FOMO หุ้น คือ: ทำความเข้าใจการลงทุน 2025

Table of Contents

ทำความเข้าใจ FOMO ในการลงทุน: กับดักทางอารมณ์ที่นักลงทุนทุกคนควรรู้จัก

ในโลกของการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและอารมณ์ มีกับดักหนึ่งที่นักลงทุนหลายคน โดยเฉพาะมือใหม่ มักจะตกหลุมพราง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า **FOMO** หรือ **Fear Of Missing Out** ครับ อาการนี้เป็นมากกว่าแค่ความรู้สึกกลัวที่จะพลาดโอกาส แต่เป็นสภาวะทางจิตวิทยาที่สามารถส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการตัดสินใจลงทุนและผลลัพธ์ในพอร์ตของคุณได้

คุณเคยรู้สึกไหมครับว่า เวลาเห็นสินทรัพย์บางอย่าง เช่น หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี ราคากำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และคุณก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ กลัวว่าจะไม่ได้ร่วมวง กลัวว่าจะพลาดโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ไป นั่นแหละครับ คืออาการเริ่มต้นของ FOMO บทความนี้ เราจะมาเจาะลึกทำความเข้าใจว่า FOMO คืออะไร มีที่มาอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร เพื่อให้การลงทุนของคุณอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและวินัย ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ

นักลงทุนค้นคว้าข้อมูลการลงทุน

เมื่อกล่าวถึงการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การรู้เท่าทัน FOMO เป็นสิ่งสำคัญ และมีวิธีที่จะรักษาสุขภาพจิตในการลงทุน:

  • การวางแผนชัดเจนก่อนการลงทุน
  • การศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสินทรัพย์
  • การตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนและเหมาะสม

FOMO คืออะไรในบริบทของการลงทุน? นิยามและความหมายของ “กลัวตกรถ”

**FOMO** ย่อมาจาก **Fear Of Missing Out** แปลตรงตัวคือ **ความกลัวที่จะพลาดโอกาส** ครับ ในชีวิตประจำวัน เราอาจเห็น FOMO ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การกลัวที่จะไม่ได้ไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เพื่อนๆ ไปกัน หรือการกลัวที่จะไม่ได้ลองสินค้าใหม่ที่กำลังเป็นกระแส แต่ในโลกของการเงินและการลงทุน FOMO มีความหมายที่เฉพาะเจาะจงและส่งผลกระทบได้มากกว่านั้น

ภาพการแสดงอารมณ์กลัวพลาดโอกาส

ในบริบทของการลงทุน FOMO มักถูกเรียกว่า **”อาการกลัวตกรถ”** ครับ มันคือสภาวะที่นักลงทุนรู้สึกเร่งรีบที่จะต้องเข้าไปซื้อสินทรัพย์ที่ราคากำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากความกลัวว่าราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ และตนเองจะพลาดโอกาสในการทำกำไรก้อนโตไป

ลองนึกภาพตามนะครับ: คุณเห็นราคาหุ้นตัวหนึ่ง หรือราคาเหรียญคริปโตสกุลหนึ่ง พุ่งขึ้น 10%, 20% หรือแม้กระทั่ง 50% ในเวลาอันสั้น ข่าวสารต่างๆ บนโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเรื่องราวความสำเร็จของผู้ที่ซื้อไว้ก่อนหน้า ผู้คนพูดถึงแต่เรื่องกำไรมหาศาล ในขณะที่คุณยังคงนั่งมองอยู่เฉยๆ ความรู้สึกกดดันเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ คุณเริ่มคิดว่า “ทำไมฉันถึงยังไม่ซื้อนะ?” “นี่เป็นโอกาสทองเลยหรือเปล่า?” “ถ้าไม่รีบซื้อตอนนี้ ฉันจะต้องเสียใจแน่ๆ!”

กราฟราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น

ความรู้สึกเหล่านี้เองที่ผลักดันให้คุณตัดสินใจเข้าซื้อสินทรัพย์นั้นในทันที โดยอาจไม่ได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หรือวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคอย่างรอบคอบ ไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ ไม่ได้วางแผนว่าจะซื้อที่ราคาเท่าไหร่ จะขายที่ราคาเท่าไหร่ หรือจะตัดขาดทุนที่ราคาเท่าไหร่ ขอเพียงแค่ได้ “ร่วมขบวน” ซื้อในขณะที่ราคากำลังขึ้นก็พอใจแล้ว นี่คือแก่นแท้ของ **FOMO ในการลงทุน** ครับ

พฤติกรรมและอาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังตกอยู่ในภาวะ FOMO

อาการ FOMO ในการลงทุนมีลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถสังเกตได้ หากคุณพบว่าตัวเองมีพฤติกรรมเหล่านี้บ่อยครั้ง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ครับ

พฤติกรรมที่พบได้บ่อยเมื่อเกิด FOMO:

  • รีบเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคากำลังพุ่งแรง: นี่คืออาการที่ชัดเจนที่สุด คุณตัดสินใจซื้อทันทีที่เห็นราคาขึ้น โดยไม่ลังเลหรือคิดวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน
  • ไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค: แรงขับเคลื่อนคือราคาที่กำลังขึ้น ไม่ใช่คุณค่าของสินทรัพย์หรือสัญญาณทางเทคนิคที่น่าเชื่อถือ
  • ซื้อตามกระแสหรือข่าวลือ: ได้ยินว่าเพื่อนซื้อ หรือเห็นคนดังบนโซเชียลมีเดียพูดถึง ก็ตัดสินใจซื้อตาม โดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง
  • รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่สบายใจเมื่อไม่ได้ซื้อ: แม้จะไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนให้ซื้อ แต่ก็รู้สึกอึดอัดใจที่ไม่ได้เข้าร่วมวง เหมือนกำลังพลาดโอกาสดีๆ
  • เพิ่มขนาดการลงทุนให้ใหญ่กว่าแผน: ด้วยความกลัวว่าจะพลาดกำไรก้อนใหญ่ อาจทำให้คุณตัดสินใจเพิ่มเงินลงทุนในสินทรัพย์นั้นมากกว่าที่คุณเคยวางแผนไว้
  • ไม่ได้กำหนดจุดทำกำไรหรือจุดตัดขาดทุนล่วงหน้า: เพราะรีบร้อนที่จะเข้าซื้อ ทำให้ไม่ได้วางแผนทางออกที่ชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นในภายหลัง
  • ตรวจสอบราคาบ่อยครั้งอย่างผิดปกติ: เมื่อซื้อไปแล้วภายใต้แรงขับเคลื่อนของ FOMO คุณจะคอยเฝ้าดูราคาตลอดเวลา ด้วยความหวังว่าราคาจะยังคงขึ้นต่อไป
พฤติกรรม คำอธิบาย
รีบเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคากำลังพุ่งแรง ตัดสินใจซื้อทันทีที่เห็นราคาขึ้น โดยไม่คิดวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน
ไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน ตัดสินใจโดยดูแค่เทรนด์ราคา ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสินทรัพย์
รู้สึกไม่สบายใจเมื่อไม่ได้ซื้อ รู้สึกอึดอัดใจที่ไม่ได้เข้าร่วม ซึ่งอาจทำให้ตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบ

อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าการตัดสินใจลงทุนของคุณกำลังถูกครอบงำด้วย **อารมณ์** มากกว่า **เหตุผล** ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในระยะยาวครับ

สาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิด FOMO: จากอารมณ์ภายในสู่ปัจจัยภายนอก

ทำไมเราถึงมีอาการ FOMO ในการลงทุนได้ง่ายขนาดนี้? สาเหตุของมันมีความซับซ้อนครับ ทั้งมาจากกลไกทางจิตวิทยาภายในตัวเรา และปัจจัยแวดล้อมภายนอก

สาเหตุจากภายใน:

  • ความกลัว (Fear): นี่คือความกลัวที่จะพลาดโอกาส Fear Of Missing Out ก็บอกตรงๆ อยู่แล้วว่าคือความกลัว แต่ไม่ใช่แค่กลัวพลาดโอกาสทำกำไร แต่ยังรวมถึงความกลัวที่จะรู้สึกเสียดายในภายหลัง กลัวที่จะเห็นคนอื่นได้กำไรในขณะที่เราไม่ได้
  • ความโลภ (Greed): อารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงและรวดเร็ว เมื่อเห็นราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้น ก็เกิดความโลภ อยากได้กำไรก้อนใหญ่ๆ อย่างรวดเร็ว
  • ความใจร้อน: ไม่อยากรอคอยกระบวนการวิเคราะห์ หรือรอสัญญาณเข้าซื้อตามระบบที่วางไว้ ต้องการผลลัพธ์ทันที
  • ความอิจฉา: เห็นคนอื่นโพสต์โชว์กำไรบนโซเชียลมีเดีย หรือได้ยินเรื่องราวความสำเร็จจากคนรอบข้าง ทำให้รู้สึกอิจฉาและอยากมีประสบการณ์แบบนั้นบ้าง
  • อคติทางความคิด (Cognitive Biases): จิตวิทยาการลงทุนอธิบายว่ามนุษย์มีอคติทางความคิดหลายอย่าง เช่น Herd Mentality (พฤติกรรมตามฝูงชน) หรือ Confirmation Bias (การให้น้ำหนักกับข้อมูลที่ยืนยันความเชื่อเดิม) ซึ่งล้วนส่งเสริมให้เกิด FOMO ได้ง่าย

สาเหตุจากภายนอก:

  • ความผันผวนของตลาด: ตลาดที่ปรับตัวขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว สร้างความรู้สึกตื่นเต้นและกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย
  • ข่าวสารและข่าวลือ: ข่าวดีๆ หรือข่าวลือเกี่ยวกับสินทรัพย์บางอย่างที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะข่าวที่เน้นเรื่องราคาที่พุ่งขึ้น อาจทำให้เกิดแรงซื้อตามกันโดยไม่กลั่นกรอง
  • โซเชียลมีเดียและกลุ่มออนไลน์: การเห็นการพูดคุย แชร์ข้อมูล หรือแม้กระทั่งโชว์พอร์ตกำไรในกลุ่มการลงทุนออนไลน์หรือบนโซเชียลมีเดีย สามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึก “กลัวตกรถ” ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
  • ประสบการณ์เทรดในอดีต: หากเคยมีประสบการณ์ที่ได้กำไรอย่างมากจากการ “วิ่งตามกระแส” ในอดี ก็อาจทำให้มีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้นซ้ำอีก เมื่อเห็นสถานการณ์คล้ายคลึงกัน
สาเหตุ คำอธิบาย
ความกลัว กลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไรและกลัวการรู้สึกเสียดาย
ความโลภ ต้องการผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น
ข่าวสารและข่าวลือ ข่าวสารที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วสร้างความรู้สึกเร่งรีบ

เราจะเห็นว่า FOMO ไม่ได้เกิดขึ้นจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ภายในของเรากับสภาพแวดล้อมภายนอกครับ

FOMO กับ Behavioral Finance: ทำความเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลัง

ในเชิงวิชาการ FOMO มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสาขาที่เรียกว่า **Behavioral Finance** หรือ **พฤติกรรมทางการเงิน** ครับ สาขานี้ศึกษาว่าอคติทางจิตวิทยาและอารมณ์ของมนุษย์ส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินอย่างไร

นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักมองว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผล (Rational Actor) ที่ตัดสินใจโดยพิจารณาจากข้อมูลและผลประโยชน์สูงสุดของตนเองเสมอ แต่ Behavioral Finance แย้งว่าในความเป็นจริงแล้ว อารมณ์ อคติทางความคิด และปัจจัยทางสังคม มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจทางการเงิน ซึ่งมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่มีเหตุผล หรือ Sub-optimal Decision

นักลงทุนมือใหม่ติดอยู่ในกับดัก FOMO

FOMO เป็นตัวอย่างคลาสสิกของปรากฏการณ์ที่ Behavioral Finance ศึกษา นักลงทุนที่ตกอยู่ในภาวะ FOMO ไม่ได้ตัดสินใจจากการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ หรือการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ แต่ตัดสินใจจากความกลัวที่จะพลาด ความโลภที่อยากได้กำไร และพฤติกรรมตามฝูงชน (Herd Behavior) ที่เห็นคนอื่นทำอะไรก็ทำตาม

Behavioral Finance ช่วยให้เราเข้าใจว่าสมองของมนุษย์มี “ทางลัด” ในการประมวลผลข้อมูล (Heuristics) ซึ่งบางครั้งก็มีประโยชน์ แต่หลายครั้งก็นำไปสู่อคติ เช่น Availability Heuristic (การให้น้ำหนักกับข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่ายหรือเพิ่งได้รับมา) เมื่อเห็นข่าวราคาพุ่งแรง หรือโพสต์กำไรมหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ข้อมูลเหล่านี้จะเข้ามาอยู่ในความสนใจของเราอย่างรวดเร็ว ทำให้เรามองข้ามข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ปัจจัยพื้นฐานที่ย่ำแย่ หรือสัญญาณทางเทคนิคที่บ่งชี้ว่าราคาอาจกำลังจะกลับตัว

การศึกษา Behavioral Finance ช่วยให้นักลงทุนรู้เท่าทันจุดอ่อนทางจิตใจของตนเอง และตระหนักว่าอารมณ์สามารถบิดเบือนการตัดสินใจได้อย่างไร เมื่อเราเข้าใจกลไกเหล่านี้ เราก็จะสามารถฝึกฝนตนเองให้ตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและแผนการลงทุนที่วางไว้ได้ดีขึ้นครับ

ทำไมนักลงทุนมือใหม่จึงเสี่ยงต่ออาการ FOMO ได้ง่ายเป็นพิเศษ?

แม้ว่านักลงทุนที่มีประสบการณ์ก็สามารถตกอยู่ในภาวะ FOMO ได้ แต่นักลงทุนมือใหม่มักจะมีความเสี่ยงสูงกว่าเป็นพิเศษครับ มีหลายปัจจัยที่ทำให้มือใหม่เป็นเป้าหมายของกับดักอารมณ์นี้:

  • ขาดประสบการณ์และความรู้: มือใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับความผันผวนของตลาด และอาจยังไม่มีความรู้เชิงลึกในการวิเคราะห์สินทรัพย์ การขาดเครื่องมือในการประเมินสถานการณ์ด้วยตนเอง ทำให้มีแนวโน้มที่จะเชื่อตามกระแสหรือคำบอกเล่าจากผู้อื่นได้ง่าย
  • ไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน: นักลงทุนมือใหม่หลายคนเริ่มต้นโดยไม่มีแผนที่ตายตัว ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังลงทุนเพื่ออะไร ระยะเวลาเท่าไหร่ ยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน เมื่อไม่มีแผน ก็ง่ายที่จะถูกอารมณ์หรือกระแสภายนอกพาไป
  • มองหา “ทางลัด” สู่ความร่ำรวย: หลายคนเข้ามาในตลาดด้วยความคาดหวังว่าจะทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทัศนคติที่เสี่ยงและทำให้ตกหลุมพราง FOMO ได้ง่าย เมื่อเห็นคนอื่นทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากได้และทำให้รีบร้อนตัดสินใจ
  • เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น: ยุคโซเชียลมีเดียทำให้เราเห็นความสำเร็จของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น การเห็นคนอื่นโพสต์กำไร ทำให้มือใหม่รู้สึกว่าตัวเองกำลัง “ช้า” หรือ “พลาดโอกาส” จึงเกิดแรงกดดันให้ต้องรีบตัดสินใจ
  • ยังไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยง: มือใหม่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วก็มีโอกาสปรับตัวลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน การโฟกัสแต่เรื่องกำไรทำให้มองข้ามความเสี่ยงที่จะขาดทุน
ปัจจัย คำอธิบาย
ขาดประสบการณ์ มือใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับความผันผวน
ไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน หลายคนเริ่มต้นโดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
มองหา “ทางลัด” สู่ความร่ำรวย มีความคาดหวังว่าจะทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้น หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ การทำความเข้าใจและเตรียมตัวรับมือกับ FOMO จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เพื่อป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนของคุณครับ

ผลกระทบของ FOMO ต่อพอร์ตการลงทุน: เมื่ออารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

การตัดสินใจลงทุนภายใต้อารมณ์ FOMO มักนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ และอาจสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพอร์ตการลงทุนของคุณได้ครับ

ผลกระทบที่พบบ่อยจากการเทรดด้วย FOMO:

  • ซื้อสินทรัพย์ในราคาสูงสุด (ติดดอย): บ่อยครั้งที่ราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้แรงขับเคลื่อนของ FOMO เป็นจุดสูงสุดชั่วคราว (Peak) หรือจุดที่กำลังจะกลับตัวเป็นขาลง การเข้าซื้อ ณ จุดนี้ทำให้คุณต้องไป “ติดดอย” คือซื้อในราคาสูง และราคาได้ปรับตัวลงมาอย่างมาก ทำให้ขาดทุนอย่างหนัก และต้องถือสินทรัพย์นั้นไปอีกนานกว่าราคาจะกลับมาเท่าทุนหรือมีกำไร
  • ขาดทุนซ้ำซาก: หากไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด การเทรดด้วย FOMO อาจกลายเป็นวงจรซ้ำซาก เห็นสินทรัพย์อื่นขึ้นอีก ก็รีบไปซื้ออีก แล้วก็ติดดอยอีก ทำให้ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
  • ทำลายแผนการลงทุน: หากคุณมีแผนการลงทุนที่วางไว้ การตัดสินใจด้วยอารมณ์ FOMO จะทำให้คุณละทิ้งแผนนั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อเป้าหมายทางการเงินที่คุณวางไว้
  • การตัดสินใจที่ไร้เหตุผลและไม่มีระบบ: การเทรดด้วย FOMO คือการเทรดโดยไม่มีระบบ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีการวิเคราะห์ ทำให้การลงทุนของคุณไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ และไม่ใช่การลงทุนอย่างมืออาชีพ
  • สูญเสียความมั่นใจในการลงทุน: การขาดทุนจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดซ้ำๆ อาจทำลายความมั่นใจในการลงทุนของคุณ ทำให้รู้สึกท้อแท้ และอาจถอนตัวออกจากตลาดไปในที่สุด
  • เสียโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า: การทุ่มเงินไปกับสินทรัพย์ที่กำลังเป็นกระแสภายใต้แรงขับเคลื่อนของ FOMO อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีกว่า ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง หรือมีสัญญาณทางเทคนิคที่น่าสนใจกว่า
ผลกระทบ คำอธิบาย
ซื้อสินทรัพย์ในราคาสูงสุด (ติดดอย) เข้าซื้อในจุดสูงสุดและราคาตกลงอย่างมาก
ขาดทุนซ้ำซาก เกิดการซื้อซ้ำๆ โดยไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด
สูญเสียความมั่นใจในการลงทุน พบความขัดแย้งในตลาดทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ

จะเห็นได้ว่าผลกระทบของ FOMO ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยครับ มันสามารถทำลายทั้งเงินลงทุน ความมั่นใจ และเป้าหมายทางการเงินของคุณได้

การสร้างวินัยและระบบการลงทุน: เกราะป้องกัน FOMO ที่แข็งแกร่ง

หาก FOMO คือไวรัสร้าย การสร้างวินัยและระบบการลงทุนก็เปรียบเสมือนวัคซีนชั้นดีที่ช่วยป้องกันและต่อสู้กับมันได้ครับ การมีวินัยและระบบเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักเทรดระยะสั้น

ทำไมวินัยและระบบจึงสำคัญในการเอาชนะ FOMO:

  • ช่วยให้ตัดสินใจตามแผน ไม่ใช่อารมณ์: ระบบการลงทุนที่ชัดเจนจะกำหนดกฎเกณฑ์ในการเข้าซื้อ-ขายไว้อย่างเป็นขั้นตอน คุณจะซื้อเมื่อไหร่ ขายเมื่อไหร่ จะตัดขาดทุนเมื่อไหร่ ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้คุณไม่ต้องตัดสินใจแบบกะทันหันภายใต้อิทธิพลของอารมณ์
  • ลดความถี่ในการตัดสินใจ: เมื่อมีระบบ คุณจะตัดสินใจตามสัญญาณที่ระบบบอกเท่านั้น ไม่ใช่ทุกครั้งที่เห็นราคาขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดโอกาสในการตัดสินใจด้วย FOMO
  • สร้างความสม่ำเสมอ: การมีระบบช่วยให้คุณมีแนวทางที่สม่ำเสมอในการลงทุน ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์หรือกระแส
  • ช่วยในการเรียนรู้และปรับปรุง: เมื่อคุณมีระบบ คุณสามารถย้อนกลับไปตรวจสอบได้ว่าการตัดสินใจครั้งไหนถูกต้อง ครั้งไหนผิดพลาด และเรียนรู้จากมันเพื่อพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้น

องค์ประกอบพื้นฐานของระบบการลงทุน:

  • กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน: คุณลงทุนเพื่ออะไร? เป้าหมายคืออะไร? คุณต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว? การมีเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้คุณเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และไม่วอกแวกตามกระแส
  • กำหนดกลยุทธ์การลงทุน: คุณจะใช้การวิเคราะห์แบบไหน? วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน? วิเคราะห์ทางเทคนิค? หรือผสมผสาน? คุณจะเลือกสินทรัพย์ประเภทไหน?
  • กำหนดกฎในการเข้าซื้อ (Entry Rules): คุณจะซื้อเมื่อมีสัญญาณอะไร? ราคาต้องเป็นอย่างไร? ปัจจัยพื้นฐานต้องดีแค่ไหน?
  • กำหนดกฎในการทำกำไร (Take Profit Rules): คุณจะขายทำกำไรเมื่อไหร่? เมื่อราคาถึงเป้าหมายที่กำหนด? หรือเมื่อมีสัญญาณกลับตัว?
  • กำหนดกฎในการตัดขาดทุน (Stop Loss Rules): นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คุณจะขายตัดขาดทุนเมื่อราคาลดลงถึงจุดที่ยอมรับได้? การกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ล่วงหน้า ช่วยจำกัดความเสียหาย และป้องกันไม่ให้การขาดทุนเล็กน้อยกลายเป็นขาดทุนก้อนใหญ่
  • กำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing): คุณจะลงทุนในสินทรัพย์แต่ละตัวเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพื่อบริหารความเสี่ยง

การสร้างระบบเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการศึกษาและฝึกฝน แต่เมื่อคุณมีระบบที่เหมาะกับตัวเอง และมีวินัยในการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มันจะเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้กับ FOMO และอารมณ์อื่นๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อการลงทุนของคุณครับ

เคล็ดลับและแนวทางปฏิบัติเพื่อเอาชนะอาการ FOMO ในการลงทุน

นอกเหนือจากการสร้างวินัยและระบบการลงทุนแล้ว ยังมีเคล็ดลับและแนวทางปฏิบัติอื่นๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อรับมือและเอาชนะอาการ FOMO ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

แนวทางรับมือกับ FOMO ที่ได้ผล:

  • วางแผนการลงทุนล่วงหน้า และยึดมั่นในแผน: ก่อนที่คุณจะทำการซื้อขายใดๆ ให้วางแผนไว้ก่อนเสมอ ว่าจะซื้ออะไร ที่ราคาเท่าไหร่ ขายเมื่อไหร่ และตัดขาดทุนเมื่อไหร่ เมื่อวางแผนแล้ว ให้ยึดมั่นตามแผนนั้นให้มากที่สุด อย่าเปลี่ยนแผนตามอารมณ์หรือกระแสที่เห็น
  • กระจายความเสี่ยง (Diversification): การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายประเภท หลายอุตสาหกรรม หรือหลายภูมิภาค ช่วยลดแรงกดดันจากการเห็นสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะคุณยังมีโอกาสทำกำไรจากสินทรัพย์อื่นๆ ในพอร์ตของคุณอยู่
  • เน้นลงทุนระยะยาว (Long-Term Perspective): สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเน้นการลงทุนระยะยาวเป็นการป้องกัน FOMO ที่ดีเยี่ยม เพราะคุณไม่ได้มุ่งเน้นการทำกำไรระยะสั้นจากการเก็งกำไรปรับราคาที่ผันผวน แต่เน้นการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ในระยะยาว ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากการเห็นราคาปรับขึ้นลงในระยะสั้น
  • ตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ: อย่าเพิ่งเชื่อข่าวลือ หรือข้อมูลที่เห็นบนโซเชียลมีเดียทันที ให้ทำการค้นคว้าและตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือกราฟทางเทคนิคตามระบบของคุณ ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ทำความเข้าใจอคติทางความคิดของตนเอง: อย่างที่เราได้พูดถึงในส่วนของ Behavioral Finance การรู้ว่าเรามีอคติทางความคิดอะไรบ้าง เช่น พฤติกรรมตามฝูงชน หรือการให้น้ำหนักกับข้อมูลล่าสุด ช่วยให้เราตระหนักรู้เมื่ออคติเหล่านี้กำลังเข้าครอบงำการตัดสินใจ
  • กำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสม: อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปกับสินทรัพย์ตัวเดียว หรือลงทุนในขนาดที่ใหญ่เกินกว่าที่คุณจะยอมรับความเสี่ยงได้ การลงทุนในขนาดที่เหมาะสมจะช่วยลดความกังวลและความกลัวที่จะพลาด ทำให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
  • หยุดพักจากตลาดบ้าง: หากคุณรู้สึกว่ากำลังถูกกระแสและอารมณ์ครอบงำมากเกินไป ลองหยุดพักจากการติดตามตลาด หรือการเข้ากลุ่มสนทนาบนโซเชียลมีเดียสักพัก เพื่อให้จิตใจสงบและกลับมามีสติ
  • เขียนบันทึกการลงทุน (Trading Journal): การบันทึกการตัดสินใจลงทุนแต่ละครั้ง รวมถึงเหตุผลและอารมณ์ในขณะนั้น ช่วยให้คุณมองเห็นรูปแบบของพฤติกรรม และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดจากอารมณ์ เช่น FOMO
เคล็ดลับ คำอธิบาย
วางแผนการลงทุน วางแผนการซื้อขายล่วงหน้าและยึดมั่นตามแผน
กระจายความเสี่ยง ลดความกังวลจากการลงทุนในสินทรัพย์เดียว
หยุดพักจากตลาด หยุดพักจากการติดตามหรือลงทุนเพื่อสติ

การนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณพัฒนาตนเองให้เป็นนักลงทุนที่มีสติ มีวินัย และสามารถเอาชนะอารมณ์ FOMO ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ความแตกต่างระหว่าง FOMO และ JOMO: มองหาความสุขจากการ “พลาด”

ในทางตรงกันข้ามกับ FOMO (Fear Of Missing Out) มีแนวคิดหนึ่งที่เรียกว่า **JOMO** หรือ **Joy Of Missing Out** ครับ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการรับมือกับ FOMO ได้

ในขณะที่ FOMO คือความกลัวที่จะพลาดโอกาส JOMO คือ **ความสุขที่ได้จากการพลาดโอกาสบางอย่าง** หรือการเลือกที่จะไม่เข้าร่วมในสิ่งที่กำลังเป็นกระแส เพื่อให้ได้โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญสำหรับตัวเองจริงๆ

ในการลงทุน การมีแนวคิด JOMO หมายถึง การที่คุณรู้สึกสบายใจและมีความสุขกับการที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่กำลังเป็นกระแสและราคาพุ่งแรง เพราะคุณรู้ว่ามันอาจเป็นกับดัก หรือมันไม่ได้อยู่ในแผนการลงทุนของคุณ คุณเลือกที่จะโฟกัสกับสินทรัพย์ที่คุณได้วิเคราะห์มาแล้ว และเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของมัน แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำกำไรอย่างหวือหวาในระยะสั้นก็ตาม

การเปรียบเทียบการลงทุนที่เหมาะสม

การฝึกฝน JOMO ช่วยให้คุณปลดปล่อยตัวเองจากความกดดันทางสังคม และแรงขับเคลื่อนจากอารมณ์ที่ต้องวิ่งตามกระแส คุณจะรู้สึกอิสระที่จะลงทุนตามแนวทางและระบบของตนเอง โดยไม่รู้สึกเสียดายหรือกังวลกับการที่คนอื่นกำลังทำกำไรจากสินทรัพย์ที่คุณไม่ได้ซื้อ

ลองคิดดูนะครับ การที่เราไม่ได้ “ตกรถ” ในบางครั้ง อาจหมายถึงการที่เราไม่ได้ “ติดดอย” ในเวลาต่อมาก็เป็นได้ การได้เห็นคนอื่นขาดทุนจากสินทรัพย์ที่คุณตัดสินใจไม่เข้าซื้อ ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งของ JOMO ในโลกการลงทุนครับ

แน่นอนว่าเราไม่ได้ต้องการให้คุณพลาดโอกาสที่ดีจริงๆ แต่ JOMO คือการปรับทัศนคติให้คุณสามารถยอมรับได้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของตลาด และการพลาดบางสิ่งบางอย่างอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพอร์ตการลงทุนและสุขภาพจิตของคุณในระยะยาว

FOMO ในตลาดที่หลากหลาย: หุ้น, คริปโต, และ Forex

ปรากฏการณ์ FOMO ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ในทุกตลาดการเงินที่มีความผันผวนสูงและมีข้อมูลข่าวสารหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว เช่น ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี และตลาด Forex

  • ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี: ตลาดคริปโตฯ เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงมาก ราคาเหรียญต่างๆ สามารถพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรวดเร็วได้ในเวลาอันสั้น ข่าวสารและกระแสบนโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูงมาก นอกจากนี้ นักลงทุนในตลาดคริปโตฯ จำนวนมากยังเป็นมือใหม่ ทำให้ตลาดคริปโตฯ เป็นแหล่งรวมตัวของอาการ FOMO อย่างแท้จริง คุณมักจะเห็นปรากฏการณ์ “Pump and Dump” ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจาก FOMO
  • ตลาด Forex: ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ก็เป็นอีกตลาดที่มีความผันผวนสูงและมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ข่าวสารทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกสามารถส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว นักเทรด Forex อาจเกิด FOMO ได้ง่าย เมื่อเห็นคู่สกุลเงินบางคู่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญออกมา หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นเทรดในตลาดนี้ หรือกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือและเครื่องมือที่ช่วยให้คุณบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น การเลือกใช้บริการจากโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลที่ดีเป็นสิ่งสำคัญครับ

    ถ้าคุณกำลังมองหาตัวเลือกแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งสำหรับการเทรด Forex และ CFD ที่หลากหลาย Moneta Markets เป็นชื่อที่น่าสนใจ มันเป็นโบรกเกอร์จากออสเตรเลียที่ให้บริการเทรดสินค้ากว่า 1000 รายการ และมีเครื่องมือการเทรดบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ซึ่งช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดได้ด้วยความรวดเร็วและต้นทุนต่ำ เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ครับ

  • ตลาดหุ้น: แม้ตลาดหุ้นอาจจะมีความผันผวนน้อยกว่าคริปโตฯ แต่ FOMO ก็เกิดขึ้นได้บ่อยเช่นกัน โดยเฉพาะกับหุ้นที่กำลังมีข่าวดี หรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นกระแส (เช่น หุ้นเทคโนโลยี หุ้นพลังงานสะอาด) การเห็นราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรง ทำให้เกิดอาการ “กลัวตกรถ” ในหมู่นักลงทุนได้

ไม่ว่าคุณจะเทรดในตลาดไหน การตระหนักรู้ถึงอาการ FOMO และมีแผนรับมือกับมันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งครับ

เมื่อ FOMO กลายเป็นโอกาส? มุมมองที่ควรพิจารณาอย่างระมัดระวัง

แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว FOMO จะถูกมองว่าเป็นเรื่องเชิงลบและควรหลีกเลี่ยง แต่ก็มีบางมุมมองที่พิจารณาว่า FOMO อาจมีด้านที่เป็นประโยชน์อยู่บ้าง แต่ต้องเข้าใจและควบคุมมันได้อย่างมีสติเท่านั้นนะครับ

บางครั้ง ความรู้สึก “กลัวพลาด” อาจเป็นแรงผลักดันให้เรากل้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ หรือเปิดรับโอกาสที่เราอาจจะมองข้ามไปในตอนแรก ในบริบทของการลงทุน FOMO อาจกระตุ้นให้นักลงทุนที่ปกติแล้วระมัดระวังมากเกินไป กล้าที่จะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มองเห็นศักยภาพจริงๆ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์และการวางแผน ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยอารมณ์เพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ FOMO ในตลาดที่ทำให้ราคาสินทรัพย์บางอย่างปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจสร้างโอกาสในการทำกำไรระยะสั้นสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์และมีระบบการเทรดที่ออกแบบมาเพื่อเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา (Momentum Trading) อย่างไรก็ตาม การเทรดประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงมาก และไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่ไม่มีระบบที่เข้มงวด

สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องแยกแยะให้ออกระหว่างการตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของการวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล กับการตัดสินใจที่เกิดจากความกลัวที่จะพลาดเพียงอย่างเดียว การใช้ประโยชน์จาก “กระแส” ที่เกิดจาก FOMO ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และระบบการจัดการความเสี่ยงที่แข็งแกร่งอย่างมาก หากขาดสิ่งเหล่านี้ FOMO จะยังคงเป็นกับดักที่อันตรายอยู่เสมอครับ

เมื่อพูดถึงการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดในวงกว้าง การเลือกแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญ

สำหรับนักลงทุนที่มองหาแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นและสามารถเข้าถึงตลาดการเงินที่หลากหลายทั่วโลกได้ภายใต้การกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ Moneta Markets เป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง ด้วยใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำหลายแห่ง รวมถึงการแยกบัญชีเงินทุนของลูกค้าออกจากเงินทุนของบริษัท ทำให้คุณมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีบริการเสริมต่างๆ เช่น Free VPS สำหรับ EA หรือ 24/7 Chinese Customer Support ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการสภาพแวดล้อมการเทรดที่ครบวงจร

การมีเครื่องมือและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเทรดตามกระแสหรือสวนกระแสก็ตาม

สรุป: เอาชนะ FOMO ด้วยสติ วินัย และแผนการลงทุน

FOMO หรือ Fear Of Missing Out เป็นสภาวะทางจิตวิทยาที่พบได้บ่อยในโลกของการลงทุน มันคือความกลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไรที่กำลังเป็นกระแส ทำให้เกิดพฤติกรรม “กลัวตกรถ” และรีบเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคากำลังพุ่งแรงโดยไม่ได้วิเคราะห์อย่างรอบคอบ

สาเหตุของ FOMO มาจากทั้งอารมณ์ภายใน เช่น ความกลัว ความโลภ ความใจร้อน และอิจฉา รวมถึงปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของตลาด ข่าวสาร และอิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย ปรากฏการณ์นี้มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับ Behavioral Finance ซึ่งอธิบายว่าอคติทางจิตวิทยาของเราส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินอย่างไร

ผลกระทบของ FOMO นั้นร้ายแรง อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การซื้อในราคาสูงสุด (ติดดอย) การขาดทุนซ้ำซาก และการทำลายแผนการลงทุนที่วางไว้ นักลงทุนมือใหม่มีความเสี่ยงต่ออาการ FOMO เป็นพิเศษ เนื่องจากขาดประสบการณ์ ความรู้ และแผนการลงทุนที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เราสามารถเอาชนะ FOMO ได้ด้วยการมีสติ สร้างวินัย และยึดมั่นในแผนการลงทุนที่ชัดเจน:

  • วางแผนล่วงหน้าและยึดตามแผน: กำหนดกฎเกณฑ์ในการเข้า-ออก และตัดขาดทุน
  • สร้างระบบการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง: มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตัดสินใจ
  • กระจายความเสี่ยง: ลดแรงกดดันจากการโฟกัสที่สินทรัพย์เดียว
  • เน้นลงทุนระยะยาว (โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่): ลดความกังวลจากการผันผวนระยะสั้น
  • ตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ: อย่าเชื่อข่าวลือหรือกระแสทันที
  • ทำความเข้าใจอคติของตนเอง: รู้เท่าทันจุดอ่อนทางจิตใจ
  • ควบคุมอารมณ์: ฝึกฝนให้ตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ

การลงทุนที่ยั่งยืนไม่ใช่การวิ่งตามกระแสเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการลงทุนอย่างมีสติ มีความรู้ และมีวินัย การเอาชนะ FOMO คือก้าวสำคัญสู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ จงจำไว้ว่า ตลาดยังมีโอกาสอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน และการพลาด “รถไฟ” บางขบวน อาจหมายถึงการที่คุณจะได้ขึ้น “รถไฟ” ขบวนที่ดีกว่าในเวลาที่เหมาะสมกว่าก็ได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับfomo หุ้น คือ

Q:FOMO คืออะไรในตลาดการลงทุน?

A:FOMO ย่อมาจาก Fear Of Missing Out ซึ่งหมายถึงความกลัวที่จะพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุน

Q:วิธีการเอาชนะ FOMO มีอะไรบ้าง?

A:นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนล่วงหน้า, ตรวจสอบข้อมูล, และมีวินัยที่ชัดเจนในการตัดสินใจ

Q:ทำไมนักลงทุนมือใหม่ถึงมีความเสี่ยงต่อลักษณะ FOMO?

A:นักลงทุนมือใหม่มักขาดประสบการณ์และความรู้ ซึ่งทำให้ตัดสินใจตามอารมณ์ได้ง่ายกว่า

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *