บทนำ: CFD ย่อมาจากอะไร? ทำความเข้าใจเบื้องต้น
ยินดีต้อนรับครับ ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ตราสารทางการเงินประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือ **CFD** หรือที่ย่อมาจาก **สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference)** คุณอาจเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านตามาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่ามันทำงานอย่างไร และมีความสำคัญต่อเส้นทางการลงทุนของคุณอย่างไรบ้าง?
บทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ CFD ตั้งแต่คำนิยาม กลไกการทำงาน ไปจนถึงโอกาสและความเสี่ยงที่คุณควรรู้ เราตั้งใจที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดบนเส้นทางนักลงทุนของคุณครับ
พร้อมแล้วหรือยัง ที่จะไขปริศนาของ CFD ไปพร้อมๆ กับเรา?
ในบทความนี้จะมีการอธิบายเกี่ยวกับ:
- ทำความเข้าใจในกลไกของ CFD
- ความแตกต่างระหว่าง CFD กับการลงทุนแบบดั้งเดิม
- การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ
สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง: กลไกพื้นฐานของ CFD
หัวใจสำคัญของ CFD คือชื่อของมันเองครับ – **สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง** ลองนึกภาพว่านี่คือข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย โดยทั่วไปคือคุณ (เทรดเดอร์) กับโบรกเกอร์ของคุณ สัญญานี้ระบุว่า ฝ่ายหนึ่งจะจ่ายเงินส่วนต่างของราคาของสินทรัพย์อ้างอิงให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
กลไกทำงานง่ายๆ คือ หากคุณคาดว่าราคาจะขึ้นและเข้าซื้อ (เปิดสถานะ Long) และราคาก็ขึ้นจริง เมื่อคุณปิดสัญญา โบรกเกอร์จะจ่ายส่วนต่างของราคาสุดท้าย (ราคาที่คุณปิด) กับราคาเริ่มต้น (ราคาที่คุณเปิด) ให้กับคุณ แต่ถ้าคุณคาดผิด ราคาตกลง ส่วนต่างนั้นก็จะเป็นการขาดทุนที่คุณต้องจ่ายคืนโบรกเกอร์นั่นเองครับ
ในทางกลับกัน หากคุณคาดว่าราคาจะลงและทำการขาย (เปิดสถานะ Short) ถ้าเป็นไปตามที่คุณคาดและราคาตกลง คุณก็จะทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่ลดลง แต่หากราคาดันสูงขึ้น ส่วนต่างนั้นก็กลายเป็นภาระขาดทุนของคุณครับ
ตามตารางด้านล่างเป็นความแตกต่างของการเปิดสถานะ Long และ Short ใน CFD:
ประเภทสถานะ | การทำงาน | สถานการณ์กำไร/ขาดทุน |
---|---|---|
Long | ซื้อเมื่อคาดว่าราคาจะขึ้น | กำไรหากราคาขึ้น, ขาดทุนหากราคาลง |
Short | ขายเมื่อคาดว่าราคาจะลง | กำไรหากราคาลง, ขาดทุนหากราคาขึ้น |
ความแตกต่างสำคัญ: คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์
ประเด็นสำคัญที่ทำให้ CFD แตกต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิมคือ **การเทรด CFD คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงจริงๆ** ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือคู่สกุลเงินใดๆ คุณเป็นเพียงผู้เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเหล่านั้นเท่านั้น
ลองนึกภาพว่าคุณต้องการลงทุนในหุ้น Apple หากคุณซื้อหุ้น Apple แบบดั้งเดิม คุณจะได้รับความเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในบริษัทนั้นๆ แต่เมื่อคุณเทรด CFD หุ้น Apple คุณเพียงแค่ทำสัญญากับโบรกเกอร์เพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างราคา ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ของหุ้นเกิดขึ้นเลยครับ
ข้อดีของการที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรงคืออะไรน่ะหรือครับ? หลักๆ เลยคือความสะดวกในการเข้าถึงตลาดที่หลากหลายกว่ามาก และที่สำคัญคือการใช้กลไกที่เราจะพูดถึงต่อไป นั่นก็คือ **Leverage** ครับ
แก่นสำคัญ: Leverage คืออะไร และทำงานอย่างไรใน CFD?
**Leverage (เลเวอเรจ)** เป็นหัวใจหลักและเป็นจุดเด่นที่ทำให้ CFD น่าสนใจ (และอันตราย) ในเวลาเดียวกัน มันคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่คุณวางไว้เป็นหลักประกัน (Margin) ได้หลายเท่าตัว
ลองเปรียบเทียบ Leverage เหมือนกับการยืมเงินจากโบรกเกอร์มาเสริมกำลังการลงทุนของคุณ ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอ Leverage 1:100 หมายความว่า ทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่คุณลงทุน คุณสามารถควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ได้ถึง 100 ดอลลาร์ หากคุณต้องการเทรด CFD ที่มีมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ โดยปกติอาจต้องใช้เงินลงทุนเต็มจำนวน แต่ด้วย Leverage 1:100 คุณอาจใช้เงินเพียง 100 ดอลลาร์เป็นหลักประกันเท่านั้น
การใช้ Leverage ช่วยให้คุณมี “อำนาจการซื้อ” หรือ “อำนาจการขาย” ที่สูงขึ้นมาก ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้นตามไปด้วย แต่เช่นเดียวกับเหรียญสองด้าน Leverage ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ร้ายแรงเช่นกันครับ
เหรียญสองด้านของ Leverage: โอกาสทำกำไรและหายนะ
อย่างที่เราได้กล่าวไป Leverage เพิ่มศักยภาพในการทำกำไรของคุณได้อย่างมหาศาล หากการเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ แม้ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย คุณก็สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยนิด
แต่โปรดจำไว้ว่า Leverage เป็นเหมือนดาบสองคมครับ ในทางกลับกัน หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ แม้เพียงเล็กน้อย การขาดทุนก็จะทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะคุณกำลังควบคุมตำแหน่งการเทรดที่มีมูลค่าใหญ่กว่าเงินทุนของคุณมาก
ในสถานการณ์ที่เลวร้าย การขาดทุนจากการเทรด CFD ที่ใช้ Leverage สูงๆ อาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นทั้งหมด และในบางกรณี อาจขาดทุนมากกว่าเงินฝากเริ่มต้นที่คุณมีในบัญชีด้วยซ้ำ นี่คือเหตุผลที่หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งทั่วโลกได้ออกมาตรการจำกัด Leverage สำหรับนักลงทุนรายย่อย และออกคำเตือนความเสี่ยงอย่างชัดเจน
ข้อดีของ Leverage | ข้อเสียของ Leverage |
---|---|
เพิ่มศักยภาพในการทำกำไร | เสี่ยงต่อการสูญเสียที่มากขึ้น |
เข้าถึงสินทรัพย์มูลค่าสูง | อาจเกิด Margin Call ได้เร็ว |
ใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อยลง | อาจขาดทุนเกินกว่าที่ลงทุน |
เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: กลยุทธ์ Long และ Short
ข้อดีอีกประการหนึ่งของการเทรด CFD คือความยืดหยุ่นในการทำกำไร ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง คุณก็สามารถหาโอกาสได้
เมื่อคุณคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น คุณจะทำการ **ซื้อ (Buy) หรือเปิดสถานะ Long** คุณมีมุมมองเชิงบวก (Bullish) ต่อสินทรัพย์นั้น
ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวลดลง คุณจะทำการ **ขาย (Sell) หรือเปิดสถานะ Short** นี่คือการที่คุณมีมุมมองเชิงลบ (Bearish) และพยายามทำกำไรจากการตกลงของราคา
ความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งสองทิศทางนี้ ทำให้ CFD เป็นตราสารที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดระยะสั้นที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ทิศทางราคาอย่างแม่นยำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ
CFD ครอบคลุมตลาดใดบ้าง? สำรวจโลกการลงทุน
หนึ่งในความน่าดึงดูดของ CFD คือความหลากหลายของตลาดที่คุณสามารถเข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว โดยทั่วไปแล้ว CFD สามารถเทรดได้ในตลาดการเงินหลักๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น:
-
ตลาด Forex: คู่สกุลเงินหลักและรองทั่วโลก คุณสามารถเก็งกำไรการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนได้
ถ้าคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นเส้นทางการเทรดคู่สกุลเงิน หรือกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่รองรับสินค้าหลากหลายนอกเหนือจาก Forex เพียงอย่างเดียวแล้วล่ะก็ Moneta Markets เป็นชื่อที่คุณควรทำความรู้จัก แพลตฟอร์มจากออสเตรเลียรายนี้มีสินค้าให้เลือกเทรดมากกว่า 1,000 รายการ ครอบคลุมทั้ง Forex, ดัชนี, หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ทั้งนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพได้เป็นอย่างดี
-
ตลาดดัชนี (Indices): ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญๆ เช่น S&P 500 (US500), Nasdaq 100 (NAS100), FTSE 100 (UK 100) การเทรด CFD ดัชนีทำให้คุณสามารถเก็งกำไรภาพรวมของตลาดหุ้นนั้นๆ ได้
-
ตลาดหุ้น (Stocks/Shares): หุ้นของบริษัทชั้นนำทั่วโลก เช่น Apple, Microsoft, Amazon คุณสามารถเก็งกำไรราคาหุ้นเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องซื้อหุ้นจริงๆ
-
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): พลังงาน (น้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ), โลหะ (ทองคำ, เงิน), สินค้าเกษตร (ข้าวสาลี, น้ำตาล) การเทรด CFD สินค้าโภคภัณฑ์ช่วยให้เข้าถึงตลาดเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
-
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrencies): สกุลเงินดิจิทัลยอดนิยม เช่น Bitcoin, Ethereum แม้จะเป็นตลาดใหม่แต่ก็มีความผันผวนสูงและน่าสนใจ
-
กองทุน ETF และพันธบัตร: ตราสารอื่นๆ ที่โบรกเกอร์บางรายอาจเปิดให้เทรดแบบ CFD
ความหลากหลายนี้เป็นจุดแข็งของ CFD ทำให้เทรดเดอร์สามารถกระจายความเสี่ยง หรือมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญได้ครับ
ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่: ทำไมเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถึงขาดทุน?
นี่คือประเด็นที่เราอยากให้คุณให้ความสำคัญมากที่สุดครับ ข้อมูลจากโบรกเกอร์ CFD ส่วนใหญ่ทั่วโลกชี้ชัดว่า **นักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก โดยเฉลี่ยกว่า 70-80% หรือมากกว่านั้น ขาดทุนจากการเทรด CFD** ตัวเลขนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเสี่ยงสูงของตราสารนี้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมากมาจาก **Leverage** อย่างที่เราได้อธิบายไปแล้ว การที่การขาดทุนสามารถทวีคูณได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บัญชีเทรดของนักลงทุนหมดเงินทุน (Margin Call หรือ Stop Out) ได้ในเวลาอันสั้น หากไม่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนทำให้เกิดการขาดทุน ได้แก่:
-
ความผันผวนสูงของตลาด: ราคาในตลาดการเงิน โดยเฉพาะ Forex หรือคริปโตเคอเรนซี่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือข่าวสารต่างๆ
-
ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ CFD: นักลงทุนบางส่วนอาจไม่เข้าใจกลไกของ Leverage หรือความเสี่ยงที่แท้จริงอย่างถ่องแท้
-
อารมณ์และจิตวิทยาการเทรด: ความกลัวและความโลภสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย
-
การขาดแผนการเทรดที่ดี: การเทรดโดยไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ขาดวินัยในการเข้าและออกจากการซื้อขาย
ดังนั้น การรับรู้ถึงความเสี่ยงเหล่านี้ และเตรียมพร้อมรับมือกับมันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดครับ
การบริหารความเสี่ยง: สิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด CFD
เมื่อทราบแล้วว่า CFD มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเรื่อง Leverage การบริหารความเสี่ยงจึงไม่ใช่แค่เรื่องที่ “ควรทำ” แต่เป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” หากคุณต้องการอยู่ในตลาดนี้ในระยะยาว
เครื่องมือและแนวทางในการบริหารความเสี่ยงที่คุณควรรู้และนำไปใช้ ได้แก่:
-
การกำหนดขนาดตำแหน่งการเทรด (Position Sizing): อย่าเสี่ยงเงินจำนวนมากเกินไปในการเทรดแต่ละครั้ง ควรกำหนดเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่ยอมรับการขาดทุนได้ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง เช่น ไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด
-
การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss): นี่คือคำสั่งที่คุณตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติ หากราคาเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่คุณกำหนดไว้ เพื่อจำกัดการขาดทุนไม่ให้บานปลาย นี่คือเครื่องมือพื้นฐานแต่สำคัญที่สุด
-
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit): ในทางกลับกัน คุณสามารถตั้งคำสั่งให้ปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อราคาไปถึงเป้าหมายกำไรที่คุณคาดหวังไว้ เพื่อล็อคกำไรไว้
-
การใช้ Leverage อย่างระมัดระวัง: แม้โบรกเกอร์จะเสนอ Leverage สูงๆ แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด เลือกใช้ Leverage ในระดับที่คุณรับความเสี่ยงได้และเหมาะสมกับขนาดเงินทุนของคุณ
-
การกระจายความเสี่ยง: ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์หรือตลาดเดียว ควรพิจารณากระจายไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท
จำไว้ว่า การบริหารความเสี่ยงที่ดีไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ขาดทุนเลย แต่หมายความว่าคุณสามารถควบคุมและจำกัดความเสียหายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ต่างหากครับ
เลือกโบรกเกอร์ CFD อย่างไรให้ปลอดภัย?
โบรกเกอร์ CFD เป็นผู้ให้บริการที่คุณต้องฝากเงินและทำการเทรดผ่าน ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจัยที่คุณควรพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์:
-
การกำกับดูแล (Regulation): โบรกเกอร์ที่ดีต้องได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการเงินที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ เช่น FCA (สหราชอาณาจักร), CySEC (ไซปรัส), ASIC (ออสเตรเลีย), FSA (หน่วยงานในประเทศต่างๆ) การกำกับดูแลช่วยให้มั่นใจได้ว่าโบรกเกอร์ดำเนินงานภายใต้กฎระเบียบ และเงินทุนของคุณจะได้รับการคุ้มครองในระดับหนึ่ง (เช่น มีการแยกบัญชีเงินทุนลูกค้า)
-
ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง: ค้นหาข้อมูล รีวิว หรือสอบถามจากเทรดเดอร์คนอื่นๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การใช้บริการโบรกเกอร์นั้นๆ
-
ค่าธรรมเนียมและสเปรด (Spread): เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการเทรด สเปรด (ส่วนต่างราคาซื้อ/ขาย) และค่าธรรมเนียมอื่นๆ (เช่น ค่า Swap ข้ามคืน) ของโบรกเกอร์แต่ละราย
-
ตราสารที่เปิดให้เทรด: ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มี CFD ของสินทรัพย์ที่คุณสนใจจะเทรดหรือไม่ และมีความหลากหลายเพียงพอหรือไม่
-
แพลตฟอร์มการเทรด: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีแพลตฟอร์มให้เลือก เช่น MT4, MT5 หรือแพลตฟอร์มของตนเอง ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มนั้นใช้งานง่าย มีเครื่องมือที่ต้องการ และมีความเสถียร
-
การบริการลูกค้า: มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลายหรือไม่ ให้บริการรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหรือไม่
การเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปกป้องเงินลงทุนของคุณครับ
หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่มีประวัติและมาตรฐานการกำกับดูแลที่ดีระดับสากล Moneta Markets เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยใบอนุญาตจากหน่วยงานอย่าง FSCA ของแอฟริกาใต้, ASIC ของออสเตรเลีย และ FSA การันตีถึงมาตรฐานการดำเนินงาน นอกจากนี้ การมีบริการฝากเงินแบบแยกบัญชี (Segregated Accounts) และทีมงานบริการลูกค้าที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับเทรดเดอร์
แพลตฟอร์มการเทรด CFD ยอดนิยม: MT4, MT5 และอื่นๆ
ในการเทรด CFD คุณจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มการเทรด ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อคุณเข้ากับตลาดและโบรกเกอร์ มีแพลตฟอร์มยอดนิยมหลายตัวที่คุณอาจเคยได้ยินชื่อ:
-
MetaTrader 4 (MT4): เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักเทรด Forex และ CFD ทั่วโลก มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคมากมาย รองรับการเทรดแบบอัตโนมัติด้วย Expert Advisors (EAs) และมีชุมชนผู้ใช้งานขนาดใหญ่
-
MetaTrader 5 (MT5): เป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก MT4 มีฟังก์ชันที่เพิ่มขึ้น เช่น ตัวเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า (รวมถึงหุ้นและฟิวเจอร์ส), เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มากขึ้น, และประเภทคำสั่งซื้อขายที่ซับซ้อนกว่า MT4
-
แพลตฟอร์มเฉพาะของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์บางรายมีแพลตฟอร์มการเทรดของตนเอง เช่น xStation ของ XTB หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ของโบรกเกอร์อื่นๆ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับสไตล์การเทรดและความต้องการของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ลองทดลองใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) บนแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อดูว่าแพลตฟอร์มไหนที่คุณรู้สึกคุ้นเคยและใช้งานได้สะดวกที่สุดครับ
บทสรุป: ก่อนตัดสินใจเทรด CFD คุณต้องรู้สิ่งนี้
ตลอดบทความนี้ เราได้สำรวจโลกของ **CFD (สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง)** คุณได้เรียนรู้ว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไรผ่านกลไกสำคัญอย่าง Leverage เข้าถึงตลาดได้หลากหลายเพียงใด และที่สำคัญที่สุดคือความเสี่ยงสูงที่มาพร้อมกับมัน
การเทรด CFD มอบโอกาสในการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในสินทรัพย์ทั่วโลก โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ และด้วย Leverage คุณมีศักยภาพในการทำกำไรที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เราย้ำอีกครั้งว่านี่คือตราสารที่มี **ความเสี่ยงสูงมาก** และคุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด หรือมากกว่าเงินฝากเริ่มต้นของคุณได้ สถิติการขาดทุนของนักลงทุนรายย่อยเป็นสิ่งที่ควรตระหนักถึงเสมอ
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเข้าสู่ตลาด CFD โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่า:
-
คุณเข้าใจกลไกของ CFD และ Leverage อย่างถ่องแท้
-
คุณตระหนักถึงความเสี่ยงสูงที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
-
คุณมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจนและมีวินัยในการปฏิบัติตาม
-
คุณเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและได้รับการกำกับดูแล
-
คุณเริ่มต้นด้วยเงินทุนที่คุณสามารถยอมรับการสูญเสียได้
การเทรด CFD อาจเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในมือของนักลงทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจ และการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี แต่สำหรับผู้ที่ประมาทหรือไม่เข้าใจ อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างหนักได้ครับ
ขอให้คุณศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ฝึกฝนในบัญชีทดลอง และเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดก่อนเข้าสู่สนามจริง ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับcfd ย่อมาจาก
Q:CFD คืออะไร?
A:CFD หรือสัญญาการซื้อขายส่วนต่าง เป็นตราสารที่ให้คุณเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง.
Q:Leverage คืออะไร?
A:Leverage เป็นกลไกที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนที่คุณวางไว้ได้.
Q:ความเสี่ยงหลักในการเทรด CFD คืออะไร?
A:ความเสี่ยงหลักคือการสูญเสียเงินทุนมากกว่าที่ลงทุนเนื่องจาก Leverage ที่สูง อาจเกิด Margin Call ได้เร็ว.