ศัพท์ Forex พื้นฐานที่นักเทรดมือใหม่ต้องรู้ในปี 2025

Table of Contents

ศัพท์ Forex พื้นฐานที่นักเทรดมือใหม่ต้องรู้: เข้าใจตลาดเงินง่ายๆ ในบทความเดียว

สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของการเทรด Forex ตลาดการเงินที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก หากคุณกำลังก้าวเข้าสู่สนามนี้เป็นครั้งแรก หรือกำลังศึกษาเพื่อยกระดับการเทรดของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ คือ “ภาษา” ของตลาดนี้ครับ

เหมือนการเดินทางไปต่างประเทศ การที่คุณรู้ภาษาท้องถิ่นจะช่วยให้คุณสื่อสาร ทำความเข้าใจ และนำทางตัวเองได้อย่างราบรื่น การเทรด Forex ก็เช่นกัน คำศัพท์เฉพาะทางต่างๆ เป็นเสมือนภาษาที่คุณต้องเรียนรู้ เพื่อให้สามารถอ่านกราฟ เข้าใจเครื่องมือวิเคราะห์ บริหารความเสี่ยง และสื่อสารกับผู้ให้บริการหรือเพื่อนร่วมตลาดได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ

บทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับคำศัพท์ Forex พื้นฐานและคำศัพท์สำคัญอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเทรด โดยจะอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างและเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราจะทำหน้าที่เหมือนไกด์นำทาง ที่จะช่วยให้คุณไม่หลงทางในเขาวงกตของศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อน พร้อมแล้วหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย!

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตลาด Forex:

  • ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์
  • มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
  • การเทรด Forex คือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงิน
คำศัพท์ Forex พื้นฐาน
คำศัพท์ คำอธิบาย
Bid (ราคาเสนอซื้อ) นี่คือราคา ที่ผู้ซื้อยินดีจะ “ซื้อ” สกุลเงินฐานจากคุณ
Ask (ราคาเสนอขาย) นี่คือราคา ที่ผู้ขายยินดีจะ “ขาย” สกุลเงินฐานให้กับคุณ
Spread นี่คือความแตกต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid

ตลาด Forex คืออะไร? มาทำความรู้จักคำศัพท์แกนหลักกันเถอะ

ก่อนจะลงลึกถึงคำศัพท์ เรามาทำความเข้าใจภาพรวมของ ตลาด Forex กันก่อนครับ Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange Market หรือ ตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดที่ผู้คนทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายสกุลเงินต่างๆ ปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันมีมหาศาลกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เป็นตลาดที่มี สภาพคล่อง สูงมาก และเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

การ เทรด Forex คือการทำกำไรจากความเปลี่ยนแปลงของ อัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างสองสกุลเงิน เมื่อคุณซื้อสกุลเงินหนึ่ง นั่นหมายความว่าคุณกำลังขายอีกสกุลเงินหนึ่งพร้อมกัน การทำความเข้าใจว่าราคาเหล่านี้ถูกกำหนดอย่างไร และใช้คำศัพท์อะไรในการอ้างอิง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด

นี่คือคำศัพท์พื้นฐานที่คุณจะเจอทันทีที่เข้าสู่แพลตฟอร์มการเทรด:

  • Bid (ราคาเสนอซื้อ): นี่คือ ราคา ที่ผู้ซื้อ (ตลาด/โบรกเกอร์) ยินดีจะ “ซื้อ” สกุลเงิน ฐาน (Base Currency) จากคุณ หรือพูดง่ายๆ คือ เป็นราคาที่คุณจะ “ขาย” สกุลเงินนั้นได้ทันที
  • Ask (ราคาเสนอขาย): นี่คือ ราคา ที่ผู้ขาย (ตลาด/โบรกเกอร์) ยินดีจะ “ขาย” สกุลเงิน ฐาน (Base Currency) ให้กับคุณ หรือพูดง่ายๆ คือ เป็นราคาที่คุณจะ “ซื้อ” สกุลเงินนั้นได้ทันที
  • Spread (ส่วนต่างราคา Bid-Ask): นี่คือความแตกต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ครับ เปรียบเสมือน “ค่าบริการ” หรือ “ต้นทุน” ในการ เทรด ที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ ยิ่ง สภาพคล่อง ของ คู่เงิน สูง Spread ก็มักจะยิ่งต่ำ
  • Pip (Point in Percentage): คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของ ราคา ที่เล็กที่สุดใน คู่สกุลเงิน ส่วนใหญ่แล้ว 1 Pip จะเท่ากับการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งทศนิยมที่ 4 (เช่น จาก 1.1234 เป็น 1.1235 คือเปลี่ยนแปลง 1 Pip) ยกเว้น คู่เงิน ที่มี JPY เป็น สกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) ที่มักจะนับที่ตำแหน่งทศนิยมที่ 2 การเปลี่ยนแปลงของ Pip คือสิ่งที่เราใช้คำนวณ กำไร หรือ ขาดทุน
  • Lot: คือขนาดมาตรฐานของสัญญาในการ เทรด Forex ครับ โดยทั่วไป 1 Standard Lot เท่ากับ 100,000 หน่วยของ สกุลเงินฐาน (Base Currency) นอกจากนี้ยังมี Mini Lot (10,000 หน่วย) และ Micro Lot (1,000 หน่วย) ขนาด Lot นี้มีผลโดยตรงต่อมูลค่าของ Pip และขนาดของ Position (สถานะการเทรด) ของคุณ

การทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญมากๆ เพราะคุณจะต้องใช้มันทุกครั้งที่ทำการวิเคราะห์และส่งคำสั่ง ซื้อขาย

ภาพแสดงแนวคิดการเทรด Forex

คู่สกุลเงิน: ทำไมต้องเทรดเป็นคู่? และความแตกต่างที่คุณควรรู้

อย่างที่เราได้กล่าวไปว่า การเทรด Forex คือการแลกเปลี่ยน สกุลเงิน หนึ่งกับอีก สกุลเงิน หนึ่ง ดังนั้น สกุลเงิน ในตลาด Forex จึงปรากฏในรูปแบบของ คู่สกุลเงิน (Currency Pair) เสมอ เช่น EUR/USD, GBP/JPY เป็นต้น

ใน คู่สกุลเงิน จะมีองค์ประกอบสำคัญสองส่วนคือ:

  • Base Currency (สกุลเงินฐาน): คือ สกุลเงิน ตัวแรกใน คู่เงิน ในตัวอย่าง EUR/USD, EUR คือ สกุลเงินฐาน นี่คือ สกุลเงิน ที่คุณกำลังจะซื้อหรือขาย
  • Quote Currency (สกุลเงินอ้างอิง): คือ สกุลเงิน ตัวที่สองใน คู่เงิน ในตัวอย่าง EUR/USD, USD คือ สกุลเงินอ้างอิง ราคา ของ คู่เงิน นี้แสดงให้เห็นว่าคุณต้องใช้ สกุลเงินอ้างอิง จำนวนเท่าใดในการซื้อ สกุลเงินฐาน 1 หน่วย เช่น ถ้า EUR/USD อยู่ที่ 1.1000 หมายความว่าต้องใช้ 1.1000 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในการซื้อ 1 ยูโร (EUR)

ภาพแสดงกราฟตลาด Forex

คู่สกุลเงิน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้:

  • คู่เงิน Major (Major Pairs): คือ คู่เงิน หลักที่มี สกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นส่วนประกอบ และเป็น สกุลเงิน ของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, AUD/USD, USD/CAD, NZD/USD คู่เงิน Major มี สภาพคล่อง สูงมาก และมี Spread ที่ค่อนข้างต่ำ
  • คู่เงิน Minor (Minor Pairs หรือ Cross Pairs): คือ คู่เงิน ที่จับคู่ระหว่าง สกุลเงิน หลักที่ไม่ใช่ USD ด้วยกันเอง เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY คู่เงิน Minor มี สภาพคล่อง รองลงมาจาก คู่เงิน Major และ Spread อาจจะสูงกว่าเล็กน้อย
  • คู่เงิน Exotic (Exotic Pairs): คือ คู่เงิน ที่จับคู่ระหว่าง สกุลเงิน หลักกับ สกุลเงิน ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่า เช่น USD/THB, EUR/TRY, GBP/ZAR คู่เงิน Exotic มักจะมี สภาพคล่อง ต่ำกว่า คู่เงิน Major และ Minor อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ Spread สูง และมีความ ผันผวน สูงตามไปด้วย การ เทรดคู่เงิน Exotic จึงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ประเภทของคู่สกุลเงิน
ประเภทคู่สกุลเงิน คำอธิบาย
Major Pairs คู่เงินหลักที่มี USD เป็นส่วนประกอบ
Minor Pairs คู่เงินที่จับคู่ระหว่างสกุลเงินหลักที่ไม่ใช่ USD
Exotic Pairs คู่เงินระหว่างสกุลเงินหลักกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

การเลือก คู่เงิน ในการ เทรด ควรพิจารณาจากความคุ้นเคย ความ ผันผวน และ สภาพคล่อง ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ

Leverage และ Margin: ดาบสองคมที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ ตลาด Forex น่าสนใจและแตกต่างจากตลาดอื่นๆ คือเรื่องของ Leverage (อัตราทด) และ Margin (เงินประกัน) ซึ่งเป็นคำศัพท์สำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจให้ดี

