การเทรด Divergence: ทำความเข้าใจสัญญาณกลับตัวและไปต่อในตลาด

Table of Contents

Divergence คืออะไร? เข้าใจหลักการในเวลาไม่ถึงนาที

Divergence หรือ “การแยกแนว” คือสัญญาณทางเทคนิคที่เกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมของราคาและตัวชี้วัด (Indicator) ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความอ่อนแรงของแนวโน้มเดิม โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดใหม่ แต่ตัวชี้วัดกลับไม่ตามไปทำระดับที่สูงหรือต่ำกว่าเดิม นั่นเอง

ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า คุณขับรถด้วยความเร็วสูง แต่เข็มวัดความเร็วกลับแสดงว่าความเร็วลดลง แม้รถจะยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่สัญญาณนี้บอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ คล้ายกันในตลาดการเงิน หากราคาหุ้นหรือคู่เงินทำ “จุดสูงสุดใหม่” แต่ RSI หรือ MACD กลับทำ “จุดสูงสุดที่ต่ำลง” นั่นคือสัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มหมดแรง และแนวโน้มขาขึ้นอาจใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ดังที่ Investopedia ชี้แจงไว้ Divergence เป็นเครื่องมือชั้นนำในการคาดการณ์การเปลี่ยนทิศทางของตลาดล่วงหน้า

ภาพประกอบแนวคิด Divergence ในการเทรด

ประเภทของ Divergence ที่นักเทรดต้องรู้

Divergence ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ แต่ละรูปมีความหมายต่างกัน และให้สัญญาณที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณกลับตัว หรือการเดินหน้าต่อของแนวโน้มเดิม การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเทรดได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยทั่วไปสามารถแยก Divergence ออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Regular, Hidden และ Exaggerated Divergence

1. Regular Divergence: สัญญาณกลับตัวที่ทรงพลัง

นี่คือรูปแบบคลาสสิกที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมักบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้นถึงกลาง

  • Regular Bullish Divergence: เกิดในแนวโน้มขาลง ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่ตัวชี้วัด เช่น RSI กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) สัญญาณนี้แสดงว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลง แม้ราคาจะยังลงไปอีก แต่ความกดดันลดลงอย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น
  • Regular Bearish Divergence: เกิดในแนวโน้มขาขึ้น ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่ตัวชี้วัดกลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) หมายความว่าแรงซื้อไม่สามารถดันราคาได้เหมือนเดิม แม้ราคาจะขึ้น แต่โมเมนตัมลดลงอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะเกิดการกลับตัวลงจึงสูง

Regular Divergence มักถูกใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าว่า “แนวโน้มเดิมอาจใกล้จุดสิ้นสุด”

2. Hidden Divergence: สัญญาณต่อเนื่องของเทรนด์

ต่างจาก Regular Divergence ที่บอกถึงการกลับตัว แต่ Hidden Divergence กลับเป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มเดิมยังคงแข็งแกร่ง และกำลังเตรียมตัววิ่งต่อ ซึ่งเหมาะกับนักเทรดที่ชอบเข้าเทรดตามเทรนด์หลัก

  • Hidden Bullish Divergence: เกิดในแนวโน้มขาขึ้น ราคาอาจปรับตัวลงเล็กน้อยและทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) แต่ตัวชี้วัดกลับทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) สัญญาณนี้บ่งบอกว่าการย่อตัวนี้เป็นเพียง “การพักตัว” ไม่ใช่การเปลี่ยนแนวโน้ม และราคาอาจกลับขึ้นต่อได้
  • Hidden Bearish Divergence: เกิดในแนวโน้มขาลง ราคาทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) แต่ตัวชี้วัดกลับทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แสดงว่าแรงขายยังคงมีอยู่ แม้ราคาจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อย แต่แนวโน้มขาลงยังไม่จบ

นักเทรดมืออาชีพมักใช้ Hidden Divergence เพื่อหาจังหวะเข้า “ตามเทรนด์” โดยเว็บไซต์เรียนรู้การเทรดอย่าง Babypips ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดว่าการแยกแยะทั้งสองประเภทนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้อย่างมาก

