องอาศัยวินัย การเรียนรู้ต่อเนื่อง และความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องทุนและความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยยกระดับการเทรดให้ดีขึ้น

สรุป: ขนาดล็อตคือกุญแจสู่ความสำเร็จในฟอเร็กซ์

ขนาดล็อตไม่ใช่แค่ตัวเลขกำหนดปริมาณเทรด แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงกับการสร้างกำไร การควบคุมความเสี่ยง และความยั่งยืนในฐานะนักเทรดฟอเร็กซ์

เมื่อเข้าใจประเภทขนาดล็อต ผลกระทบต่อมูลค่าพิพ ความสัมพันธ์กับเลเวอเรจและมาร์จิ้น รวมถึงการนำไปใช้จัดการความเสี่ยง คุณจะตัดสินใจเทรดได้อย่างมีเหตุผลและรับผิดชอบมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือนักเทรดเก่า การทบทวนและปรับปรุงการใช้ขนาดล็อตให้เหมาะสมเสมอ จะเป็นปัจจัยหลักที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จยาวนานในตลาดการเงิน โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากอัตราแลกเปลี่ยนและกฎระเบียบในประเทศ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับขนาดล็อตในตลาดฟอเร็กซ์

Lot คืออะไรในตลาดหุ้นไทย และต่างจาก Forex อย่างไร?

ในตลาดหุ้นไทย คำว่า “Lot” หมายถึงจำนวนหุ้นขั้นต่ำที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งโดยทั่วไปคือ 100 หุ้นต่อ 1 Lot แตกต่างจาก Forex ที่ Lot หมายถึงหน่วยของสกุลเงินหลัก (เช่น 100,000 หน่วยสำหรับ Standard Lot) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในหน่วยการนับและประเภทของสินทรัพย์ที่ซื้อขาย

ถ้าบัญชีเทรดมีเงินทุนน้อย ควรเริ่มต้นใช้ Lot Size เท่าไหร่ดี?

หากมีเงินทุนน้อย ควรสเริ่มต้นด้วย Micro Lot (1,000 หน่วย) หรือ Nano Lot (100 หน่วย) หากโบรกเกอร์มีให้บริการ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งให้น้อยที่สุด และฝึกฝนการเทรดโดยไม่ต้องกังวลกับการขาดทุนจำนวนมาก

การเลือกใช้ Lot Size ที่ใหญ่เกินตัว มีผลเสียต่อบัญชีเทรดอย่างไรบ้าง?

การใช้ Lot Size ที่ใหญ่เกินตัวจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมหาศาล ทำให้บัญชีของคุณอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่:

  • Margin Call/Stop Out: บัญชีถูกบังคับปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อมาร์จิ้นไม่เพียงพอ
  • ขาดทุนรวดเร็ว: เงินทุนหมดเร็วขึ้นหากตลาดสวนทาง
  • ความเครียด: ตัดสินใจผิดพลาดเนื่องจากความกดดันทางอารมณ์

โบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับความนิยมในไทย ส่วนใหญ่มี Lot Size ประเภทใดให้เลือก?

โบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยส่วนใหญ่จะให้บริการ Lot Size หลักๆ ได้แก่ Standard Lot, Mini Lot, และ Micro Lot บางโบรกเกอร์อาจมี Nano Lot ให้เลือกสำหรับบัญชีประเภทเซ็นต์ (Cent Account) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นอย่างยิ่ง

Lot Size มีผลต่อการคำนวณและเสียภาษีกำไรจากการเทรด Forex ในไทยหรือไม่?

Lot Size ไม่ได้มีผลโดยตรงต่ออัตราภาษี แต่มีผลต่อ จำนวนกำไรหรือขาดทุนที่คุณทำได้ ซึ่งเป็นฐานในการคำนวณภาษี หากคุณทำกำไรจำนวนมากจากการเทรดด้วย Lot Size ที่ใหญ่ ก็อาจส่งผลให้กำไรที่ต้องเสียภาษีสูงขึ้นตามไปด้วย การเสียภาษี Forex ในไทยยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกฎระเบียบอย่างใกล้ชิด

เทรดเดอร์ควรเปลี่ยน Lot Size บ่อยแค่ไหน หรือมีหลักการอย่างไรในการปรับเปลี่ยน?

เทรดเดอร์ควรปรับเปลี่ยน Lot Size เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใน:

  • ขนาดเงินทุนในบัญชี: เมื่อเงินทุนเพิ่มขึ้น คุณอาจพิจารณาเพิ่ม Lot Size ได้ แต่ยังคงสัดส่วนความเสี่ยงเดิม
  • กลยุทธ์การเทรด: หากเปลี่ยนกลยุทธ์ที่อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นหรือต่ำลง
  • สภาวะตลาด: ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง อาจลด Lot Size ลงเพื่อลดความเสี่ยง

หลักการคือให้ Lot Size สอดคล้องกับหลักการบริหารความเสี่ยง 1-2% ของเงินทุนเสมอ

นอกเหนือจาก Forex, คำว่า ‘Lot’ มีความหมายอื่นในชีวิตประจำวันของคนไทยที่ควรรู้ไหม?

ใช่, คำว่า ‘Lot’ ในภาษาไทยสามารถมีความหมายอื่นๆ ได้ เช่น:

  • ล็อต (Lot) การผลิต: หมายถึงชุดหรือกลุ่มของสินค้าที่ผลิตในคราวเดียวกัน
  • ล็อต (Lot) ที่ดิน: หมายถึงแปลงที่ดิน
  • ล็อตเตอรี่ (Lottery): หมายถึงสลากกินแบ่งรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ในบริบททางการเงิน คำว่า Lot มักหมายถึงหน่วยการซื้อขายในตลาด Forex หรือหุ้น

Lot Size มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ Leverage (เลเวอเรจ) และ Margin (มาร์จิ้น) อย่างไร?

Lot Size, Leverage และ Margin มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ยิ่ง Lot Size ใหญ่ขึ้นเท่าใด มาร์จิ้นที่ต้องใช้ในการเปิดสถานะก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย (หาก Leverage เท่าเดิม) ในทางกลับกัน การใช้ Leverage ที่สูงขึ้นจะช่วยลดจำนวนมาร์จิ้นที่ต้องใช้สำหรับ Lot Size เดียวกันได้ ทำให้คุณสามารถควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน

มีเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันใดบ้างที่ช่วยคำนวณ Lot Size ที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่?

มีเครื่องมือและแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยคำนวณ Lot Size ที่เหมาะสม โดยอิงจากเงินทุน, เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง, และ Stop Loss ที่คุณกำหนด เครื่องมือเหล่านี้มักเรียกว่า “Forex Position Size Calculator” หรือ “Lot Size Calculator” คุณสามารถค้นหาได้ทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของโบรกเกอร์หรือเว็บไซต์การศึกษา Forex ทั่วไป

ถ้าต้องการเทรดคู่สกุลเงินที่มีค่าเงินบาท (THB) Lot Size จะคำนวณต่างจากคู่สกุลเงินหลักอื่นๆ หรือไม่?

การคำนวณ Lot Size และ Pip Value สำหรับคู่สกุลเงินที่มีค่าเงินบาท (THB) จะใช้หลักการเดียวกันกับคู่สกุลเงินอื่นๆ แต่เนื่องจาก THB เป็นสกุลเงินที่มีอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ USD หรือ EUR มูลค่า Pip ที่ได้จากการคำนวณอาจแตกต่างกันออกไป และคุณต้องพิจารณาอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบันเพื่อการคำนวณที่แม่นยำ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *