แกะรอยสัญญาณขาลง: คู่มือทำความเข้าใจและใช้งานแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal Candlesticks) อย่างมืออาชีพ
ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี การอ่านกราฟราคาถือเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
เครื่องมือหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและทรงพลังในหมู่นักเทรดทั่วโลกคือ “แท่งเทียน” หรือ Candlesticks รูปแบบของแท่งเทียนสามารถบอกเล่าเรื่องราวของอารมณ์ตลาดและแรงซื้อแรงขายในแต่ละช่วงเวลาได้ และหนึ่งในรูปแบบแท่งเทียนที่นักเทรดต้องทำความรู้จักคือ “แท่งเทียนกลับตัว” (Reversal Candlesticks)
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกเฉพาะเจาะจงในส่วนของ “แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง” (Bearish Reversal Candlesticks) รูปแบบที่ส่งสัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงและแรงขายกำลังจะเข้ามาควบคุมตลาด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบริเวณจุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และบ่งบอกถึงโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลง
เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่หลักการพื้นฐานไปจนถึงรูปแบบสำคัญๆ และวิธีการนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดจริง เพื่อให้คุณสามารถมองเห็นโอกาสในการทำกำไรขาลง และหลีกเลี่ยงการติดดอยเมื่อตลาดกำลังจะกลับตัว ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มกันเลย
ทำความเข้าใจพื้นฐาน: แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงคืออะไร และมีนัยสำคัญอย่างไร?
ลองนึกภาพการแข่งขันชักเย่อระหว่างแรงซื้อ (Bulls) และแรงขาย (Bears) ในตลาดการเงิน ราคาที่พุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แสดงว่าแรงซื้อกำลังเป็นฝ่ายชนะ และราคาที่ดิ่งลงมาแสดงว่าแรงขายกำลังได้เปรียบ
แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง ก็เปรียบเสมือนสัญญาณนกหวีดที่ดังขึ้น บอกว่าการแข่งขันชักเย่อที่ฝ่ายแรงซื้อดูเหมือนจะชนะมาตลอดกำลังถึงจุดพลิกผัน ฝ่ายแรงขายเริ่มมีกำลังมากขึ้นและอาจจะดึงราคาลงมาได้ในไม่ช้า
รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นหลังจากที่ราคาได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาไปถึงบริเวณที่มีนัยสำคัญ เช่น แนวต้านที่แข็งแกร่ง (Strong Resistance Level) หรือโซนอุปทาน (Supply Zone)
การที่แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงปรากฏขึ้นในบริเวณเหล่านี้ ไม่ใช่แค่รูปแบบที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาของตลาด:
- นักลงทุนที่ซื้อมาตั้งแต่ราคาต่ำเริ่มทยอยขายทำกำไร
- นักลงทุนที่รอเข้าชอร์ต (ขายก่อนแล้วค่อยซื้อคืนเมื่อราคาลง) เริ่มมองเห็นโอกาสและเข้าสู่ตลาด
- แรงซื้อใหม่ๆ เริ่มลังเลที่จะไล่ราคาต่อ
ทั้งหมดนี้รวมกัน ก่อให้เกิดรูปแบบแท่งเทียนที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งบอกเป็นนัยว่าทิศทางของราคาอาจกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง การทำความเข้าใจและสามารถระบุรูปแบบเหล่านี้ได้ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถ
- หาจุดเข้าเทรด (Entry Point) สำหรับการเปิดสถานะขาย (Short Position) ที่มีโอกาสทำกำไรสูง
- หลีกเลี่ยงการเข้าซื้อที่จุดสูงสุด (Buying at the Top) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
- บริหารความเสี่ยง (Risk Management) ได้ดีขึ้น โดยการกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เราต้องจำไว้เสมอคือ แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงเป็นเพียง “สัญญาณเตือน” เท่านั้น ไม่ใช่สัญญาณยืนยัน 100% การจะใช้ประโยชน์จากสัญญาณเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่และแม่นยำ เราจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป
หลักการพื้นฐานสู่ความสำเร็จ: การใช้งานแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงอย่างมีประสิทธิภาพ
เหมือนการขับรถ เราไม่สามารถตัดสินใจเลี้ยวได้เพียงแค่เห็นสัญญาณไฟเลี้ยวของคันหน้า แต่ต้องมองสภาพแวดล้อมอื่นๆ ด้วย การใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงก็เช่นกัน เราจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยร่วมที่สำคัญหลายประการ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณและลดความเสี่ยงจาก สัญญาณหลอก (False Signals)
ปัจจัยหลักๆ ที่เราต้องพิจารณามีดังนี้:
ปัจจัยที่ 1: “เทรนด์” คือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ
กฎทองของการเทรดข้อหนึ่งคือ “เทรดตามเทรนด์” (Trade with the Trend) ในกรณีของแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง รูปแบบเหล่านี้จะมีความน่าเชื่อถือสูงสุดเมื่อปรากฏขึ้นที่จุดสิ้นสุดของ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ที่ชัดเจนและยาวนาน
การที่รูปแบบกลับตัวเป็นขาลงเกิดขึ้นในเทรนด์ขาขึ้น หมายความว่าแรงซื้อที่เคยแข็งแกร่งกำลังเผชิญกับแรงต้านทานที่สำคัญ และกำลังส่งสัญญาณว่าอาจจะเพลี่ยงพล้ำ การเข้าเทรดขาลงในจังหวะนี้คือการ “ตามน้ำ” การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
คำเตือนสำคัญ: การเห็นแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงในขณะที่ราคายังอยู่ในแนวโน้มขาลง หรืออยู่ในช่วงตลาด Sideways (ออกข้าง) มักจะเป็นสัญญาณที่ไม่น่าเชื่อถือ และมีโอกาสสูงที่จะเป็นสัญญาณหลอก การเทรดสวนเทรนด์ (Trading Against the Trend) มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดมือใหม่
ดังนั้น ก่อนที่จะมองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง ให้เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์เทรนด์หลักของตลาดใน Timeframe ที่ใหญ่กว่าก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเรากำลังมองหาสัญญาณกลับตัวที่ปลายสุดของเทรนด์ขาขึ้นจริงๆ
ปัจจัยที่ 2: “บริเวณที่มีนัยสำคัญ” จุดยุทธศาสตร์ที่ต้องจับตา
แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงจะทรงพลังมากที่สุดเมื่อเกิดขึ้นในบริเวณที่มีนัยสำคัญบนกราฟราคา บริเวณเหล่านี้เปรียบเสมือนด่านสำคัญหรือกำแพงที่ราคาเคยมีปฏิกิริยาด้วยในอดีต เมื่อราคาขึ้นมาถึงบริเวณเหล่านี้อีกครั้ง มักจะเกิดการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายอย่างดุเดือด
บริเวณที่มีนัยสำคัญได้แก่:
- แนวต้าน (Resistance Level): ระดับราคาที่ในอดีตเคยมีแรงขายเข้ามามากจนทำให้ราคาไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้
- โซนอุปทาน (Supply Zone): บริเวณราคาที่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ตั้งรอขายอยู่เป็นจำนวนมาก
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญ (Key Moving Averages): เช่น MA50, MA100, MA200 ที่มักเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา
- เส้นแนวโน้ม (Trendline): โดยเฉพาะเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ราคาเคยขึ้นไปทดสอบแล้วถูกกดลงมา
- จุดสูงสุดเดิม (Previous Highs): ระดับราคาที่เป็นจุดสูงสุดในรอบก่อนๆ
ลองนึกภาพว่าแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่เกิดขึ้นกลางทางขณะที่ราคากำลังพุ่งขึ้นอย่างแรง เปรียบเสมือนรถที่เหยียบเบรกกะทันหันกลางทางด่วน อาจจะเป็นแค่เบรกชั่วคราวแล้วเร่งต่อ แต่ถ้าไปเหยียบเบรกกะทันหันตรงทางเข้าหมู่บ้าน นั่นมีโอกาสสูงที่จะต้องเลี้ยวเข้าหมู่บ้านจริงๆ
ดังนั้น การที่รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงไปปรากฏตัวที่แนวต้านแข็งๆ หรือโซนอุปทาน สะท้อนว่าแรงซื้อกำลังชนกับแนวต้านสำคัญ และสัญญาณกลับตัวที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าการเกิดขึ้นในบริเวณอื่นๆ
ปัจจัยที่ 3: “Timeframe” ขนาดของสนามรบที่บ่งบอกความสำคัญ
รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ปรากฏบน Timeframe ขนาดใหญ่ (เช่น รายวัน, 4 ชั่วโมง, 1 ชั่วโมง) มีความน่าเชื่อถือและมีนัยสำคัญมากกว่ารูปแบบเดียวกันที่ปรากฏบน Timeframe เล็ก (เช่น 15 นาที, 5 นาที)
เหตุผลก็คือ แท่งเทียนแต่ละแท่งใน Timeframe ใหญ่รวมเอาการเคลื่อนไหวของราคาใน Timeframe เล็กจำนวนมากเอาไว้ การที่รูปแบบกลับตัวปรากฏบนกราฟรายวัน หมายความว่าตลอดทั้งวันนั้นเกิดการต่อสู้ของแรงซื้อแรงขายที่นำไปสู่รูปแบบดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในระยะยาวกว่า
แนวรับแนวต้าน หรือโซนสำคัญที่ตีบน Timeframe ใหญ่ ก็มีความแข็งแกร่งและสำคัญกว่าแนวรับแนวต้านที่ตีบน Timeframe เล็กเช่นกัน
ในการวิเคราะห์ เราควรเริ่มจาก Timeframe ใหญ่เพื่อดูภาพรวมของเทรนด์และบริเวณสำคัญ จากนั้นจึงค่อยลงมาดู Timeframe เล็กเพื่อหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวและจุดเข้าเทรดที่แม่นยำขึ้น อย่างไรก็ตาม สัญญาณกลับตัวที่เราใช้ตัดสินใจควรมาจาก Timeframe ที่ค่อนข้างใหญ่ หรืออย่างน้อยก็เป็น Timeframe ที่เราใช้เทรดเป็นหลัก
ปัจจัยที่ 4: “การยืนยัน” กุญแจสำคัญสู่การหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอก
นี่คือปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง และมักเป็นสิ่งที่นักเทรดมือใหม่มองข้าม เมื่อเราเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงปรากฏขึ้นที่บริเวณสำคัญในเทรนด์ขาขึ้น เรา ไม่ควร รีบเข้าเทรดทันที
เราจำเป็นต้อง รอการยืนยัน (Confirmation) สัญญาณการกลับตัวนั้นก่อน
การยืนยันอาจมาจาก:
- แท่งเทียนถัดไป (Next Candle): ถ้ารูปแบบกลับตัวเป็นขาลงสมบูรณ์แล้วในแท่งปัจจุบัน และแท่งถัดไปเป็นแท่งขาลงที่มีแรงเทขายต่อ (เช่น ปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งกลับตัว) นี่คือสัญญาณยืนยันที่ทรงพลัง
- เครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ (Other Indicators/Tools): เช่น
- อินดิเคเตอร์โมเมนตัม (Momentum Indicators) อย่าง RSI หรือ MACD แสดงสัญญาณ Divergence (ราคาสูงขึ้น แต่ค่าอินดิเคเตอร์ต่ำลง)
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) แสดงสัญญาณ Golden Cross (Death Cross ในกรณีขาลง)
- การ Breakout แนวรับ (Support Breakout) ใกล้ๆ กับบริเวณที่เกิดสัญญาณ
- การยืนยันจาก Price Action อื่นๆ เช่น การสร้าง Lower Highs และ Lower Lows
การรอการยืนยันช่วยให้เรามั่นใจได้มากขึ้นว่าแรงขายที่เข้ามาในแท่งเทียนกลับตัวนั้นไม่ใช่แค่แรงขายชั่วคราว แต่มีโอกาสสูงที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงจริงๆ การรีบเข้าเทรดโดยไม่รอมักจะนำไปสู่การติด สัญญาณหลอก (False Signals) ซึ่งอาจทำให้เราขาดทุนได้
สรุปแล้ว การใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงต้องพิจารณาทั้ง 4 ปัจจัยนี้ร่วมกัน: มันเกิดขึ้นที่ไหน? (บริเวณสำคัญ) มันเกิดขึ้นในบริบทใด? (เทรนด์ขาขึ้น) มันมีความสำคัญแค่ไหน? (Timeframe ใหญ่) และมันได้รับการยืนยันแล้วหรือยัง? (รอแท่งถัดไปหรือเครื่องมืออื่น) การทำความเข้าใจและนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ จะช่วยยกระดับความแม่นยำในการเทรดของคุณได้อย่างมหาศาล
รู้จักรูปแบบสำคัญ: แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่พบบ่อยและมีนัยสำคัญ
มีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงอยู่หลายแบบ บางรูปแบบประกอบด้วยเพียงแท่งเดียว บางรูปแบบประกอบด้วยสองหรือสามแท่ง เราไม่จำเป็นต้องจำชื่อทุกรูปแบบ แต่ควรรู้จักรูปแบบหลักๆ ที่พบบ่อยและมีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะเมื่อปรากฏในบริเวณและบริบทที่ถูกต้อง
เราจะมาแนะนำรูปแบบที่สำคัญ พร้อมอธิบายลักษณะและนัยสำคัญของแต่ละรูปแบบ
รูปแบบที่ 1: Shooting Star (ดาวตก)
ลักษณะ: เป็นแท่งเทียนเพียง 1 แท่ง มักมีลำตัวแท่งเทียน (Real Body) สั้นๆ อยู่บริเวณด้านล่าง (อาจจะเป็นแท่งสีเขียวหรือสีแดงก็ได้ แต่สีแดงจะส่งสัญญาณได้แรงกว่า) และมีไส้เทียนด้านบน (Upper Shadow/Wick) ที่ยาวยืดออกไปอย่างน้อย 2-3 เท่าของความยาวลำตัวแท่งเทียน ไม่มีหรือมีไส้เทียนด้านล่าง (Lower Shadow/Wick) สั้นมาก
นัยสำคัญ: รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดแล้วพุ่งขึ้นไปสูงมากในระหว่างช่วงเวลาหนึ่ง (เกิดไส้เทียนด้านบนยาว) แต่ก่อนที่จะปิดช่วงเวลาดังกล่าว แรงขายกลับเข้ามาอย่างรุนแรงและกดราคาลงมาให้ปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือต่ำกว่า สะท้อนถึงการที่แรงซื้อพยายามดันราคาขึ้นไปแต่ไม่สำเร็จและถูกแรงขายเข้าครอบงำอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจจะถึงจุดสูงสุดแล้ว
พบบ่อยที่: ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้น หรือที่บริเวณแนวต้าน/Supply Zone
สิ่งที่ต้องพิจารณา: ไส้เทียนด้านบนยิ่งยาว ยิ่งแสดงถึงแรงขายที่เข้ามามาก ลำตัวแท่งเทียนยิ่งเล็ก ยิ่งแสดงถึงความลังเลและความอ่อนแรงของแรงซื้อ หากปรากฏในบริบทที่ถูกต้อง (เทรนด์ขาขึ้น, แนวต้าน) จะเป็นสัญญาณกลับตัวที่ทรงพลัง
รูปแบบที่ 2: Bearish Engulfing (แท่งเทียนกลืนกินขาลง)
ลักษณะ: เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วย 2 แท่งเทียน โดยแท่งแรกเป็นแท่งสีเขียว (ขาขึ้น) ที่มีลำตัวขนาดเล็กหรือปานกลาง ส่วนแท่งที่สองเป็นแท่งสีแดง (ขาลง) ที่มีลำตัวใหญ่กว่ามากจน “กลืนกิน” (Engulf) ลำตัวของแท่งแรกทั้งหมด (จุดเปิดของแท่งที่สองสูงกว่าจุดปิดของแท่งแรก และจุดปิดของแท่งที่สองต่ำกว่าจุดเปิดของแท่งแรก)
นัยสำคัญ: แท่งแรกแสดงถึงการต่อเนื่องของแรงซื้อในเทรนด์ขาขึ้น แต่แท่งที่สองที่เปิดสูงกว่าและปิดต่ำลงไปมากจนครอบคลุมแท่งแรกทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าแรงขายได้เข้ามาอย่างรุนแรงและเอาชนะแรงซื้อได้อย่างเบ็ดเสร็จ สะท้อนถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจจากแรงซื้อเป็นแรงขายอย่างฉับพลัน เป็นสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูง
พบบ่อยที่: ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้น หรือที่บริเวณแนวต้าน/Supply Zone
สิ่งที่ต้องพิจารณา: ลำตัวแท่งที่สองยิ่งใหญ่ ยิ่งแสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง หากแท่งที่สองมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) สูงกว่าปกติ ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณ
รูปแบบที่ 3: Evening Star (ดาวเย็น)
ลักษณะ: เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วย 3 แท่งเทียน ปรากฏที่ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้น
- แท่งที่ 1: แท่งสีเขียวขนาดใหญ่ แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงแข็งแกร่ง
- แท่งที่ 2: เป็นแท่งขนาดเล็ก อาจเป็นสีเขียว สีแดง หรือ Doji ก็ได้ มักจะเปิดแบบมีช่องว่าง (Gap Up) เหนือจุดปิดของแท่งแรก แสดงถึงความลังเลของตลาด แรงซื้อเริ่มอ่อนแรง
- แท่งที่ 3: แท่งสีแดงขนาดใหญ่ ที่เปิดแบบมีช่องว่าง (Gap Down) ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับจุดปิดของแท่งที่ 2 และปิดต่ำลงไปมากจนเข้ามาในลำตัวของแท่งแรก หรือปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรก แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างรุนแรงและเริ่มเข้ามาควบคุมตลาด
นัยสำคัญ: รูปแบบนี้บอกเล่าเรื่องราวที่ชัดเจน: แท่งแรกคือแรงซื้อที่ยังคงคุมเกม แท่งที่สองคือช่วงเวลาแห่งความลังเลที่แรงซื้อเริ่มชะลอตัว และแท่งที่สามคือแรงขายที่เข้ามาอย่างหนักหน่วงและเริ่มกลับทิศทางของราคา เป็นสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก เนื่องจากประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่ยืนยันการเปลี่ยนแปลง
พบบ่อยที่: ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน หรือที่บริเวณแนวต้านสำคัญ
สิ่งที่ต้องพิจารณา: การมีช่องว่าง (Gap) ระหว่างแท่งที่ 1 กับ 2 และแท่งที่ 2 กับ 3 จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของรูปแบบ หากแท่งที่ 3 มีปริมาณการซื้อขายสูง ยิ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง
รูปแบบที่ 4: Hanging Man (คนแขวนคอ)
ลักษณะ: เป็นแท่งเทียนเพียง 1 แท่ง มีลักษณะคล้ายกับ Hammer (รูปแบบกลับตัวเป็นขาขึ้น) แต่ปรากฏในแนวโน้มขาขึ้น มีลำตัวแท่งเทียน (Real Body) สั้นๆ อยู่บริเวณด้านบน (อาจเป็นสีเขียวหรือสีแดงก็ได้) และมีไส้เทียนด้านล่าง (Lower Shadow/Wick) ที่ยาวยืดออกไปอย่างน้อย 2-3 เท่าของความยาวลำตัวแท่งเทียน ไม่มีหรือมีไส้เทียนด้านบนสั้นมาก
นัยสำคัญ: รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดแล้วถูกแรงขายกดลงไปต่ำมากในระหว่างช่วงเวลาหนึ่ง (เกิดไส้เทียนด้านล่างยาว) แต่ก่อนที่จะปิดช่วงเวลาดังกล่าว แรงซื้อกลับเข้ามาและดันราคาขึ้นมาให้ปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือสูงกว่า แม้จะดูเหมือนแรงซื้อกลับเข้ามา แต่การที่ราคาลงไปต่ำมากระหว่างวันและมีแรงขายเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (สะท้อนด้วยไส้เทียนด้านล่างที่ยาว) ในขณะที่ราคาอยู่สูงแล้วในเทรนด์ขาขึ้น แสดงถึงความพยายามของแรงขายที่จะกดราคาลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงและอาจจะควบคุมตลาดได้ไม่เต็มที่อีกต่อไป
พบบ่อยที่: ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้น หรือที่บริเวณแนวต้าน
สิ่งที่ต้องพิจารณา: Hanging Man เองอาจจะไม่ได้เป็นสัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่งเท่า Shooting Star หรือ Bearish Engulfing จำเป็นต้องมีการยืนยันที่ชัดเจนจากแท่งเทียนถัดไป (เช่น แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่) เพื่อยืนยันการกลับตัว
รูปแบบที่ 5: Dark Cloud Cover (เมฆทมิฬปกคลุม)
ลักษณะ: เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วย 2 แท่งเทียน ปรากฏที่ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้น
- แท่งที่ 1: แท่งสีเขียวขนาดใหญ่ แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงแข็งแกร่ง
- แท่งที่ 2: แท่งสีแดง ที่เปิดแบบมีช่องว่าง (Gap Up) เหนือจุดปิดของแท่งที่ 1 แต่ราคาในระหว่างวันถูกแรงขายกดดันลงมาอย่างหนัก จนปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของลำตัวแท่งสีเขียวแท่งแรก
นัยสำคัญ: คล้ายกับ Bearish Engulfing แต่แรงขายยังไม่รุนแรงพอที่จะ “กลืนกิน” แท่งแรกได้ทั้งหมด การที่แท่งที่สองเปิดสูงแต่ปิดต่ำลงมามากจนทะลุจุดกึ่งกลางของแท่งก่อนหน้า แสดงถึงการเปลี่ยนบรรยากาศจากแรงซื้อที่พยายามดันราคาขึ้นไปอย่างเต็มที่ในแท่งแรก สู่แรงขายที่เข้าควบคุมตลาดอย่างรวดเร็วในแท่งที่สอง เป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวเป็นขาลงที่มีความน่าเชื่อถือ
พบบ่อยที่: ปลายสุดของแนวโน้มขาขึ้น หรือที่บริเวณแนวต้าน/Supply Zone
สิ่งที่ต้องพิจารณา: แท่งสีแดงที่ปิดต่ำลงไปมากเท่าไหร่ (ยิ่งต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งแรกมากเท่าไหร่) ยิ่งแสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง สัญญาณนี้มีความน่าเชื่อถือรองลงมาจาก Bearish Engulfing
รูปแบบอื่นๆ ที่น่ารู้จัก:
นอกจากรูปแบบหลักข้างต้น ยังมีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงอื่นๆ ที่พบบ่อย เช่น:
- Three Black Crows (อีกาสามตัว): รูปแบบ 3 แท่งเทียนขาลงติดต่อกัน แต่ละแท่งเปิดในลำตัวของแท่งก่อนหน้าและปิดใกล้จุดต่ำสุด แสดงถึงแรงขายที่ต่อเนื่องและรุนแรง
- Tweezer Top (คีมด้านบน): รูปแบบ 2 แท่งเทียนขึ้น/ลง หรือลง/ขึ้น ที่มีจุดสูงสุด (High) อยู่ในระดับเดียวกัน บ่งบอกว่าราคาพยายามขึ้นไปแล้วชนเพดานเดิมซ้ำๆ
- Bearish Harami (หญิงมีครรภ์ขาลง): รูปแบบ 2 แท่งเทียน โดยแท่งแรกเป็นแท่งสีเขียวขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งสีแดงขนาดเล็กที่อยู่ในลำตัวของแท่งแรกทั้งหมด แสดงถึงความลังเลหลังจากที่ราคาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
- Bearish Harami Cross (หญิงมีครรภ์ขาลงแบบ Doji): คล้าย Bearish Harami แต่แท่งที่สองเป็น Doji แทนแท่งสีแดงขนาดเล็ก ยิ่งแสดงถึงความไม่แน่นอนที่รุนแรง
การจำรูปแบบเหล่านี้ได้ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่คือการทำความเข้าใจ “เรื่องราว” ที่แท่งเทียนกำลังบอกเล่า ความพยายามของแรงซื้อที่ล้มเหลว หรือการเข้ามาควบคุมของแรงขาย การผสมผสานความรู้เรื่องรูปแบบเข้ากับหลักการพื้นฐาน (เทรนด์, โซน, Timeframe, การยืนยัน) จะทำให้คุณสามารถตีความกราฟได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ: กลยุทธ์การเข้าเทรดและบริหารความเสี่ยงเมื่อพบสัญญาณกลับตัวขาลง
เมื่อคุณสามารถระบุรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่น่าเชื่อถือได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการเทรดจริง ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดจุดเข้าเทรด (Entry), จุดตัดขาดทุน (Stop Loss), และจุดทำกำไร (Take Profit) รวมถึงการบริหารขนาดของการเทรด (Position Sizing)
นี่คือแนวทางที่เราแนะนำ:
ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์บริบทของตลาด
ก่อนอื่นให้ย้อนกลับไปที่หลักการพื้นฐาน
- ระบุ เทรนด์หลัก บน Timeframe ใหญ่ เป็นขาขึ้นที่ชัดเจนหรือไม่?
- ระบุ บริเวณที่มีนัยสำคัญ เช่น แนวต้าน โซนอุปทาน หรือจุดสูงสุดเดิม ที่ราคากำลังเคลื่อนที่เข้าหา
หากไม่มีบริบทที่ถูกต้อง (เช่น ราคาไม่ได้อยู่ที่ปลายเทรนด์ขาขึ้นหรือที่แนวต้านสำคัญ) แม้จะเห็นรูปแบบกลับตัว ก็ควรเพิกเฉยต่อสัญญาณนั้น
ขั้นตอนที่ 2: รอการปรากฏตัวของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว
สังเกตการณ์ที่บริเวณสำคัญที่คุณระบุไว้ รอให้มีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่น่าเชื่อถือปรากฏขึ้น (เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing, Evening Star) บน Timeframe ที่คุณใช้เทรด หรือ Timeframe ที่ใหญ่กว่า
ขั้นตอนที่ 3: รอการยืนยัน
เมื่อรูปแบบปรากฏขึ้น ให้ รอจนกว่าแท่งเทียนกลับตัวนั้นจะปิดสมบูรณ์ และรอ สัญญาณยืนยัน จากแท่งเทียนถัดไป หรือเครื่องมืออื่นๆ ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การยืนยันที่ง่ายและพบบ่อยที่สุดคือการที่แท่งเทียนถัดไปเป็นแท่งขาลงขนาดใหญ่และปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนกลับตัว
อย่ารีบเข้าเทรดก่อนการยืนยัน การอดทนรอเป็นสิ่งสำคัญมากในการเทรด
ขั้นตอนที่ 4: กำหนดจุดเข้าเทรด (Entry Point)
จุดเข้าเทรดที่นิยมเมื่อใช้รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง คือ:
- หลังแท่งยืนยันปิดสมบูรณ์: เปิดสถานะขาย (Short) เมื่อแท่งเทียนถัดไปปิดเป็นแท่งขาลงและยืนยันสัญญาณ การเข้าแบบนี้มีความปลอดภัยสูงขึ้นเพราะได้รับการยืนยันแล้ว แต่จุดเข้าอาจจะไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด (ราคาอาจลงไปบ้างแล้ว)
- เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดของแท่งยืนยัน: เปิดสถานะขายเมื่อราคาในแท่งถัดๆ ไปเคลื่อนที่ลงมาและทะลุผ่านจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ใช้ยืนยัน การเข้าแบบนี้ก็เป็นการรอการยืนยันเช่นกัน
ขั้นตอนที่ 5: กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เป็นสิ่ง สำคัญที่สุด ในการบริหารความเสี่ยง จุด Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวนั้นๆ หรือเหนือบริเวณแนวต้าน/Supply Zone ที่สัญญาณเกิดขึ้นเล็กน้อย
- สำหรับ Shooting Star, Hanging Man, Bearish Engulfing: วาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของรูปแบบนั้นๆ
- สำหรับ Evening Star: วาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนแท่งที่ 2 (แท่งเล็ก) ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรูปแบบ
- สำหรับ Dark Cloud Cover: วาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของแท่งที่ 2 (แท่งแดง)
การวาง Stop Loss ที่จุดสูงสุดของรูปแบบเป็นการบอกว่า หากราคาสามารถทะลุจุดนั้นขึ้นไปได้ แสดงว่าสัญญาณกลับตัวเป็นขาลงไม่สำเร็จ และเราควรออกจากตลาดเพื่อจำกัดความเสียหาย
ขั้นตอนที่ 6: กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit)
การกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) สามารถทำได้หลายวิธี:
- ตามอัตราส่วน Risk:Reward ที่กำหนดไว้: เช่น กำหนดอัตราส่วน Risk:Reward ที่ 1:2 หรือ 1:3 หมายความว่า หากยอมเสี่ยงขาดทุน 1 ส่วนจากจุดเข้าถึง Stop Loss เราจะตั้ง Take Profit ไว้ที่ระยะห่างจากจุดเข้าเท่ากับ 2 หรือ 3 เท่าของระยะ Stop Loss
- ตามแนวรับสำคัญถัดไป: มองหาแนวรับที่แข็งแกร่งถัดไปที่ราคาอาจจะลงไปถึงและมีโอกาสเด้งกลับ
- เมื่อมีสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้นปรากฏ: ปิดสถานะขายเมื่อเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นปรากฏขึ้นในบริเวณที่น่าสนใจ (เช่น แนวรับ)
การตั้ง Take Profit ล่วงหน้าช่วยให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่ต้องใช้อารมณ์ตัดสินใจเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึง
การบริหารขนาดการเทรด (Position Sizing)
นี่คืออีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ไม่ว่าสัญญาณจะน่าเชื่อถือแค่ไหน เราก็ไม่ควรนำเงินทุนจำนวนมากเกินไปมาเสี่ยงในแต่ละครั้ง กำหนดความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง มักจะแนะนำที่ 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด
จากระยะห่างระหว่างจุดเข้าและจุด Stop Loss และจำนวนเงินที่คุณยอมเสี่ยงต่อครั้ง คุณจะสามารถคำนวณ ขนาดของการเทรด (Lot Size) ที่เหมาะสมได้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าหากสัญญาณกลับตัวผิดพลาดและราคาชน Stop Loss คุณจะขาดทุนในจำนวนที่ควบคุมได้
หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นเทรด Forex หรือมองหาผลิตภัณฑ์ CFD ที่หลากหลาย Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลีย นำเสนอเครื่องมือทางการเงินกว่า 1000 รายการ ทั้งนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพต่างก็ค้นพบตัวเลือกที่เหมาะสมได้ที่นี่ การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดบนแพลตฟอร์มใดก็ตาม
ข้อควรระวังและกับดักที่ต้องหลีกเลี่ยงในการใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง
แม้ว่าแท่งเทียนกลับตัวจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและกับดักที่นักเทรดหลายคนมักจะพลาด ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนได้ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องระวัง
กับดักที่ 1: สัญญาณหลอก (False Signals)
นี่คือปัญหาคลาสสิก สัญญาณหลอกเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวปรากฏขึ้น แต่ราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และกลับไปตามเทรนด์เดิม หรือเคลื่อนที่ออกข้างต่อไป
สัญญาณหลอกมักเกิดขึ้นเมื่อ:
- ไม่ได้พิจารณาบริบท: รูปแบบเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่สำคัญ (เช่น กลางเทรนด์ หรือในตลาด Sideways)
- ไม่ได้รอยืนยัน: รีบเข้าเทรดทันทีที่เห็นรูปแบบ โดยไม่รอแท่งเทียนถัดไปหรือสัญญาณยืนยันอื่นๆ
- ตลาดมีความผันผวนสูง: เช่น ในช่วงที่มีข่าวสารสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์ทางการเมือง รูปแบบแท่งเทียนอาจถูกบิดเบือนหรือล้มเหลวได้ง่าย
วิธีป้องกัน: ยึดมั่นในหลักการพื้นฐาน (เทรนด์, โซน, Timeframe, การยืนยัน) และหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนผิดปกติจากปัจจัยข่าวสาร
กับดักที่ 2: การเทรดสวนเทรนด์ (Trading Against the Trend)
อย่างที่เราได้เน้นย้ำไปแล้ว การพยายามใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงเพื่อเข้าชอร์ตในขณะที่เทรนด์หลักยังคงเป็นขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยไม่ได้รอให้เทรนด์แสดงสัญญาณอ่อนแรงที่บริเวณสำคัญ เป็นความเสี่ยงที่สูงมาก การเทรดสวนเทรนด์เปรียบเสมือนการพยายามหยุดรถไฟที่กำลังวิ่งเต็มความเร็ว มักจะจบลงด้วยการบาดเจ็บ
วิธีป้องกัน: ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เทรนด์หลักบน Timeframe ที่ใหญ่ที่สุดเสมอ และใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นสัญญาณเพื่อเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ *ที่กำลังจะเกิดขึ้น* ไม่ใช่พยายามต่อสู้กับเทรนด์ที่ยังมีโมเมนตัมสูง
กับดักที่ 3: การใช้รูปแบบเพียงอย่างเดียว
รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นเพียง ชิ้นส่วนหนึ่งของปริศนา การใช้รูปแบบเพียงอย่างเดียวโดยไม่พิจารณา Price Action อื่นๆ โครงสร้างตลาด (Market Structure – เช่น การทำ Higher Highs/Higher Lows หรือ Lower Highs/Lower Lows) หรือเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ (เช่น อินดิเคเตอร์, แนวรับแนวต้านที่ชัดเจน) จะทำให้สัญญาณขาดน้ำหนัก
วิธีป้องกัน: ใช้หลักการของ Confluence (การรวมปัจจัยหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน) เมื่อเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ให้ลองมองหาปัจจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนสัญญาณเดียวกัน เช่น สัญญาณเกิดขึ้นที่แนวต้านสำคัญ อินดิเคเตอร์ RSI เริ่มแสดง Overbought หรือมีสัญญาณ Divergence การมีหลายปัจจัยชี้ไปในทิศทางเดียวกันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณอย่างมาก
กับดักที่ 4: การ Overtrading และการใช้อารมณ์
เมื่อคุณเริ่มมองเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวได้คล่องขึ้น คุณอาจจะรู้สึกตื่นเต้นและอยากเข้าเทรดทุกครั้งที่เจอรูปแบบ ซึ่งอาจนำไปสู่การ Overtrading (เทรดบ่อยเกินไป) และการเทรดด้วยอารมณ์เมื่อสัญญาณครั้งก่อนผิดพลาด
วิธีป้องกัน: มีแผนการเทรดที่ชัดเจน และยึดมั่นในแผนนั้น ไม่เข้าเทรดเพียงเพราะเห็นรูปแบบ แต่ต้องเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในบริบทที่ถูกต้องและได้รับการยืนยันตามแผนของคุณ การจดบันทึกการเทรด (Trading Journal) สามารถช่วยให้คุณเห็นข้อผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
ในการเลือกแพลตฟอร์มเทรด ความยืดหยุ่นและความได้เปรียบทางเทคนิคของ Moneta Markets นั้นน่ากล่าวถึง แพลตฟอร์มนี้รองรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ผสมผสานกับการประมวลผลที่รวดเร็วและสเปรดต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ดีเยี่ยม การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมที่ดี แต่การจัดการความเสี่ยงและการควบคุมอารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
การฝึกฝนคือกุญแจ: พัฒนาทักษะการใช้งานแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง
เหมือนกับทักษะอื่นๆ การอ่านและตีความแท่งเทียนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้คล่องแคล่วในชั่วข้ามคืน ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและเป็นระบบ
นี่คือแนวทางที่คุณสามารถนำไปใช้ในการฝึกฝน:
1. ศึกษาทฤษฎีและรูปแบบอย่างต่อเนื่อง
ทบทวนความรู้เกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงอยู่เสมอ ทำความเข้าใจว่าแต่ละรูปแบบบอกเล่าเรื่องราวอะไร ภายใต้บริบทใดที่รูปแบบนั้นจะมีความน่าเชื่อถือสูง ลองมองหารูปแบบกลับตัวอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อขยายคลังความรู้ของคุณ
2. ฝึกฝนการระบุรูปแบบบนกราฟย้อนหลัง (Backtesting)
เปิดกราฟราคาในอดีตของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ แล้วเลื่อนกราฟไปข้างหน้าทีละแท่ง หรือดูย้อนหลังไปเรื่อยๆ ฝึกฝนการระบุรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง เมื่อเจอรูปแบบ ให้ลองวิเคราะห์บริบทที่เกิดขึ้น:
- ราคากำลังอยู่ในเทรนด์อะไร?
- รูปแบบปรากฏที่บริเวณสำคัญหรือไม่? (ลองวาดแนวรับแนวต้าน เส้นเทรนด์)
- รูปแบบที่เจอคือรูปแบบอะไร?
- มีการยืนยันจากแท่งถัดไปหรือไม่?
- หากคุณเข้าเทรด จะวาง Stop Loss และ Take Profit อย่างไร?
หลังจากวิเคราะห์แล้ว ให้เลื่อนกราฟต่อไปเพื่อดูว่าราคาเคลื่อนที่ไปอย่างไร การฝึกฝนแบบนี้ช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการมองเห็นรูปแบบในสถานการณ์จริง และเห็นผลลัพธ์จากการตัดสินใจของคุณ
3. ฝึกฝนบนบัญชีทดลอง (Demo Account)
เมื่อคุณมีความเข้าใจในทฤษฎีและฝึกระบุรูปแบบบนกราฟย้อนหลังไประยะหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปฝึกฝนในสภาพแวดล้อมจริง แต่ใช้เงินสมมุติ การเทรดบนบัญชีทดลองช่วยให้คุณสามารถฝึกการเข้าเทรด การวาง Stop Loss/Take Profit และการบริหารขนาดการเทรดภายใต้สภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
ใช้บัญชีทดลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์ที่คุณวางไว้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และปรับปรุงแนวทางการเทรดของคุณจนกว่าคุณจะรู้สึกมั่นใจพอที่จะใช้เงินจริง
4. จดบันทึกการเทรด (Trading Journal)
ทุกครั้งที่คุณเข้าเทรด ไม่ว่าจะเป็นบัญชีทดลองหรือบัญชีจริง ให้จดบันทึกรายละเอียดการเทรดไว้เสมอ เช่น:
- สินทรัพย์ที่เทรด
- Timeframe ที่ใช้
- เหตุผลที่เข้าเทรด (เช่น พบรูปแบบ Bearish Engulfing ที่แนวต้านในเทรนด์ขาขึ้น และได้รับการยืนยันจากแท่งถัดไป)
- จุดเข้า, Stop Loss, Take Profit
- ขนาดของการเทรด
- ผลลัพธ์การเทรด (กำไร/ขาดทุน)
- บทเรียนที่ได้รับจากการเทรดครั้งนั้น
การจดบันทึกช่วยให้คุณสามารถย้อนกลับไปดูผลการเทรดของตัวเอง เห็นรูปแบบการตัดสินใจที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว และเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของคุณเอง เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเอง
หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีการกำกับดูแลและสามารถเทรดได้ทั่วโลก Moneta Markets มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น FSCA, ASIC, FSA พร้อมให้บริการสนับสนุนที่ครบวงจร เช่น การแยกบัญชีลูกค้า (Segregated Funds), VPS ฟรี, และฝ่ายบริการลูกค้าภาษาจีนตลอด 24/7 เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักเทรดจำนวนมาก การมีโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เส้นทางการเทรดของคุณราบรื่นยิ่งขึ้น
ข้อควรระวังและกับดักที่ต้องหลีกเลี่ยงในการใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง
แม้ว่าแท่งเทียนกลับตัวจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและกับดักที่นักเทรดหลายคนมักจะพลาด ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนได้ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องระวัง
กับดักที่ 1: สัญญาณหลอก (False Signals)
นี่คือปัญหาคลาสสิก สัญญาณหลอกเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวปรากฏขึ้น แต่ราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และกลับไปตามเทรนด์เดิม หรือเคลื่อนที่ออกข้างต่อไป
สัญญาณหลอกมักเกิดขึ้นเมื่อ:
- ไม่ได้พิจารณาบริบท: รูปแบบเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่สำคัญ (เช่น กลางเทรนด์ หรือในตลาด Sideways)
- ไม่ได้รอยืนยัน: รีบเข้าเทรดทันทีที่เห็นรูปแบบ โดยไม่รอแท่งเทียนถัดไปหรือสัญญาณยืนยันอื่นๆ
- ตลาดมีความผันผวนสูง: เช่น ในช่วงที่มีข่าวสารสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์ทางการเมือง รูปแบบแท่งเทียนอาจถูกบิดเบือนหรือล้มเหลวได้ง่าย
วิธีป้องกัน: ยึดมั่นในหลักการพื้นฐาน (เทรนด์, โซน, Timeframe, การยืนยัน) และหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนผิดปกติจากปัจจัยข่าวสาร
กับดักที่ 2: การเทรดสวนเทรนด์ (Trading Against the Trend)
อย่างที่เราได้เน้นย้ำไปแล้ว การพยายามใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงเพื่อเข้าชอร์ตในขณะที่เทรนด์หลักยังคงเป็นขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยไม่ได้รอให้เทรนด์แสดงสัญญาณอ่อนแรงที่บริเวณสำคัญ เป็นความเสี่ยงที่สูงมาก การเทรดสวนเทรนด์เปรียบเสมือนการพยายามหยุดรถไฟที่กำลังวิ่งเต็มความเร็ว มักจะจบลงด้วยการบาดเจ็บ
วิธีป้องกัน: ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เทรนด์หลักบน Timeframe ที่ใหญ่ที่สุดเสมอ และใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นสัญญาณเพื่อเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ *ที่กำลังจะเกิดขึ้น* ไม่ใช่พยายามต่อสู้กับเทรนด์ที่ยังมีโมเมนตัมสูง
กับดักที่ 3: การใช้รูปแบบเพียงอย่างเดียว
รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นเพียง ชิ้นส่วนหนึ่งของปริศนา การใช้รูปแบบเพียงอย่างเดียวโดยไม่พิจารณา Price Action อื่นๆ โครงสร้างตลาด (Market Structure – เช่น การทำ Higher Highs/Higher Lows หรือ Lower Highs/Lower Lows) หรือเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ (เช่น อินดิเคเตอร์, แนวรับแนวต้านที่ชัดเจน) จะทำให้สัญญาณขาดน้ำหนัก
วิธีป้องกัน: ใช้หลักการของ Confluence (การรวมปัจจัยหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน) เมื่อเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ให้ลองมองหาปัจจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนสัญญาณเดียวกัน เช่น สัญญาณเกิดขึ้นที่แนวต้านสำคัญ อินดิเคเตอร์ RSI เริ่มแสดง Overbought หรือมีสัญญาณ Divergence การมีหลายปัจจัยชี้ไปในทิศทางเดียวกันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณอย่างมาก
กับดักที่ 4: การ Overtrading และการใช้อารมณ์
เมื่อคุณเริ่มมองเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวได้คล่องขึ้น คุณอาจจะรู้สึกตื่นเต้นและอยากเข้าเทรดทุกครั้งที่เจอรูปแบบ ซึ่งอาจนำไปสู่การ Overtrading (เทรดบ่อยเกินไป) และการเทรดด้วยอารมณ์เมื่อสัญญาณครั้งก่อนผิดพลาด
วิธีป้องกัน: มีแผนการเทรดที่ชัดเจน และยึดมั่นในแผนนั้น ไม่เข้าเทรดเพียงเพราะเห็นรูปแบบ แต่ต้องเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในบริบทที่ถูกต้องและได้รับการยืนยันตามแผนของคุณ การจดบันทึกการเทรด (Trading Journal) สามารถช่วยให้คุณเห็นข้อผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
ในการเลือกแพลตฟอร์มเทรด ความยืดหยุ่นและความได้เปรียบทางเทคนิคของ Moneta Markets นั้นน่ากล่าวถึง แพลตฟอร์มนี้รองรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ผสมผสานกับการประมวลผลที่รวดเร็วและสเปรดต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ดีเยี่ยม การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมที่ดี แต่การจัดการความเสี่ยงและการควบคุมอารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
การฝึกฝนคือกุญแจ: พัฒนาทักษะการใช้งานแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง
เหมือนกับทักษะอื่นๆ การอ่านและตีความแท่งเทียนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้คล่องแคล่วในชั่วข้ามคืน ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและเป็นระบบ
นี่คือแนวทางที่คุณสามารถนำไปใช้ในการฝึกฝน:
1. ศึกษาทฤษฎีและรูปแบบอย่างต่อเนื่อง
ทบทวนความรู้เกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงอยู่เสมอ ทำความเข้าใจว่าแต่ละรูปแบบบอกเล่าเรื่องราวอะไร ภายใต้บริบทใดที่รูปแบบนั้นจะมีความน่าเชื่อถือสูง ลองมองหารูปแบบกลับตัวอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อขยายคลังความรู้ของคุณ
2. ฝึกฝนการระบุรูปแบบบนกราฟย้อนหลัง (Backtesting)
เปิดกราฟราคาในอดีตของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ แล้วเลื่อนกราฟไปข้างหน้าทีละแท่ง หรือดูย้อนหลังไปเรื่อยๆ ฝึกฝนการระบุรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง เมื่อเจอรูปแบบ ให้ลองวิเคราะห์บริบทที่เกิดขึ้น:
- ราคากำลังอยู่ในเทรนด์อะไร?
- รูปแบบปรากฏที่บริเวณสำคัญหรือไม่? (ลองวาดแนวรับแนวต้าน เส้นเทรนด์)
- รูปแบบที่เจอคือรูปแบบอะไร?
- มีการยืนยันจากแท่งถัดไปหรือไม่?
- หากคุณเข้าเทรด จะวาง Stop Loss และ Take Profit อย่างไร?
หลังจากวิเคราะห์แล้ว ให้เลื่อนกราฟต่อไปเพื่อดูว่าราคาเคลื่อนที่ไปอย่างไร การฝึกฝนแบบนี้ช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการมองเห็นรูปแบบในสถานการณ์จริง และเห็นผลลัพธ์จากการตัดสินใจของคุณ
3. ฝึกฝนบนบัญชีทดลอง (Demo Account)
เมื่อคุณมีความเข้าใจในทฤษฎีและฝึกระบุรูปแบบบนกราฟย้อนหลังไประยะหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปฝึกฝนในสภาพแวดล้อมจริง แต่ใช้เงินสมมุติ การเทรดบนบัญชีทดลองช่วยให้คุณสามารถฝึกการเข้าเทรด การวาง Stop Loss/Take Profit และการบริหารขนาดการเทรดภายใต้สภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
ใช้บัญชีทดลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์ที่คุณวางไว้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และปรับปรุงแนวทางการเทรดของคุณจนกว่าคุณจะรู้สึกมั่นใจพอที่จะใช้เงินจริง
4. จดบันทึกการเทรด (Trading Journal)
ทุกครั้งที่คุณเข้าเทรด ไม่ว่าจะเป็นบัญชีทดลองหรือบัญชีจริง ให้จดบันทึกรายละเอียดการเทรดไว้เสมอ เช่น:
- สินทรัพย์ที่เทรด
- Timeframe ที่ใช้
- เหตุผลที่เข้าเทรด (เช่น พบรูปแบบ Bearish Engulfing ที่แนวต้านในเทรนด์ขาขึ้น และได้รับการยืนยันจากแท่งถัดไป)
- จุดเข้า, Stop Loss, Take Profit
- ขนาดของการเทรด
- ผลลัพธ์การเทรด (กำไร/ขาดทุน)
- บทเรียนที่ได้รับจากการเทรดครั้งนั้น
การจดบันทึกช่วยให้คุณสามารถย้อนกลับไปดูผลการเทรดของตัวเอง เห็นรูปแบบการตัดสินใจที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว และเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของคุณเอง เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเอง
หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีการกำกับดูแลและสามารถเทรดได้ทั่วโลก Moneta Markets มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น FSCA, ASIC, FSA พร้อมให้บริการสนับสนุนที่ครบวงจร เช่น การแยกบัญชีลูกค้า (Segregated Funds), VPS ฟรี, และฝ่ายบริการลูกค้าภาษาอังกฤษตลอด 24/7 เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักเทรดจำนวนมาก การมีโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เส้นทางการเทรดของคุณราบรื่นยิ่งขึ้น
ข้อควรระวังและกับดักที่ต้องหลีกเลี่ยงในการใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง
แม้ว่าแท่งเทียนกลับตัวจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดและกับดักที่นักเทรดหลายคนมักจะพลาด ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนได้ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องระวัง
กับดักที่ 1: สัญญาณหลอก (False Signals)
นี่คือปัญหาคลาสสิก สัญญาณหลอกเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวปรากฏขึ้น แต่ราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และกลับไปตามเทรนด์เดิม หรือเคลื่อนที่ออกข้างต่อไป
สัญญาณหลอกมักเกิดขึ้นเมื่อ:
- ไม่ได้พิจารณาบริบท: รูปแบบเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่สำคัญ (เช่น กลางเทรนด์ หรือในตลาด Sideways)
- ไม่ได้รอยืนยัน: รีบเข้าเทรดทันทีที่เห็นรูปแบบ โดยไม่รอแท่งเทียนถัดไปหรือสัญญาณยืนยันอื่นๆ
- ตลาดมีความผันผวนสูง: เช่น ในช่วงที่มีข่าวสารสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์ทางการเมือง รูปแบบแท่งเทียนอาจถูกบิดเบือนหรือล้มเหลวได้ง่าย
วิธีป้องกัน: ยึดมั่นในหลักการพื้นฐาน (เทรนด์, โซน, Timeframe, การยืนยัน) และหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนผิดปกติจากปัจจัยข่าวสาร
กับดักที่ 2: การเทรดสวนเทรนด์ (Trading Against the Trend)
อย่างที่เราได้เน้นย้ำไปแล้ว การพยายามใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงเพื่อเข้าชอร์ตในขณะที่เทรนด์หลักยังคงเป็นขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยไม่ได้รอให้เทรนด์แสดงสัญญาณอ่อนแรงที่บริเวณสำคัญ เป็นความเสี่ยงที่สูงมาก การเทรดสวนเทรนด์เปรียบเสมือนการพยายามหยุดรถไฟที่กำลังวิ่งเต็มความเร็ว มักจะจบลงด้วยการบาดเจ็บ
วิธีป้องกัน: ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เทรนด์หลักบน Timeframe ที่ใหญ่ที่สุดเสมอ และใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นสัญญาณเพื่อเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ *ที่กำลังจะเกิดขึ้น* ไม่ใช่พยายามต่อสู้กับเทรนด์ที่ยังมีโมเมนตัมสูง
กับดักที่ 3: การใช้รูปแบบเพียงอย่างเดียว
รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นเพียง ชิ้นส่วนหนึ่งของปริศนา การใช้รูปแบบเพียงอย่างเดียวโดยไม่พิจารณา Price Action อื่นๆ โครงสร้างตลาด (Market Structure – เช่น การทำ Higher Highs/Higher Lows หรือ Lower Highs/Lower Lows) หรือเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ (เช่น อินดิเคเตอร์, แนวรับแนวต้านที่ชัดเจน) จะทำให้สัญญาณขาดน้ำหนัก
วิธีป้องกัน: ใช้หลักการของ Confluence (การรวมปัจจัยหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน) เมื่อเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ให้ลองมองหาปัจจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนสัญญาณเดียวกัน เช่น สัญญาณเกิดขึ้นที่แนวต้านสำคัญ อินดิเคเตอร์ RSI เริ่มแสดง Overbought หรือมีสัญญาณ Divergence การมีหลายปัจจัยชี้ไปในทิศทางเดียวกันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณอย่างมาก
กับดักที่ 4: การ Overtrading และการใช้อารมณ์
เมื่อคุณเริ่มมองเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวได้คล่องขึ้น คุณอาจจะรู้สึกตื่นเต้นและอยากเข้าเทรดทุกครั้งที่เจอรูปแบบ ซึ่งอาจนำไปสู่การ Overtrading (เทรดบ่อยเกินไป) และการเทรดด้วยอารมณ์เมื่อสัญญาณครั้งก่อนผิดพลาด
วิธีป้องกัน: มีแผนการเทรดที่ชัดเจน และยึดมั่นในแผนนั้น ไม่เข้าเทรดเพียงเพราะเห็นรูปแบบ แต่ต้องเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในบริบทที่ถูกต้องและได้รับการยืนยันตามแผนของคุณ การจดบันทึกการเทรด (Trading Journal) สามารถช่วยให้คุณเห็นข้อผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
ในการเลือกแพลตฟอร์มเทรด ความยืดหยุ่นและความได้เปรียบทางเทคนิคของ Moneta Markets นั้นน่ากล่าวถึง แพลตฟอร์มนี้รองรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ผสมผสานกับการประมวลผลที่รวดเร็วและสเปรดต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ดีเยี่ยม การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมที่ดี แต่การจัดการความเสี่ยงและการควบคุมอารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
การฝึกฝนคือกุญแจ: พัฒนาทักษะการใช้งานแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง
เหมือนกับทักษะอื่นๆ การอ่านและตีความแท่งเทียนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้คล่องแคล่วในชั่วข้ามคืน ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและเป็นระบบ
นี่คือแนวทางที่คุณสามารถนำไปใช้ในการฝึกฝน:
1. ศึกษาทฤษฎีและรูปแบบอย่างต่อเนื่อง
ทบทวนความรู้เกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงอยู่เสมอ ทำความเข้าใจว่าแต่ละรูปแบบบอกเล่าเรื่องราวอะไร ภายใต้บริบทใดที่รูปแบบนั้นจะมีความน่าเชื่อถือสูง ลองมองหารูปแบบกลับตัวอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อขยายคลังความรู้ของคุณ
2. ฝึกฝนการระบุรูปแบบบนกราฟย้อนหลัง (Backtesting)
เปิดกราฟราคาในอดีตของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ แล้วเลื่อนกราฟไปข้างหน้าทีละแท่ง หรือดูย้อนหลังไปเรื่อยๆ ฝึกฝนการระบุรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง เมื่อเจอรูปแบบ ให้ลองวิเคราะห์บริบทที่เกิดขึ้น:
- ราคากำลังอยู่ในเทรนด์อะไร?
- รูปแบบปรากฏที่บริเวณสำคัญหรือไม่? (ลองวาดแนวรับแนวต้าน เส้นเทรนด์)
- รูปแบบที่เจอคือรูปแบบอะไร?
- มีการยืนยันจากแท่งถัดไปหรือไม่?
- หากคุณเข้าเทรด จะวาง Stop Loss และ Take Profit อย่างไร?
หลังจากวิเคราะห์แล้ว ให้เลื่อนกราฟต่อไปเพื่อดูว่าราคาเคลื่อนที่ไปอย่างไร การฝึกฝนแบบนี้ช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการมองเห็นรูปแบบในสถานการณ์จริง และเห็นผลลัพธ์จากการตัดสินใจของคุณ
3. ฝึกฝนบนบัญชีทดลอง (Demo Account)
เมื่อคุณมีความเข้าใจในทฤษฎีและฝึกระบุรูปแบบบนกราฟย้อนหลังไประยะหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปฝึกฝนในสภาพแวดล้อมจริง แต่ใช้เงินสมมุติ การเทรดบนบัญชีทดลองช่วยให้คุณสามารถฝึกการเข้าเทรด การวาง Stop Loss/Take Profit และการบริหารขนาดการเทรดภายใต้สภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
ใช้บัญชีทดลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์ที่คุณวางไว้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และปรับปรุงแนวทางการเทรดของคุณจนกว่าคุณจะรู้สึกมั่นใจพอที่จะใช้เงินจริง
4. จดบันทึกการเทรด (Trading Journal)
ทุกครั้งที่คุณเข้าเทรด ไม่ว่าจะเป็นบัญชีทดลองหรือบัญชีจริง ให้จดบันทึกรายละเอียดการเทรดไว้เสมอ เช่น:
- สินทรัพย์ที่เทรด
- Timeframe ที่ใช้
- เหตุผลที่เข้าเทรด (เช่น พบรูปแบบ Bearish Engulfing ที่แนวต้านในเทรนด์ขาขึ้น และได้รับการยืนยันจากแท่งถัดไป)
- จุดเข้า, Stop Loss, Take Profit
- ขนาดของการเทรด
- ผลลัพธ์การเทรด (กำไร/ขาดทุน)
- บทเรียนที่ได้รับจากการเทรดครั้งนั้น
การจดบันทึกช่วยให้คุณสามารถย้อนกลับไปดูผลการเทรดของตัวเอง เห็นรูปแบบการตัดสินใจที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว และเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของคุณเอง เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเอง
หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีการกำกับดูแลและสามารถเทรดได้ทั่วโลก Moneta Markets มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น FSCA, ASIC, FSA พร้อมให้บริการสนับสนุนที่ครบวงจร เช่น การแยกบัญชีลูกค้า (Segregated Funds), VPS ฟรี, และฝ่ายบริการลูกค้าภาษาอังกฤษตลอด 24/7 เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักเทรดจำนวนมาก การมีโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เส้นทางการเทรดของคุณราบรื่นยิ่งขึ้น
สรุป: การใช้แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงเพื่อเพิ่มโอกาสในตลาด
แท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการบ่งบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางของราคาจากขาขึ้นเป็นขาลง การทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุจุดที่แรงซื้อเริ่มอ่อนแรงและแรงขายกำลังเข้ามาควบคุมตลาด ซึ่งเปิดโอกาสในการหาจุดเข้าเทรดขาลงที่ได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม ความเชี่ยวชาญไม่ได้มาจากการจำชื่อรูปแบบได้เท่านั้น แต่มาจากการทำความเข้าใจ หลักการพื้นฐาน ที่สนับสนุน