  • Leverage: คือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม “อำนาจซื้อ” ในการ เทรด ของคุณครับ โบรกเกอร์จะให้คุณใช้เงินจำนวนน้อย (Margin) เพื่อควบคุมสัญญา การซื้อขาย ที่มีมูลค่ามากกว่าหลายเท่าตัว เช่น ถ้าโบรกเกอร์ให้อัตรา Leverage 1:100 หมายความว่า คุณสามารถควบคุม Position มูลค่า 100,000 หน่วยของ สกุลเงินฐาน (Base Currency) ได้ โดยใช้เงิน Margin เพียง 1,000 หน่วยเท่านั้น (1/100 ของมูลค่าสัญญา)

Leverage เป็นเหมือน “ดาบสองคม” เพราะมันเพิ่มทั้งโอกาสในการทำ กำไร อย่างมหาศาล หาก ราคา เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เพิ่มโอกาสในการ ขาดทุน อย่างทวีคูณเช่นกัน หาก ราคา เคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณเปิด Position ยิ่งใช้ Leverage สูงเท่าไหร่ ความเสี่ยง ที่ เงินทุน ของคุณจะหมดลง (หรือที่เรียกว่าเกิด Margin Call และ Stop Out) ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

  • Margin: คือเงินประกันขั้นต่ำที่คุณต้องมีในบัญชี เทรด เพื่อเปิดและรักษา Position ที่ใช้ Leverage จำนวน Margin ที่ต้องการจะแตกต่างกันไปตามขนาด Lot, คู่เงิน และอัตรา Leverage ที่คุณใช้
  • Margin Call: นี่คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อระดับ Margin Level (ส่วนของเงินทุนที่ใช้เป็น Margin) ของคุณลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หมายความว่า เงินทุน (Equity) ของคุณกำลังใกล้เคียงกับ Margin ที่ใช้ในการเปิด Position โบรกเกอร์กำลังบอกให้คุณรู้ว่าคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะโดนปิด Position อัตโนมัติ หาก ราคา ยังคงเคลื่อนที่สวนทาง
  • Stop Out Level: หาก Margin Level ของคุณลดลงต่ำกว่าระดับ Stop Out Level ที่โบรกเกอร์กำหนด โบรกเกอร์จะทำการปิด Position ที่ ขาดทุน ที่สุดของคุณโดยอัตโนมัติ จนกว่าระดับ Margin Level จะกลับมาอยู่เหนือเกณฑ์ เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณติดลบ การเกิด Stop Out คือการที่คุณสูญเสีย เงินทุน ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในบัญชี เทรด ของคุณ

การทำความเข้าใจกลไกของ Leverage และ Margin เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพื่อให้คุณสามารถจัดการขนาด Position Size และบริหาร ความเสี่ยง ได้อย่างเหมาะสม

ภาพแสดงการเรียนรู้พื้นฐาน Forex

ต้นทุนแฝงที่คุณควรรู้: Swap และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการเทรด

นอกเหนือจาก Spread ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการเข้าและออก Position แล้ว ยังมีต้นทุนแฝงอีกประเภทหนึ่งที่คุณต้องรู้จัก โดยเฉพาะหากคุณวางแผนที่จะถือ Position การเทรด ข้ามคืน นั่นคือ Swap

  • Swap (Rollover Fee): คือค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นเมื่อคุณถือ Position ข้ามคืน โดยจะถูกคำนวณและหัก/บวก เข้าบัญชีของคุณทุกวัน ในเวลาที่กำหนด (ส่วนใหญ่คือตอนตลาดนิวยอร์กปิด) ค่า Swap เกิดจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสอง สกุลเงิน ใน คู่เงิน ที่คุณ เทรด

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ คู่เงิน ที่มี สกุลเงินฐาน (Base Currency) ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า สกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) คุณอาจได้รับ ค่า Swap ในเชิงบวก (ได้เงิน) ในทางกลับกัน หาก สกุลเงินฐาน ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า สกุลเงินอ้างอิง คุณจะต้องจ่าย ค่า Swap ในเชิงลบ (เสียเงิน) ปัจจัยพื้นฐานของ สกุลเงิน นั้นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตร มีผลโดยตรงต่อการคำนวณ ค่า Swap

หากคุณเป็นนัก เทรด ระยะสั้นแบบ Scalping หรือ Day Trading ที่ไม่ถือ Position ข้ามคืน คุณก็ไม่ต้องกังวลเรื่อง ค่า Swap แต่หากเป็นนัก เทรด ระยะยาวหรือ Swing Trading ที่ถือ Position หลายวันหรือหลายสัปดาห์ ค่า Swap อาจกลายเป็นต้นทุนสำคัญที่ต้องพิจารณา

นอกจาก Spread และ Swap แล้ว ยังอาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่โบรกเกอร์บางรายเรียกเก็บ เช่น ค่าคอมมิชชั่นต่อ Lot หรือค่าธรรมเนียมการฝากถอนเงิน สิ่งสำคัญคือคุณต้องตรวจสอบและทำความเข้าใจโครงสร้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี เทรด

เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์: กราฟและ Indicators ช่วยคุณได้อย่างไร?

ในโลกของการ เทรด Forex การตัดสินใจ ซื้อขาย มักจะอาศัยการ วิเคราะห์ เพื่อคาดการณ์ทิศทางของ ราคา เครื่องมือหลักที่นัก เทรด ส่วนใหญ่ใช้คือการ วิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งเป็นการศึกษาพฤติกรรม ราคา ในอดีตโดยใช้กราฟและเครื่องมือทางสถิติต่างๆ

เครื่องมือในการวิเคราะห์
เครื่องมือ คำอธิบาย
กราฟราคา (Price Chart) รูปแบบกราฟที่นิยมที่สุดคือ กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ที่แสดงข้อมูลสำคัญในช่วงเวลาหนึ่ง
แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) คือระดับ ราคา ที่ในอดีต ราคา มักจะหยุดหรือกลับตัว
เส้นแนวโน้ม (Trend Line) คือเส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุดหรือสูงสุดเพื่อแสดงทิศทางของ แนวโน้มราคา

การเรียนรู้และเลือกใช้ Indicator ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ การเทรด ของคุณ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ

ทำความเข้าใจคำสั่งเทรด: ควบคุมการซื้อขายของคุณให้มีประสิทธิภาพ

เมื่อคุณทำการ วิเคราะห์ และตัดสินใจได้แล้วว่าจะ ซื้อ หรือ ขาย คู่สกุลเงิน ใด สิ่งต่อไปคือการส่ง “คำสั่ง” ไปยังโบรกเกอร์เพื่อทำการ ซื้อขาย คำสั่ง เทรด มีหลายประเภท แต่คำสั่งพื้นฐานที่คุณต้องรู้จักคือ:

  • Entry Point (จุดเข้า): คือระดับ ราคา ที่คุณเปิด Position การเทรด ไม่ว่าจะเป็นการ ซื้อ (Buy) หรือ ขาย (Sell)
  • Exit Point (จุดออก): คือระดับ ราคา ที่คุณปิด Position การเทรด การปิด Position อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ กำไร ตามเป้าหมาย หรือเมื่อ ขาดทุน ถึงระดับที่ยอมรับได้ หรืออาจเกิดจากคำสั่งอัตโนมัติที่เราจะกล่าวถึงต่อไป
  • Stop Loss Order (คำสั่งตัดขาดทุนอัตโนมัติ): นี่คือคำสั่งสำคัญที่สุดในการ บริหารความเสี่ยง (Risk Management) ครับ คุณตั้ง Stop Loss ไว้ที่ระดับ ราคา หนึ่ง ซึ่งหาก ราคา เคลื่อนที่สวนทางกับ Position ของคุณจนมาถึงระดับนี้ ระบบจะทำการปิด Position ของคุณโดยอัตโนมัติทันที เพื่อ “จำกัด” จำนวน ขาดทุน ที่อาจเกิดขึ้นไม่ให้เกินกว่าที่คุณรับได้ การใช้ Stop Loss เสมอในทุก Position คือวินัยพื้นฐานของนัก เทรด ที่ประสบความสำเร็จ
  • Take Profit Order (คำสั่งปิดทำกำไรอัตโนมัติ): ตรงข้ามกับ Stop Loss ครับ คำสั่งนี้ใช้เพื่อ “ล็อก กำไร ” เมื่อ ราคา เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์จนถึงระดับ ราคา เป้าหมายที่คุณตั้งไว้ ระบบจะปิด Position อัตโนมัติ ทำให้คุณได้รับ กำไร ตามที่วางแผนไว้ ช่วยให้คุณไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ และมั่นใจได้ว่าจะได้ กำไร ตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ อาจมีคำสั่งประเภทอื่นๆ เช่น Limit Order (คำสั่งตั้ง ซื้อขาย ล่วงหน้าเมื่อ ราคา ถึงระดับที่ต้องการ) หรือ Stop Order (คำสั่งตั้ง ซื้อขาย ล่วงหน้าเมื่อ ราคา ทะลุระดับที่กำหนด) ซึ่งจะซับซ้อนขึ้นไปอีก แต่การเข้าใจ Stop Loss และ Take Profit คือสิ่งที่คุณต้องเชี่ยวชาญตั้งแต่แรก

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): หัวใจสำคัญของการอยู่รอดในตลาด Forex

เราได้พูดถึง ความเสี่ยง ไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของ Leverage แต่หัวข้อนี้สำคัญมากจนต้องยกมาพูดเป็นพิเศษครับ การ บริหารความเสี่ยง ไม่ใช่แค่คำศัพท์ แต่เป็น “กระบวนการ” และ “วินัย” ที่นัก เทรด ทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

การบริหารความเสี่ยง คือการวางแผนและใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อลดโอกาสในการ ขาดทุน อย่างรุนแรงและป้องกันไม่ให้บัญชี เทรด ของคุณเสียหายจนหมด เงินทุน เป้าหมายไม่ใช่การหลีกเลี่ยง ความเสี่ยง ทั้งหมด (เพราะการ เทรด ย่อมมีความเสี่ยง) แต่คือการควบคุม ความเสี่ยง ให้อยู่ในระดับที่คุณยอมรับได้

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารความเสี่ยง ได้แก่:

  • Position Size (ขนาดสถานะ): คือขนาดของ Lot ที่คุณใช้ในการเปิด Position แต่ละครั้ง การคำนวณขนาด Position Size ที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญของการ บริหารความเสี่ยง คุณควรคำนวณว่าในแต่ละ การซื้อขาย หากเกิด ขาดทุน จนถึงจุด Stop Loss คุณจะสูญเสีย เงินทุน ไปเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของบัญชี โดยส่วนใหญ่นัก เทรด มืออาชีพจะแนะนำให้ เสี่ยง เพียง 1-2% ของ เงินทุน ต่อ การเทรด หนึ่งครั้ง
  • Risk/Reward Ratio (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน): คือการเปรียบเทียบจำนวน เงินทุน ที่คุณยอม เสี่ยง (ระยะห่างจาก Entry Point ถึง Stop Loss) กับจำนวน กำไร ที่คาดหวัง (ระยะห่างจาก Entry Point ถึง Take Profit) การเลือก การเทรด ที่มีอัตราส่วน Risk/Reward Ratio ที่ดี เช่น 1:2 หรือ 1:3 (ยอม เสี่ยง 1 หน่วย เพื่อหวัง กำไร 2 หรือ 3 หน่วย) จะช่วยให้คุณยังคงทำ กำไร ได้ในระยะยาว แม้จะไม่ได้ชนะทุก การเทรด ก็ตาม

จำไว้ว่า ตลาด Forex มี ความผันผวน สูง และการใช้ Leverage ทำให้ ความเสี่ยง เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การมีแผน การบริหารความเสี่ยง ที่ชัดเจน การใช้ Stop Loss เสมอ และการไม่ เสี่ยง มากเกินไปในแต่ละ Position คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดนี้ได้ในระยะยาว

สภาวะตลาด: Bull, Bear, และ Volatility บอกอะไรเราได้บ้าง?

เมื่อพูดถึง ตลาดการเงิน โดยรวม รวมถึง ตลาด Forex เรามักจะได้ยินคำศัพท์ที่ใช้อธิบาย “สภาวะ” หรือ “บรรยากาศ” ของตลาด ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่คุณควรรู้จัก เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของ แนวโน้มราคา ที่เกิดขึ้น

  • Bull Market (ตลาดกระทิง): หมายถึงสภาวะที่ ตลาด หรือ ราคา ของสินทรัพย์มี แนวโน้ม ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนกระทิงที่ใช้เขาขวิดขึ้นไป นักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวก (เป็น “กระทิง” หรือ Bulls) และเชื่อว่า ราคา จะขึ้นไปอีก ในสภาวะ Bull Market การ เทรด ตาม แนวโน้ม ขาขึ้นมักจะได้เปรียบ
  • Bear Market (ตลาดหมี): หมายถึงสภาวะที่ ตลาด หรือ ราคา ของสินทรัพย์มี แนวโน้ม ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนหมีที่ใช้เล็บตะปบลงมา นักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงลบ (เป็น “หมี” หรือ Bears) และเชื่อว่า ราคา จะลงไปอีก ในสภาวะ Bear Market การ เทรด ตาม แนวโน้ม ขาลงมักจะได้เปรียบ

สิ่งสำคัญคือ ตลาด Forex เปิดโอกาสให้ทำ กำไร ได้ทั้งในสภาวะ Bull Market (เปิด Position Buy) และ Bear Market (เปิด Position Sell) ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ที่ทำ กำไร ได้ง่ายกว่าในตลาดขาขึ้น

สภาวะตลาด Forex
สภาวะตลาด คำอธิบาย
Bull Market ตลาดที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น
Bear Market ตลาดที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
Volatility ระดับการเปลี่ยนแปลงราคาที่รวดเร็วหรือรุนแรง

การเข้าใจสภาวะ ตลาด และระดับ ความผันผวน ช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ การเทรด และ การบริหารความเสี่ยง ได้เหมาะสม

ปัจจัยขับเคลื่อนราคา: ทำไมราคาถึงผันผวน? และ Economic Calendar สำคัญอย่างไร?

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ ราคา คู่สกุลเงิน ใน ตลาด Forex เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา? สาเหตุหลักมาจากปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่ส่งผลต่อมูลค่าของ สกุลเงิน นั้นๆ ซึ่งนี่คือหัวใจของการ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) แม้ว่าบทความนี้จะเน้นศัพท์ทางเทคนิค แต่การรู้ศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยขับเคลื่อน ราคา ก็เป็นสิ่งจำเป็น

อัตราแลกเปลี่ยน ใน ตลาด Forex ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยทาง เศรษฐกิจ การเมือง และการประกาศนโยบายจากธนาคารกลาง ซึ่งทำให้เกิด ความผันผวน สูงมาก

  • ข้อมูลเศรษฐกิจ (Economic Data): การประกาศตัวเลขทาง เศรษฐกิจ ที่สำคัญของประเทศต่างๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน, อัตราการเติบโตทาง เศรษฐกิจ (GDP), ตัวเลขยอดค้าปลีก ล้วนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อค่าเงินของประเทศนั้นๆ หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาด อาจทำให้ สกุลเงิน แข็งค่าขึ้น
  • นโยบายการเงิน (Monetary Policy): การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (เช่น Federal Reserve ของสหรัฐฯ หรือ European Central Bank ของยุโรป) เป็นปัจจัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างหนึ่งต่อ ตลาด Forex การขึ้นดอกเบี้ยมักทำให้ สกุลเงิน นั้นๆ น่าสนใจขึ้นสำหรับนักลงทุน ทำให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่า
  • เหตุการณ์ทางการเมือง (Political Events): ความไม่แน่นอนทางการเมือง การเลือกตั้ง หรือข้อตกลงทางการค้า ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ ความผันผวน ของ คู่สกุลเงิน ได้

เพื่อติดตามข่าวสารสำคัญเหล่านี้ นัก เทรด Forex จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Economic Calendar (ปฏิทินเศรษฐกิจ) ครับ

  • Economic Calendar: คือเครื่องมือที่แสดงวันและเวลา การประกาศ ข้อมูล เศรษฐกิจ ที่สำคัญล่วงหน้า พร้อมระบุระดับความสำคัญของแต่ละข่าว และตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ การตรวจสอบ Economic Calendar ก่อนทำการ เทรด ช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับ ความผันผวน ที่อาจเกิดขึ้น และหลีกเลี่ยง การเทรด ในช่วงที่มีข่าวสำคัญมากเกินไปหากคุณไม่ต้องการ เสี่ยง

การเข้าใจว่าปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ส่งผลต่อ ราคา อย่างไร จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจ เทรด โดยพิจารณาทั้งการ วิเคราะห์ทางเทคนิค และปัจจัยพื้นฐานร่วมด้วย

แพลตฟอร์มและโบรกเกอร์: เครื่องมือและผู้ให้บริการในโลก Forex ของคุณ

คุณได้เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับ ตลาด , คู่เงิน , ความเสี่ยง , การวิเคราะห์ และคำสั่ง เทรด ไปแล้ว แต่คุณจะเข้าถึง ตลาด จริงๆ ได้อย่างไร? คุณต้องอาศัยผู้ให้บริการที่เรียกว่า “โบรกเกอร์” และใช้ “แพลตฟอร์ม” ที่โบรกเกอร์มีให้

  • Broker (โบรกเกอร์): คือบริษัทตัวกลางที่ให้บริการเชื่อมต่อคุณเข้ากับ ตลาด Forex ครับ โบรกเกอร์จะให้ แพลตฟอร์ม การเทรด ที่คุณใช้ส่งคำสั่ง ซื้อขาย จัดการบัญชี และดู ราคา Real-time การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ มีการกำกับดูแล (Regulation) ที่ดี มี Spread และค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม และมี แพลตฟอร์ม ที่เสถียร เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
  • Trading Platform (แพลตฟอร์มการเทรด): คือโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่คุณใช้เพื่อทำการ เทรด จริงๆ บน แพลตฟอร์ม นี้ คุณสามารถดู กราฟราคา ใช้ Indicator ส่งคำสั่ง ซื้อขาย ดู Position ที่เปิดอยู่ และจัดการบัญชี เทรด ได้ แพลตฟอร์ม ที่นิยมอย่างแพร่หลายใน ตลาด Forex คือ MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) นอกจากนี้ยังมี แพลตฟอร์ม อื่นๆ เช่น cTrader หรือ TradingView