ภาพประกอบการวิเคราะห์กราฟด้วย Divergence

3. Exaggerated Divergence: รูปแบบพิเศษที่มักถูกละเลย

Exaggerated Divergence เป็นรูปแบบที่น้อยคนจะสังเกต แต่กลับให้สัญญาณที่มีน้ำหนัก เพราะมันเกิดจากความผิดปกติในรูปแบบกราฟที่ชัดเจน เช่น Double Top หรือ Double Bottom

  • Exaggerated Bullish Divergence: ราคาทำรูปแบบ Double Bottom (ก้นสองแห่งในระดับเดียวกัน) แต่ตัวชี้วัดในลูกที่สองกลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น แสดงว่าแรงขายไม่สามารถกดราคาต่ำกว่าเดิมได้แล้ว ความต้านทานจากแรงซื้อเริ่มเข้มแข็งขึ้น
  • Exaggerated Bearish Divergence: ราคาทำรูปแบบ Double Top (ยอดสองจุดในระดับเดียวกัน) แต่ตัวชี้วัดในลูกที่สองกลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง บ่งชี้ว่าแรงซื้อหมดแรงที่จะดันราคาให้สูงขึ้นอีก แนวโน้มขาลงจึงมีโอกาสเกิดขึ้น

เนื่องจากรูปแบบนี้ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงของราคาแบบชัดเจน (เช่น Lower Low หรือ Higher High) จึงมักถูกละเลย แต่สำหรับผู้ที่สังเกตได้ อาจกลายเป็นจุดเข้าที่ได้เปรียบก่อนตลาด

ตัวชี้วัดยอดนิยมที่ใช้ตรวจจับ Divergence

Divergence สามารถใช้ได้กับตัวชี้วัดประเภท Oscillator ทุกตัว แต่มีเพียงไม่กี่ตัวที่ให้ความแม่นยำและเป็นที่นิยมสูงสุดในหมู่นักเทรดระดับมืออาชีพ เนื่องจากตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมได้รวดเร็วและชัดเจน

  • RSI (Relative Strength Index): วัดความแข็งแรงของแนวโน้มโดยเปรียบเทียบราคาปิดกับช่วงราคาที่ผ่านมา ช่วง 14 ช่วงเวลาเป็นค่ามาตรฐานที่นิยมใช้ RSI เหมาะมากสำหรับการมองหาความอ่อนตัวของโมเมนตัม ทั้งในตลาดหุ้นและ Forex
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): โดยเฉพาะแท่ง Histogram ที่แสดงความแตกต่างระหว่างเส้น MACD กับ Signal Line แท่งที่สั้นลงแม้ราคาจะขึ้นต่อ เป็นสัญญาณ Divergence ที่มองเห็นได้ชัด
  • Stochastic Oscillator: วิเคราะห์ตำแหน่งของราคาปิดเทียบกับช่วงราคาในรอบเวลาที่กำหนด มักให้สัญญาณเร็ว แม้จะมีสัญญาณหลอกบ้าง แต่ก็มีประโยชน์เมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น

การใช้ RSI เพื่อตรวจหา Divergence

วิธีใช้ง่ายๆ คือ ลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของกราฟราคา และเปรียบเทียบกับเส้นที่ลากบนกราฟ RSI หากทิศทางของเส้นทั้งสองไม่สอดคล้องกัน เช่น ราคาขึ้น แต่ RSI ลง ก็ถือว่าเกิด Divergence ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ ราคาทำ Higher High แต่ RSI ทำ Lower High นั่นคือ Regular Bearish Divergence ที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้มขาขึ้น

การใช้ MACD เพื่อตรวจหา Divergence

นักเทรดส่วนใหญ่มองที่แท่ง Histogram ของ MACD หากกราฟราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่แท่ง Histogram ลูกใหม่สั้นกว่าลูกก่อนหน้า นั่นคือสัญญาณชัดเจนของ Regular Bearish Divergence สื่อว่าโมเมนตัมการขึ้นเริ่มลดลง แม้ราคาจะยังสูงขึ้น แต่แรงผลักดันกลับอ่อนตัวลง

ภาพอธิบาย Regular และ Hidden Divergence บนกราฟการเงิน

กลยุทธ์เทรดด้วย Divergence: ขั้นตอนการใช้งานจริง

การมองเห็น Divergence เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น การจะเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีขั้นตอนการยืนยันและบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าเทรดจากสัญญาณหลอก

  1. ตรวจหา Divergence: ฝึกสายตาให้สังเกตความไม่สอดคล้องกันระหว่างราคาและตัวชี้วัด ใช้การลาก Trend Line เชื่อมจุด Swing High หรือ Swing Low ทั้งของราคาและ Indicator เพื่อเปรียบเทียบทิศทาง
  2. รอสัญญาณยืนยัน (Confirmation): ห้ามเข้าทันที! Divergence เป็นเพียง “สัญญาณเตือน” ไม่ใช่คำสั่งซื้อขาย ควรรอสัญญาณเพิ่มเติม เช่น
    • รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว: เช่น Engulfing, Hammer, หรือ Doji ที่เกิดหลังจุด Divergence
    • การเบรคเส้นแนวโน้ม: รอให้ราคาทะลุผ่านเส้น Trend Line ที่วาดจากจุดสูงหรือต่ำก่อนหน้า เพื่อยืนยันการเปลี่ยนทิศทาง
  3. จุดเข้าเทรด (Entry Point): เข้าเทรดหลังสัญญาณยืนยันชัดเจน เช่น หลังแท่งเทียนกลับตัวปิดตัวสมบูรณ์ หรือหลังราคาเบรคแนวโน้มเดิมลงมา
  4. บริหารความเสี่ยง: วาง Stop Loss ไว้เหนือจุดสูงสุดล่าสุด (สำหรับ Bearish) หรือใต้จุดต่ำสุดล่าสุด (สำหรับ Bullish) และตั้ง Take Profit ที่แนวรับ-แนวต้านถัดไป หรือใช้สัดส่วน Risk:Reward อย่างน้อย 1:2 เพื่อให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ข้อควรระวังและเทคนิคบริหารความเสี่ยง

Divergence แม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่แม่นยำ 100% ยังมีโอกาสเกิดสัญญาณหลอก โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีแนวโน้มแรง

  • อย่าฝืนเทรนด์หลัก: แม้จะเห็น Divergence ในกราฟ H1 แต่หากเทรนด์รายวันยังชัดเจน การเข้าเทรดสวนทิศทางจะมีความเสี่ยงสูง ควรใช้ Divergence เป็นสัญญาณปรับพอร์ต หรือใช้ Hidden Divergence เพื่อเข้าตามเทรนด์หลัก
  • ให้ความสำคัญกับ Timeframe ใหญ่: สัญญาณที่เกิดในกราฟ Daily หรือ Weekly มีน้ำหนักมากกว่ากราฟ M5 หรือ H1 ซึ่งมักมี Noise สูง ทำให้เกิด Divergence หลอกบ่อย
  • ควบคุมขนาดตำแหน่ง (Position Size): อย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตในแต่ละครั้ง หากคุณใช้ Divergence เป็นกลยุทธ์หลัก ควรมีการกระจายความเสี่ยงและศึกษาหลักบริหารความเสี่ยงจากแหล่งน่าเชื่อถือ เช่น CFTC เพื่อป้องกันการสูญเสียครั้งใหญ่

สำหรับนักเทรดที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Moneta Markets ซึ่งรองรับการใช้งาน MetaTrader 4 และ MT5 พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ครบครัน การติดตาม Divergence จึงทำได้ง่ายดาย ด้วยอินดิเคเตอร์ที่ติดตั้งสำเร็จรูป และกราฟที่สามารถปรับ Timeframe ได้หลากหลาย ทำให้เหมาะกับการใช้กลยุทธ์นี้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

สรุป: ตารางเปรียบเทียบ Regular vs. Hidden Divergence

เพื่อให้เข้าใจง่ายและทบทวนได้เร็ว ด้านล่างนี้คือตารางสรุปความแตกต่างระหว่าง Regular และ Hidden Divergence ที่นักเทรดควรจดจำ

คุณสมบัติ Regular Divergence Hidden Divergence
ประเภทสัญญาณ สัญญาณการกลับตัว (Reversal) สัญญาณการไปต่อ (Continuation)
ลักษณะของราคา ทำจุดสูงสุดใหม่ (HH) หรือ ต่ำสุดใหม่ (LL) ทำจุดสูงสุดต่ำลง (LH) หรือ ต่ำสุดสูงขึ้น (HL)
ลักษณะของ Indicator ไม่สามารถทำจุดสูงสุด/ต่ำสุดใหม่ตามราคาได้ ทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ ต่ำสุดใหม่ สวนทางกับราคา
ความหมาย แนวโน้มปัจจุบันกำลังอ่อนแรงลง แนวโน้มปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งและพร้อมจะไปต่อ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Divergence ใช้กับสินทรัพย์ประเภทไหนได้บ้าง?

Divergence เป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ที่มีกราฟราคาและสามารถใช้ตัวชี้วัดประเภท Oscillator ได้ ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำและน้ำมัน หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซี

Timeframe ที่ดีที่สุดในการมองหา Divergence คือเท่าไหร่?

ไม่มี Timeframe ที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว แต่โดยทั่วไปแล้ว Timeframe ใหญ่กว่า เช่น H4, Daily หรือ Weekly จะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากมี Noise น้อยกว่า ในขณะที่ Timeframe เล็ก เช่น M15 หรือ H1 มักมีความผันผวนสูง ทำให้เกิดสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง Regular Divergence และ Hidden Divergence คืออะไร?

ความแตกต่างหลักคือ “ทิศทางของแนวโน้ม” ที่สัญญาณนั้นบ่งบอก

  • Regular Divergence ชี้ไปที่ “การกลับตัว” ของแนวโน้ม (Trend Reversal)
  • Hidden Divergence ชี้ไปที่ “การเดินหน้าต่อ” ของแนวโน้มเดิม (Trend Continuation)

การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณเลือกใช้กลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด

Convergence คืออะไร และเกี่ยวข้องกับ Divergence อย่างไร?

Convergence คือสิ่งตรงกันข้ามกับ Divergence หมายถึง ราคาและตัวชี้วัดเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ และ RSI ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ด้วย ซึ่งเป็นการยืนยันว่าแนวโน้มยังแข็งแกร่งอยู่ ในทางกลับกัน Divergence คือความขัดแย้ง ส่วน Convergence คือความสอดคล้อง

ทำไมบางครั้งเกิดสัญญาณ Divergence แล้วราคายังไปในทิศทางเดิม?

เหตุการณ์นี้เรียกว่า “สัญญาณหลอก” ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ

  • แนวโน้มหลักแข็งแกร่งมาก: เช่น ในช่วงตลาดขาขึ้นแรง โมเมนตัมอาจอ่อนตัวชั่วคราว แต่แรงซื้อยังเพียงพอที่จะดันราคาต่อไปได้
  • ไม่มีสัญญาณยืนยัน: การเข้าเทรดโดยพึ่งพา Divergence อย่างเดียวโดยไม่รอแท่งเทียนหรือการเบรคแนวโน้ม จะเพิ่มความเสี่ยงสูงมาก

ดังนั้น การรอ Confirmation และบริหารความเสี่ยงจึงเป็นกุญแจสำคัญ

เราควรเชื่อสัญญาณ Divergence จาก RSI หรือ MACD มากกว่ากัน?

ทั้งสองตัวมีจุดแข็งต่างกัน RSI มักให้สัญญาณเร็ว แต่อาจมีสัญญาณหลอกมากกว่า ส่วน MACD ให้สัญญาณช้ากว่าเล็กน้อย แต่มีความน่าเชื่อถือสูงในการยืนยันโมเมนตัม นักเทรดมืออาชีพมักใช้ทั้งสองตัวร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณซึ่งกันและกัน

นอกจากรูปแบบแท่งเทียน มีสัญญาณอื่นที่ใช้ยืนยัน Divergence ได้อีกไหม?

มีหลายวิธีที่ใช้ได้ผล เช่น

  • การทะลุเส้นแนวโน้ม (Trend Line Break): ยืนยันการเปลี่ยนโครงสร้างของแนวโน้ม
  • การใช้แนวรับ-แนวต้าน: หาก Divergence เกิดที่บริเวณสำคัญ จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • การตัดกันของ Moving Average: เช่น เส้น MA 50 ตัดขึ้นหรือตัดลงเส้น MA 200 เพื่อยืนยันทิศทางใหม่

การใช้หลายเครื่องมือร่วมกันจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *