บทนำ: ทำความเข้าใจ DW และ Options – กุญแจสู่โอกาสทำกำไรและบริหารความเสี่ยง
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่ามีเครื่องมือใดบ้างที่จะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรได้แม้ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งใช้เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ? ตลาดทุนไม่ได้มีเพียงแค่การซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยตราสารอนุพันธ์ที่ซับซ้อนแต่เปี่ยมด้วยศักยภาพ เช่น Derivative Warrants (DW) และ Options (สัญญาสิทธิ)
ตราสารเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการยกระดับความรู้และเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร การทำความเข้าใจ DW และ Options โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดของ Call และ Put ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะนำพาคุณดำดิ่งสู่โลกของตราสารอนุพันธ์เหล่านี้อย่างละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงกลยุทธ์การประยุกต์ใช้ เพื่อให้คุณพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่สนามการลงทุนที่กว้างใหญ่กว่าเดิม และสามารถบริหารจัดการการลงทุนของคุณได้อย่างชาญฉลาดและมั่นใจ
เราจะอธิบายหลักการทำงานของ DW และ Options ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ผสมผสานศัพท์เทคนิคเข้ากับคำเปรียบเทียบจากชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่าตราสารเหล่านี้ทำงานอย่างไร มีความแตกต่างกันอย่างไร และคุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไรในพอร์ตการลงทุนของคุณ คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะปลดล็อกศักยภาพใหม่ๆ ให้กับการลงทุนของคุณ?
DW (Derivative Warrant) คืออะไร: เครื่องมือทรงพลังในตลาดหุ้นไทย
หากคุณเป็นนักลงทุนที่มองหาเครื่องมือที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้รวดเร็วและใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากนัก DW (Derivative Warrant) อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา DW หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ผู้ออก (เช่น บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ) ออกมาเพื่อให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้บนกระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นปกติ
หัวใจสำคัญของ DW คือการที่ราคาของมันจะเคลื่อนไหวตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งอาจเป็นหุ้นรายตัวที่เราคุ้นเคยกันดี (เช่น PTT, ADVANC) หรือเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (เช่น SET50 Index) การที่ DW มีคุณสมบัติเด่นคือ “อัตราทด (Gearing/Leverage)” สูง ทำให้การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของราคาหุ้นอ้างอิง สามารถส่งผลให้ราคา DW เปลี่ยนแปลงได้ในสัดส่วนที่สูงกว่ามาก ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
คุณอาจสงสัยว่า DW แตกต่างจากการซื้อหุ้นโดยตรงอย่างไร? คำตอบคือ นอกจากอัตราทดแล้ว DW ยังมี “อายุจำกัด” โดยส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นก็จะหมดอายุและมูลค่าอาจกลายเป็นศูนย์หากเงื่อนไขไม่เป็นไปตามที่กำหนด นี่คือความเสี่ยงที่คุณต้องทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสูงสุดที่คุณต้องเผชิญคือเพียงแค่เงินลงทุนที่คุณใช้ซื้อ DW เริ่มแรกเท่านั้น ต่างจากการลงทุนใน Single Stock Futures (SSF) ที่อาจมีการเรียกหลักประกันเพิ่มหากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
DW จึงเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก แต่ยังคงจำกัดความเสี่ยงในวงเงินที่ลงทุนไว้ คุณพร้อมที่จะเรียนรู้ว่า DW มีกี่ประเภทและจะนำไปใช้อย่างไรแล้วใช่ไหม?
ประเภทของ DW | คำอธิบาย |
---|---|
Call DW | สิทธิในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต |
Put DW | สิทธิในการขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต |
อัตราทด | อัตราส่วนที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา DW |
เจาะลึกประเภท DW: Call DW และ Put DW กับกลยุทธ์ตามทิศทางตลาด
DW แบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับมุมมองและสภาวะตลาดในขณะนั้น นั่นคือ Call DW และ Put DW ทั้งสองประเภทนี้มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ต่างก็เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกโอกาสทำกำไรในทุกสถานการณ์
-
Call DW (สิทธิในการซื้อ):
Call DW คือ DW ที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการที่จะ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคตที่ราคาและภายในระยะเวลาที่กำหนด หากคุณคาดการณ์ว่าราคาของหุ้นอ้างอิง (เช่น PTT) จะปรับตัว “สูงขึ้น” ในอนาคต การลงทุนใน Call DW ก็เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะราคาของ Call DW จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาหุ้นอ้างอิง ยิ่งหุ้นอ้างอิงปรับขึ้นมากเท่าไร Call DW ก็ยิ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้นเท่านั้น ด้วยอัตราทดที่สูง คุณจึงมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการซื้อหุ้นโดยตรงเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเชื่อว่าหุ้น ADVANC จะปรับตัวขึ้น การซื้อ Call DW ที่อ้างอิง ADVANC ก็เป็นทางเลือกที่คุณจะพิจารณา
-
Put DW (สิทธิในการขาย):
ในทางกลับกัน Put DW คือ DW ที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการที่จะ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคตที่ราคาและภายในระยะเวลาที่กำหนด Put DW จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาของหุ้นอ้างอิง หรือแม้กระทั่งดัชนีตลาดอย่าง SET50 Index จะปรับตัว “ลดลง” ในอนาคต ราคาของ Put DW จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาหุ้นอ้างอิง นั่นคือ เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงลดลง ราคา Put DW ก็จะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้คุณสามารถทำกำไรได้แม้ในภาวะที่ตลาดเป็นขาลง
การมี Put DW ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลกำไรได้แม้ในสภาวะตลาดหมี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่หุ้นสามัญไม่มี คุณจะเห็นได้ว่าไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง DW ก็มีเครื่องมือให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากทิศทางนั้นได้
การเลือกใช้ Call หรือ Put DW จึงขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” ของคุณต่อทิศทางของตลาด การเข้าใจหลักการนี้อย่างถ่องแท้จะช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างแม่นยำและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในทุกสภาวะตลาด คุณเคยลองพิจารณาใช้ Put DW เพื่อทำกำไรในตลาดขาลงแล้วหรือยัง?
การเลือก DW ที่ใช่สำหรับคุณ: สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนลงทุน
การเลือก DW ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่การเลือกประเภท Call หรือ Put เท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ เพื่อให้มั่นใจว่า DW ที่คุณเลือกนั้นมีสภาพคล่องที่ดี มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนของคุณ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณควรพิจารณา
1. เลือกหุ้นอ้างอิง/ดัชนีอ้างอิงที่คุณคุ้นเคย:
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นจาก DW ที่อ้างอิงหุ้น Big-Cap ที่มีสภาพคล่องสูงและเป็นที่รู้จัก เช่น PTT, ADVANC หรือ DW ที่อ้างอิง SET50 Futures การที่คุณรู้จักสินทรัพย์อ้างอิงเป็นอย่างดี จะช่วยให้คุณสามารถติดตามข่าวสาร วิเคราะห์แนวโน้ม และเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อราคาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
2. พิจารณาอัตราทด (Gearing):
อัตราทดคืออัตราส่วนที่บอกว่าราคา DW จะเปลี่ยนแปลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไป 1% DW ที่ดีควรมีอัตราทดที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น ควรเลือก DW ที่มี อัตราทด (Tick) ใกล้เคียง 0.7 – 1.2 ซึ่งจะทำให้ราคา DW เคลื่อนไหวตามราคาหุ้นอ้างอิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอัตราทดต่ำเกินไป ผลตอบแทนก็จะน้อย แต่หากสูงเกินไป ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
3. อายุของ DW:
DW มีอายุจำกัด ยิ่งใกล้วันหมดอายุมากเท่าไหร่ มูลค่าทางเวลาก็จะยิ่งลดลงเร็วขึ้นเท่านั้น (ปรากฏการณ์ Time Decay ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป) สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น ควรเลือก DW ที่มีอายุไม่สั้นจนเกินไป ควรมีอายุเหลืออย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก Time Decay ที่รุนแรงเกินไป หากคุณต้องการถือ DW นานขึ้น ก็ควรเลือก DW ที่มีอายุมากกว่า 2-3 เดือน
4. ทำความคุ้นเคยกับตารางราคารับซื้อคืน (Bid-Offer Table):
ก่อนตัดสินใจซื้อขาย DW คุณควรศึกษารายละเอียด ตารางราคารับซื้อคืน ที่ผู้ออก DW จัดทำขึ้น ตารางนี้จะบอกถึงราคา DW ที่ผู้ออกพร้อมจะรับซื้อคืนในแต่ละระดับราคาของหุ้นอ้างอิง การทำความเข้าใจตารางนี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรด กำหนดจุดทำกำไร และจุดตัดขาดทุนได้อย่างแม่นยำ
การเลือก DW ที่เหมาะสมต้องอาศัยการศึกษาและทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบ การลงทุนอย่างมีข้อมูลจะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จให้กับคุณอย่างแน่นอน
ถอดรหัสราคา DW: ทำความเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงและมูลค่าทางเวลา (Time Decay)
ราคาของ DW ที่เราเห็นบนกระดานซื้อขายนั้น ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่ลอยๆ แต่ประกอบขึ้นจากส่วนประกอบสำคัญสองส่วน ได้แก่ มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) และ มูลค่าทางเวลา (Time Value) การเข้าใจสององค์ประกอบนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินมูลค่า DW และบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Time Decay
-
มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value):
มูลค่าที่แท้จริงคือมูลค่าของ DW ที่จะเกิดขึ้นทันทีหากมีการใช้สิทธิในปัจจุบัน ซึ่งคำนวณจากความแตกต่างระหว่างราคาหุ้นอ้างอิงกับราคาใช้สิทธิ (Strike Price) สำหรับ Call DW มูลค่าที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นอ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ยิ่งสูงกว่ามากเท่าไหร่ มูลค่าที่แท้จริงก็ยิ่งมากเท่านั้น หากราคาหุ้นอ้างอิงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ Call DW นั้นจะไม่มีมูลค่าที่แท้จริง (เป็นศูนย์)
ในทางกลับกัน สำหรับ Put DW มูลค่าที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นอ้างอิงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ยิ่งต่ำกว่ามากเท่าไหร่ มูลค่าที่แท้จริงก็ยิ่งมากเท่านั้น หากราคาหุ้นอ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ Put DW นั้นจะไม่มีมูลค่าที่แท้จริง (เป็นศูนย์)
-
มูลค่าทางเวลา (Time Value):
มูลค่าทางเวลาคือส่วนต่างระหว่างราคา DW ในกระดานซื้อขาย กับมูลค่าที่แท้จริงของ DW นั้นๆ มูลค่าทางเวลานี้สะท้อนถึงโอกาสที่ราคาหุ้นอ้างอิงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เอื้ออำนวยต่อการทำกำไร ก่อนที่ DW จะหมดอายุ ยิ่ง DW มีอายุเหลือยาวนานเท่าไหร่ มูลค่าทางเวลาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เพราะมีเวลาให้ราคาหุ้นอ้างอิงเคลื่อนไหวมากขึ้น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับมูลค่าทางเวลาคือปรากฏการณ์ Time Decay หรือ การเสื่อมค่าตามเวลา มูลค่าทางเวลานี้จะ ลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยก็ตาม นั่นหมายความว่า หากคุณซื้อ DW และถือไว้เฉยๆ โดยที่ราคาหุ้นอ้างอิงไม่เคลื่อนไหว DW ของคุณก็จะค่อยๆ สูญเสียมูลค่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดอายุและมูลค่าทางเวลากลายเป็นศูนย์
Time Decay จะยิ่งเร่งตัวขึ้นเมื่อ DW ใกล้วันหมดอายุ ดังนั้น การเลือก DW ที่มีอายุเหลือมากพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณมีเวลาในการทำกำไรและไม่ถูก Time Decay กัดกินมูลค่ามากจนเกินไป การเข้าใจองค์ประกอบราคาเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนใน DW ได้อย่างชาญฉลาดและรอบคอบมากขึ้น คุณพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปสู่ความซับซ้อนอีกระดับกับ Options?
Options (สัญญาสิทธิ): ทางเลือกที่ซับซ้อนแต่ทรงพลังกว่า
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจ DW กันไปแล้ว ลองมาทำความรู้จักกับ Options (สัญญาสิทธิ) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเภทของตราสารอนุพันธ์ที่ซับซ้อนกว่า DW แต่ก็ให้ความยืดหยุ่นและโอกาสในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายกว่ามาก Options ซื้อขายกันในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งเป็นคนละตลาดกับ DW
Options คือ “สัญญา” ที่ให้สิทธิแก่ “ผู้ซื้อ” (Buyer) ในการที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น หุ้นรายตัว, ดัชนีหลักทรัพย์, สินค้าโภคภัณฑ์) ในราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่ตกลงกันไว้ และภายในระยะเวลาที่กำหนด (วันหมดอายุ) สิ่งสำคัญคือผู้ซื้อมี “สิทธิ” ที่จะเลือกใช้สิทธิหรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ผู้ที่ “ขาย” (Seller หรือ Writer) สัญญานั้นๆ มี “ภาระผูกพัน” ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาหากผู้ซื้อเลือกใช้สิทธิ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Options กับ DW คือ Options มีความยืดหยุ่นในการสร้างกลยุทธ์ที่หลากหลายกว่ามาก เช่น การสร้างรายได้จากการขาย Options (Short Options) หรือการใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างเฉพาะเจาะจง รวมถึงการทำกำไรจากความผันผวนของราคาโดยไม่สนใจทิศทาง แต่ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นนี้ก็มาพร้อมกับความซับซ้อนที่สูงขึ้นและความเสี่ยงที่อาจไม่มีขีดจำกัดสำหรับผู้ขาย Options ซึ่งเป็นจุดที่นักลงทุนต้องศึกษาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษนี้ ผู้ซื้อ Options จะต้องจ่าย “ค่าธรรมเนียม” หรือที่เรียกว่า “ค่า Premium” ให้กับผู้ขาย Options ในช่วงเริ่มต้นของการทำสัญญา ค่า Premium นี้คือราคาของ Options ที่คุณเห็นบนกระดานซื้อขาย และเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่คุณจะขาดทุนได้หากคุณเป็นผู้ซื้อ Options แต่สำหรับผู้ขาย Options ค่า Premium นี้คือผลตอบแทนที่คุณได้รับทันที แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่อาจจะไม่มีขีดจำกัดหากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
คุณจะเห็นว่า Options ไม่ใช่แค่เครื่องมือเก็งกำไร แต่ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูง หากคุณเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แล้ว Options มี Call และ Put เหมือน DW หรือไม่? คำตอบคือ มี และมันทำงานอย่างไร มาดูกันต่อเลย
Call Option และ Put Option: สิทธิและความรับผิดชอบในตลาด TFEX
เช่นเดียวกับ DW, Options ก็แบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ Call Option และ Put Option ซึ่งแต่ละประเภทจะให้สิทธิที่แตกต่างกันแก่ผู้ถือ และมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนตามมุมมองตลาดของคุณ
-
Call Option (สิทธิในการซื้อ):
สำหรับผู้ซื้อ Call Option (Long Call): คุณจ่ายค่า Premium เพื่อได้รับสิทธิในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิง (เช่น SET50 Index Futures) ที่ราคาใช้สิทธิที่กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนด คุณจะทำกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวสูงขึ้นเหนือราคาใช้สิทธิอย่างมีนัยสำคัญ ความเสี่ยงสูงสุดของคุณคือค่า Premium ที่จ่ายไปตอนแรก ซึ่งเท่ากับเงินลงทุนเริ่มต้น
สำหรับผู้ขาย Call Option (Short Call): คุณได้รับค่า Premium ทันทีที่ขายสัญญา แต่คุณมี “ภาระผูกพัน” ที่จะต้อง “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิ หากผู้ซื้อเลือกใช้สิทธิ คุณจะทำกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงไม่สูงขึ้นหรือลดลง และ Options หมดอายุโดยไม่มีการใช้สิทธิ แต่ความเสี่ยงของคุณนั้น “ไม่มีขีดจำกัด” หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง เพราะคุณจะต้องซื้อสินทรัพย์ในตลาดที่ราคาสูงมาขายในราคาใช้สิทธิที่ต่ำกว่า
Call Option จึงเหมาะกับมุมมอง ตลาดขาขึ้น สำหรับผู้ซื้อ และ ตลาด Sideway หรือขาลงเล็กน้อย สำหรับผู้ขายที่ต้องการเก็บค่า Premium
-
Put Option (สิทธิในการขาย):
สำหรับผู้ซื้อ Put Option (Long Put): คุณจ่ายค่า Premium เพื่อได้รับสิทธิในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาใช้สิทธิที่กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนด คุณจะทำกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิอย่างมีนัยสำคัญ ความเสี่ยงสูงสุดของคุณคือค่า Premium ที่จ่ายไปตอนแรกเช่นกัน
สำหรับผู้ขาย Put Option (Short Put): คุณได้รับค่า Premium ทันทีที่ขายสัญญา แต่คุณมี “ภาระผูกพัน” ที่จะต้อง “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิ หากผู้ซื้อเลือกใช้สิทธิ คุณจะทำกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงไม่ลดลงหรือสูงขึ้น และ Options หมดอายุโดยไม่มีการใช้สิทธิ ในทางกลับกัน ความเสี่ยงของคุณอาจ ไม่มีขีดจำกัด หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เพราะคุณจะต้องซื้อสินทรัพย์ในราคาใช้สิทธิที่สูงกว่าราคาตลาด
Put Option จึงเหมาะกับมุมมอง ตลาดขาลง สำหรับผู้ซื้อ และ ตลาด Sideway หรือขาขึ้นเล็กน้อย สำหรับผู้ขาย
คุณจะเห็นได้ว่าแนวคิดของ Call และ Put ใน Options มีความคล้ายคลึงกับใน DW แต่ใน Options มีมิติของ “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ขาย” ที่ชัดเจน ซึ่งนำมาซึ่งกลยุทธ์ที่หลากหลายและซับซ้อนกว่ามาก ซึ่งเราจะลงลึกในหัวข้อถัดไป
กลยุทธ์การเทรด Options ขั้นพื้นฐาน: สร้างกำไรในทุกสภาวะตลาด
ความยืดหยุ่นของ Options ทำให้สามารถสร้างกลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ตลาดที่ไร้ทิศทาง นี่คือตัวอย่างกลยุทธ์พื้นฐานที่คุณควรรู้จัก:
-
Long Call:
นี่คือกลยุทธ์พื้นฐานที่สุดสำหรับ Call Option โดยคุณจะ “ซื้อ” Call Option หากคุณคาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ “สูงขึ้น” อย่างมีนัยสำคัญ เหมาะสำหรับตลาด ขาขึ้น หรือเมื่อมีข่าวดีที่คาดว่าจะทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้น ข้อดีคือจำกัดความเสี่ยงไว้ที่ค่า Premium ที่จ่ายไปเท่านั้น และมีโอกาสทำกำไรได้ไม่จำกัด
-
Long Put:
ตรงกันข้ามกับ Long Call คุณจะ “ซื้อ” Put Option หากคุณคาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ “ลดลง” เหมาะสำหรับตลาด ขาลง หรือเมื่อมีข่าวร้ายที่คาดว่าจะทำให้ราคาร่วงลง กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณสามารถทำกำไรในภาวะตลาดหมีได้เช่นกัน โดยมีความเสี่ยงจำกัดที่ค่า Premium
-
Covered Call:
เป็นกลยุทธ์ที่นิยมสำหรับผู้ที่ “ถือหุ้น” อยู่แล้ว และต้องการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่ถืออยู่ โดยการ “ขาย” Call Option บนหุ้นที่คุณถือ เพื่อรับค่า Premium หากราคาหุ้นไม่ขึ้นไปถึงราคาใช้สิทธิ คุณก็จะได้เก็บค่า Premium นั้นไป ข้อดีคือช่วยลดต้นทุนการถือครองหุ้น แต่ข้อจำกัดคือหากหุ้นพุ่งขึ้นแรง คุณอาจต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ไปในราคาใช้สิทธิ และเสียโอกาสทำกำไรที่มากกว่า
-
Protective Put:
กลยุทธ์นี้เหมือนกับการ “ซื้อประกัน” ให้กับพอร์ตหุ้นที่คุณถืออยู่ คุณจะ “ซื้อ” Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่ราคาหุ้นที่คุณถืออยู่ลดลงอย่างรุนแรง หากราคาหุ้นร่วงลงจริง Put Option ของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยการขาดทุนจากหุ้นที่คุณถือได้ แม้จะต้องเสียค่า Premium ไปบ้าง แต่ก็เป็นการจำกัดความเสี่ยงที่สำคัญ
-
Straddle:
เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคุณคาดว่า ราคาจะมีการเคลื่อนไหวผันผวนอย่างรุนแรง แต่ไม่แน่ใจว่าจะไปในทิศทางใด คุณจะ “ซื้อทั้ง Call Option และ Put Option” ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน หากราคาเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงไปอย่างมาก คุณก็จะทำกำไรได้จากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่หากราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ คุณก็จะขาดทุนจากค่า Premium ของทั้งสองฝั่ง
-
Short Call/Short Put:
การ “ขาย” Options (ทั้ง Call และ Put) เป็นกลยุทธ์ที่ตรงกันข้ามกับ Long Options โดยคุณจะได้รับค่า Premium ทันทีที่คุณขายสัญญา กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับตลาด Sideway (ไม่มีแนวโน้มชัดเจน) หรือเมื่อคุณคาดว่าราคาจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นๆ หรือไม่ผันผวนมาก อย่างไรก็ตาม การขาย Options มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะความเสี่ยงขาดทุนอาจไม่มีขีดจำกัด หากราคาเคลื่อนไหวผิดทางอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “พอร์ตแตก” ได้ จึงไม่แนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่
กลยุทธ์เหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ตลาด Options ยังมีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนอีกมากมาย การเรียนรู้และฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่คุณจะสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การใช้ DW และ Options ในการบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน
นอกเหนือจากการเป็นเครื่องมือเก็งกำไรที่ให้อัตราทดสูงและโอกาสทำกำไรที่รวดเร็วแล้ว DW และ Options ยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)ของพอร์ตการลงทุนของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนหรือเมื่อคุณต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้นที่คุณถืออยู่
ลองนึกภาพว่าคุณถือหุ้นขนาดใหญ่ในพอร์ตของคุณจำนวนมาก และคุณกำลังกังวลว่าตลาดโดยรวมอาจจะเข้าสู่ช่วงตลาดขาลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ การจะขายหุ้นทั้งหมดในพอร์ตเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป เพราะคุณอาจพลาดโอกาสทำกำไรหากตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น หรืออาจมีต้นทุนค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูง
นี่คือจุดที่ Put DW และ Put Option เข้ามามีบทบาท:
-
ใช้ Put DW/Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging):
หากคุณกังวลว่าราคาหุ้นที่คุณถืออยู่จะลดลง คุณสามารถซื้อ Put DW ที่อ้างอิงหุ้นตัวนั้น หรือซื้อ Put Option ที่อ้างอิงดัชนี SET50 Index Futures (หากพอร์ตของคุณอิงกับดัชนี SET50) กลยุทธ์นี้ทำงานเหมือนการซื้อประกันให้กับพอร์ตของคุณ หากราคาหุ้นที่คุณถือลดลงจริง Put DW หรือ Put Option ที่คุณซื้อไว้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วย ชดเชยผลขาดทุน จากหุ้นที่คุณถือได้บางส่วน แม้คุณจะต้องเสียค่า Premium (หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อ Put DW) ไปบ้าง แต่ก็เป็นการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
-
จำกัดความเสี่ยงด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น:
ทั้ง DW และ Options (สำหรับผู้ซื้อ) มีคุณสมบัติสำคัญคือ จำกัดความเสี่ยงที่เงินลงทุนเริ่มต้น นั่นหมายความว่า หากคุณซื้อ Call DW หรือ Put DW และราคาเคลื่อนไหวผิดทางจนหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า คุณจะขาดทุนเพียงแค่จำนวนเงินที่คุณใช้ซื้อ DW นั้นๆ ในทางเดียวกัน หากคุณซื้อ Call Option หรือ Put Option และไม่ใช้สิทธิ คุณก็จะขาดทุนเพียงแค่ค่า Premium ที่จ่ายไปเท่านั้น ซึ่งช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินลงทุนและประเมินความเสี่ยงได้ล่วงหน้า
การใช้ DW และ Options ในการบริหารความเสี่ยงต้องอาศัยความเข้าใจในกลไกของมันอย่างลึกซึ้ง และการประเมินสถานการณ์ตลาดอย่างรอบคอบ แต่หากใช้ได้อย่างถูกต้อง ตราสารเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปกป้องเงินลงทุนของคุณและช่วยให้คุณสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนไปได้อย่างมั่นใจ
ข้อควรระวังและความท้าทายในการเทรด DW และ Options: สิ่งที่คุณต้องเตรียมพร้อม
แม้ว่า DW และ Options จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างผลกำไรและบริหารความเสี่ยง แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่คุณในฐานะนักลงทุนต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือ การมองข้ามข้อควรระวังเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินที่รุนแรงได้
-
ความซับซ้อนสูง:
DW และ Options มีกลไกที่ซับซ้อนกว่าการซื้อขายหุ้นทั่วไปมาก มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อราคา เช่น ราคาหุ้นอ้างอิง, อัตราทด, ราคาใช้สิทธิ, วันหมดอายุ, อัตราดอกเบี้ย, เงินปันผล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผันผวน (Volatility) ของสินทรัพย์อ้างอิง การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดต้องใช้เวลาและการศึกษาอย่างจริงจัง หากไม่มีความรู้เพียงพอ การลงทุนอาจกลายเป็นการพนันได้
-
ผลกระทบจาก Time Decay:
ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว Time Decay หรือการเสื่อมค่าตามเวลา เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ถือ DW และ Options (โดยเฉพาะผู้ซื้อ) ต้องเผชิญ มูลค่าทางเวลาของตราสารจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป และจะเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ นั่นหมายความว่า หากราคาหุ้นอ้างอิงไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวช้าเกินไป คุณก็อาจขาดทุนได้เพียงเพราะเวลาที่ผ่านไปเท่านั้น
-
ความเสี่ยงของ Long Options/DW:
แม้ว่าการซื้อ Options หรือ DW (Long Position) จะจำกัดความเสี่ยงสูงสุดไว้ที่เงินลงทุนเริ่มต้น (ค่า Premium หรือราคา DW) แต่การที่คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย หากราคาไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ หรือหมดอายุก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวที่เพียงพอ
-
ความเสี่ยงที่ไม่มีขีดจำกัดของ Short Options:
สำหรับนักลงทุนที่เลือก ขาย Options (Short Call หรือ Short Put) เพื่อรับค่า Premium นี่คือความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดที่คุณต้องระวัง เพราะความเสี่ยงขาดทุนอาจไม่มีขีดจำกัด หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเคลื่อนไหวผิดทางอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น หากคุณ Short Call และราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล คุณจะต้องซื้อหุ้นในราคาที่สูงมากมาส่งมอบตามสัญญา ทำให้คุณขาดทุนได้อย่างมหาศาล และอาจนำไปสู่สถานการณ์ “พอร์ตแตก” หรือต้องเติมหลักประกันเพิ่มจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
-
สภาพคล่อง:
แม้ว่า DW และ Options บางตัวจะมีสภาพคล่องสูง แต่บางตัวก็อาจมีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งอาจทำให้ยากต่อการซื้อหรือขายในราคาที่ต้องการ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง คุณควรเลือกเทรด DW และ Options ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อลดความเสี่ยงด้านการจับคู่คำสั่งซื้อขาย
การลงทุนใน DW และ Options จึงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสำหรับทุกคน และต้องอาศัยการศึกษาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รวมถึงการฝึกฝนและประสบการณ์ การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและการเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยจะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงและสร้างประสบการณ์ได้อย่างปลอดภัย
บทสรุป: ก้าวสู่การเป็นนักลงทุนที่เหนือกว่าด้วย DW และ Options
การเดินทางในโลกของการลงทุนนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด และการเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ อย่าง DW (Derivative Warrant) และ Options (สัญญาสิทธิ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดของ Call และ Put ถือเป็นการยกระดับความสามารถในการลงทุนของคุณไปอีกขั้น ตราสารอนุพันธ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับเก็งกำไรด้วยอัตราทดสูงและเงินลงทุนเริ่มต้นต่ำเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูง ที่ช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์ได้ตามสภาวะตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ตลาดที่ไม่มีทิศทาง
เราได้สำรวจความแตกต่างระหว่าง Call DW และ Put DW ที่ตอบรับกับทิศทางตลาดที่แตกต่างกัน การถอดรหัสราคา DW ด้วยการทำความเข้าใจ มูลค่าที่แท้จริง และ มูลค่าทางเวลา รวมถึงผลกระทบของ Time Decay ที่เป็นปัจจัยสำคัญ และเรายังได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นของ Options ทั้ง Call Option และ Put Option ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการสร้างกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็น Long Call, Long Put, Covered Call, Protective Put ไปจนถึง Straddle และความเสี่ยงที่สำคัญของการขาย Options
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นและความยืดหยุ่นที่มากขึ้นนั้น มาพร้อมกับความซับซ้อนที่สูงขึ้นและความเสี่ยงที่อาจไม่มีขีดจำกัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขาย Options การเข้าใจ ความผันผวน (Volatility) และการบริหารจัดการ การวางหลักประกัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การศึกษาอย่างรอบคอบ การฝึกฝนด้วยความระมัดระวัง และการเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนที่จำกัด จะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้และปรับตัวในตลาดที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้ได้
ในฐานะนักลงทุนที่มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ การทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้ DW และ Options อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้คุณมีทางเลือกในการลงทุนที่กว้างขวางยิ่งขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า และบริหารจัดการความเสี่ยงในพอร์ตของคุณได้อย่างมืออาชีพ ขอให้คุณโชคดีกับการลงทุน และจงเป็นนักลงทุนที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับcall put คือ
Q:Option หมายถึงอะไร?
A:Option คือ สัญญาที่ให้สิทธิผู้ถือในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
Q:DW กับ Options แตกต่างกันอย่างไร?
A:DW เป็นตราสารอนุพันธ์ที่สามารถซื้อขายได้บนตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ Options ใช้สำหรับการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ ซึ่งมีความซับซ้อนและกลยุทธ์ที่หลากหลายมากกว่า
Q:การลงทุนใน DW หรือ Options มีความเสี่ยงหรือไม่?
A:มีความเสี่ยง แต่การบริหารความเสี่ยงด้วยการใช้กลยุทธ์ต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนดังกล่าวได้