ในส่วนของการเลือก แพลตฟอร์ม การเทรด นั้น Moneta Markets เป็นอีกหนึ่ง แพลตฟอร์ม ที่น่าสนใจสำหรับทั้งนัก เทรด มือใหม่และมืออาชีพ ด้วยการรองรับ MT4, MT5 และ Pro Trader ซึ่งเป็น แพลตฟอร์ม ยอดนิยม ทำให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือและอินดิเคเตอร์ที่คุณคุ้นเคยได้ พร้อมกับการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็วและ Spread ที่แข่งขันได้ เป็นทางเลือกที่น่าพิจารณาหากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ใหม่

  • Demo Account (บัญชีทดลองเทรด): ก่อนที่จะใช้ เงินทุน จริง การเทรด ใน ตลาด Forex มี ความเสี่ยง สูง โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จึงมี Demo Account ให้คุณได้ฝึกฝนและทำความคุ้นเคยกับ แพลตฟอร์ม และสภาวะ ตลาด โดยใช้ เงินสมมุติ การเริ่มต้นด้วย Demo Account เป็นสิ่งที่ “ต้องทำ” ครับ เพื่อให้คุณได้ทดสอบกลยุทธ์ ทำความเข้าใจกลไก ตลาด และเรียนรู้การใช้คำสั่งต่างๆ โดยไม่มี ความเสี่ยง ที่จะสูญเสีย เงินทุน จริง
  • Copy Trade: เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง การเทรด ที่บางโบรกเกอร์มีให้บริการ เป็นระบบที่คุณสามารถ “คัดลอก” การเทรด ของนัก เทรด มืออาชีพคนอื่นๆ ได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มั่นใจในการตัดสินใจเอง สามารถเข้าร่วม ตลาด ได้ แต่ก็ยังคงมีความ เสี่ยง ในการ ขาดทุน ตามนัก เทรด ต้นแบบได้เช่นกัน

การเลือกโบรกเกอร์และ แพลตฟอร์ม ที่เหมาะสมกับความต้องการและระดับประสบการณ์ของคุณ เป็นขั้นตอนสำคัญไม่แพ้ การวิเคราะห์ และ การบริหารความเสี่ยง

กลยุทธ์การเทรดเบื้องต้น: Scalping, Day Trade, Swing Trade แตกต่างกันอย่างไร?

กลยุทธ์ การเทรด ใน ตลาด Forex มีมากมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่ใช้ในการถือ Position และลักษณะของ การซื้อขาย คำศัพท์ที่ใช้อธิบายกลยุทธ์เหล่านี้ ได้แก่:

  • Scalping: เป็นกลยุทธ์ การเทรด ที่เน้นทำ กำไร เล็กๆ น้อยๆ หลายๆ ครั้งในระยะเวลาสั้นมากๆ (หลักวินาทีถึงนาที) โดยเปิดและปิด Position อย่างรวดเร็วเพื่อจับ การเคลื่อนไหว ของ ราคา เพียงไม่กี่ Pip นัก Scalper ต้องการ สภาพคล่อง สูง และ Spread ที่ต่ำมาก และต้องใช้สมาธิและวินัยสูง
  • Day Trading: เป็นกลยุทธ์ การเทรด ที่เปิดและปิด Position ภายในวันเดียวกัน ไม่มีการถือ Position ข้ามคืน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่อง ค่า Swap นัก Day Trader อาจถือ Position ตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง โดยวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาที่สั้นถึงปานกลาง
  • Swing Trading: เป็นกลยุทธ์ การเทรด ที่ถือ Position นานกว่า Day Trading โดยอาจถือข้ามวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ นัก Swing Trader จะพยายามจับ “วงสวิง” หรือการเคลื่อนไหวของ ราคา ใน แนวโน้ม ระยะกลาง โดยวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น เช่น กราฟ 4 ชั่วโมง หรือ กราฟรายวัน กลยุทธ์นี้ใช้เวลาน้อยกว่า Scalping และ Day Trading ในการเฝ้าหน้าจอ แต่ต้องรับมือกับ ค่า Swap และ ความเสี่ยง ที่เพิ่มขึ้นจากการถือ Position ข้ามคืน
กลยุทธ์การเทรด
กลยุทธ์ คำอธิบาย
Scalping เน้นทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ หลายครั้งในเวลาสั้น
Day Trading เปิดและปิด Position ในวันเดียวกันไม่ถือข้ามคืน
Swing Trading ถือ Position นานกว่าหนึ่งวันเพื่อจับการเคลื่อนไหวระยะกลาง

การเลือกกลยุทธ์ การเทรด ควรพิจารณาจากเวลาที่คุณสามารถจัดสรรให้กับการ เทรด ได้ บุคลิกของคุณ (ชอบ ความเสี่ยง สูง/ต่ำ ชอบ การเทรด ที่รวดเร็ว/ช้า) และ เงินทุน ที่คุณมี

การลงทุนมีความเสี่ยง: คำเตือนและก้าวต่อไปของคุณ

มาถึงตรงนี้ คุณคงได้เห็นแล้วว่า ตลาด Forex เต็มไปด้วยคำศัพท์และแนวคิดมากมาย การทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเพียง “ก้าวแรก” เท่านั้น

สิ่งสำคัญที่คุณต้องตระหนักเสมอคือ การลงทุน ใน ตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มี ความเสี่ยง สูงมาก คุณอาจสูญเสีย เงินทุน ทั้งหมดที่นำมา เทรด ได้ การใช้ Leverage แม้จะเพิ่มโอกาส กำไร แต่ก็เพิ่ม ความเสี่ยง ในการ ขาดทุน อย่างมหาศาลเช่นกัน

เราอยากย้ำเตือนให้คุณ:

  • ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง: ตลาด Forex มีพลวัตอยู่เสมอ มีกลยุทธ์ เครื่องมือ และแนวคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา การหยุดเรียนรู้คือการหยุดพัฒนา
  • ฝึกฝนด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account): ใช้ Demo Account ให้เต็มที่ ทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ เรียนรู้ แพลตฟอร์ม และทำความคุ้นเคยกับสภาวะ ตลาด ก่อนที่จะใช้ เงินทุน จริง
  • เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย: เมื่อพร้อมที่จะใช้ เงินทุน จริง ควรเริ่มต้นด้วยจำนวนที่คุณพร้อมจะสูญเสียได้ทั้งหมด และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อคุณมีประสบการณ์และความมั่นใจมากขึ้น
  • มีแผนการเทรดและบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน: อย่า เทรด ด้วยอารมณ์ หรือไม่มีแผน คุณต้องมีแผน การเทรด ที่บอกว่าเมื่อไหร่จะเข้า เมื่อไหร่จะออก และที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อไหร่จะ “หยุด ขาดทุน ” (ใช้ Stop Loss เสมอ)

หากคุณกำลังมองหา โบรกเกอร์ ที่มีเครื่องมือครบครันและได้รับการยอมรับในระดับสากลเพื่อเริ่มต้น การเทรด ไม่ว่าจะเป็น Forex หรือ CFD Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจครับ ด้วยการกำกับดูแลจากหลายหน่วยงานชั้นนำ เช่น FSCA, ASIC, FSA ทำให้มั่นใจได้ในเรื่อง ความน่าเชื่อถือ พร้อมบริการฝาก เงินทุน แบบแยกบัญชี (Segregated Funds), VPS ฟรี สำหรับนัก เทรด ที่ใช้ EA และฝ่ายบริการลูกค้าที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์

สรุป: พร้อมก้าวแรกสู่โลก Forex แล้วหรือยัง?

การเดินทางในโลกของ ตลาด Forex อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อคุณได้เรียนรู้ “ภาษา” ของมันผ่านคำศัพท์พื้นฐานต่างๆ ที่เราได้อธิบายไปในบทความนี้ ตั้งแต่ Bid, Ask, Spread, Pip, Lot ไปจนถึง Leverage, Swap, Stop Loss, Take Profit รวมถึงการทำความเข้าใจ คู่สกุลเงิน , การวิเคราะห์ทางเทคนิค และ การบริหารความเสี่ยง คุณก็จะมีความพร้อมมากขึ้นในการก้าวเดินต่อไป

จำไว้ว่า การเทรด Forex ไม่ใช่เรื่องของการรวยเร็ว แต่เป็นเรื่องของการเรียนรู้ การฝึกฝน และการมีวินัย สิ่งที่เราได้แบ่งปันไปในบทความนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายแง่มุมที่คุณต้องศึกษาเพิ่มเติม เช่น รูปแบบกราฟเชิงลึก Indicator ขั้นสูง หรือกลยุทธ์ การเทรด ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยจุดประกายให้คุณเกิดความเข้าใจใน ตลาด Forex มากขึ้น และพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปบนเส้นทางนี้ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการ เทรด ครับ!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัพท์ forex

Q:ตลาด Forex คืออะไร?

A:ตลาด Forex เป็นตลาดที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก

Q:คำศัพท์พื้นฐานใน Forex มีอะไรบ้าง?

A:คำศัพท์น่าสนใจได้แก่ Bid, Ask, Spread, Pip และ Lot เป็นต้น

Q:การบริหารความเสี่ยงในการเทรด Forex สำคัญอย่างไร?

A:การบริหารความเสี่ยงช่วยป้องกันการขาดทุนอย่างรุนแรงและช่วยให้การเทรดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *