หุ้นบลูชิพ คืออะไร? นิยามและความเป็นมา
หุ้นบลูชิพ หรือที่รู้จักในชื่อ Blue-chip Stock หมายถึงหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่โด่งดัง มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและคงเส้นคงวา ตลอดจนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่ตนเองดำเนินงาน โดยบริษัทเหล่านี้มักมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมาก ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนทั่วไป ชื่อเรียกนี้มีที่มาจากเกมไพ่โป๊กเกอร์ ซึ่งชิปสีน้ำเงินมักเป็นชิปที่มีมูลค่าสูงสุดในการเล่น ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่มักอยู่ในดัชนี SET50 หรือ SET100 ซึ่งแสดงถึงบทบาทสำคัญและขนาดของบริษัทในระบบเศรษฐกิจ

คุณสมบัติสำคัญของหุ้นบลูชิพที่นักลงทุนควรรู้
หากคุณกำลังมองหาหุ้นที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตลงทุน การทำความเข้าใจลักษณะเด่นของหุ้นบลูชิพจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญ เพราะคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้คุณคัดเลือกหุ้นที่ตรงกับกลยุทธ์การลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
บริษัทมีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง
หุ้นบลูชิพมาจากบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่ว และแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พวกเขาเหล่านี้มักครองตำแหน่งผู้นำในตลาดของอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วยประวัติการดำเนินธุรกิจที่ยาวนาน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งลูกค้าและนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง

ผลประกอบการดีเยี่ยมและสม่ำเสมอ
จุดเด่นอีกประการคือ ความสามารถในการสร้างกำไรและรายได้ที่ไม่สะดุด แม้เศรษฐกิจจะเผชิญความไม่แน่นอน บริษัทเหล่านี้มักรอดพ้นจากผลกระทบได้ดีกว่าบริษัทขนาดกลางหรือเล็ก ทำให้หุ้นบลูชิพกลายเป็นตัวเลือกที่เชื่อถือได้สำหรับการลงทุนในระยะยาว
มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี
บริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มีนโยบายแจกจ่ายเงินปันผลที่ชัดเจนและทำได้สม่ำเสมอมาหลายปี ซึ่งไม่เพียงดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ แต่ยังสะท้อนถึงสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงขององค์กร
มีสภาพคล่องสูงและซื้อขายง่าย
ด้วยความนิยมและขนาดที่ใหญ่โต หุ้นเหล่านี้จึงซื้อขายได้สะดวกในตลาด โดยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องคู่ค้า หรือความผันผวนที่รุนแรงจากการเทรดปริมาณมาก
ข้อดีและข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นบลูชิพ
ก่อนจะตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรชั่งน้ำหนักทั้งประโยชน์และข้อควรระวังของหุ้นบลูชิพ เพื่อให้การตัดสินใจสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น

ข้อดี (Advantages)
- ความเสี่ยงต่ำกว่า: เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่เติบโตเร็ว หุ้นบลูชิพมีราคาที่ผันผวนน้อย และโอกาสล้มละลายต่ำมาก ด้วยฐานะการเงินที่เหนียวแน่น
- ผลตอบแทนมั่นคง: ถึงแม้ราคาหุ้นจะไม่พุ่งทะยาน แต่เงินปันผลที่จ่ายสม่ำเสมอช่วยให้มีกระแสเงินสดไหลเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความแน่นอน
- ข้อมูลโปร่งใส: บริษัทขนาดใหญ่มักเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนและปฏิบัติตามกฎของตลาดหลักทรัพย์อย่างเคร่งครัด ทำให้เข้าถึงข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ได้ไม่ยาก
- เหมาะกับการลงทุนระยะยาว: ความมั่นคงและโอกาสเติบโตที่ยั่งยืนทำให้หุ้นเหล่านี้เป็นฐานที่ดีสำหรับการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต
ข้อจำกัด (Disadvantages)
- การเติบโตค่อนข้างช้า: เนื่องจากบริษัทใหญ่และตลาดที่ค่อนข้างอิ่มตัว การเพิ่มขึ้นของรายได้หรือกำไรจึงอาจไม่รวดเร็วเท่าบริษัทใหม่ๆ ส่งผลให้โอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคาในระยะสั้นมีน้อย
- ราคาหุ้นค่อนข้างสูง: ความต้องการที่สูงและความน่าเชื่อถือทำให้ราคาหุ้นแพงกว่าปกติ หากอยากถือจำนวนมากจึงต้องเตรียมทุนให้พร้อม
- ผลตอบแทนอาจไม่หวือหวา: สำหรับผู้ที่ไล่ล่าผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว หุ้นบลูชิพอาจดูน่าเบื่อเพราะเติบโตช้ากว่าประเภทอื่น
หุ้นบลูชิพไทย ที่นักลงทุนควรรู้จัก (พร้อมตัวอย่าง)
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET มีหุ้นบลูชิพหลายรายที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย และได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติ ตัวอย่างเหล่านี้มักปรากฏในดัชนี SET50 หรือ SET100 ซึ่งบ่งชี้ถึงความยิ่งใหญ่และอิทธิพลในตลาด
ชื่อหุ้น (สัญลักษณ์) | อุตสาหกรรม | เหตุผลที่จัดเป็นบลูชิพ |
---|---|---|
PTT (ปตท.) | พลังงานและปิโตรเคมี | บริษัทพลังงานแห่งชาติ มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ |
AOT (ท่าอากาศยานไทย) | ขนส่งและโลจิสติกส์ | ผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ มีรายได้มั่นคงจากการท่องเที่ยว |
CPALL (ซีพี ออลล์) | พาณิชย์ (ค้าปลีก) | ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศและรายได้สม่ำเสมอ |
SCC (ปูนซิเมนต์ไทย) | อุตสาหกรรม (ปิโตรเคมี, ปูนซีเมนต์, วัสดุก่อสร้าง) | ธุรกิจหลากหลาย แข็งแกร่งในหลายอุตสาหกรรม มีประวัติยาวนานและมั่นคง |
KBANK (ธนาคารกสิกรไทย) | ธนาคารพาณิชย์ | หนึ่งในธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และผลประกอบการสม่ำเสมอ |
ADVANC (แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส) | เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ผู้นำด้านโทรคมนาคมของไทย มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และรายได้ประจำ |
บริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำในสาขาของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทาย พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม สิ่งนี้ทำให้หุ้นบลูชิพเหล่ายังคงเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ที่มองหาความมั่นคงในพอร์ตลงทุน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การลงทุนยังต้องพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวมและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมให้รอบคอบเสมอ
วิธีคัดเลือกและลงทุนในหุ้นบลูชิพสำหรับนักลงทุนไทย
ถึงแม้หุ้นบลูชิพจะดูมั่นคง แต่สำหรับนักลงทุนชาวไทย การเลือกและวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ
เกณฑ์การคัดเลือกหุ้นบลูชิพ
ในการคัดเลือก นักลงทุนควรเน้นที่พื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การตัดสินใจมีเหตุผลมากขึ้น ดังนี้
- ดูงบการเงิน: ตรวจสอบรายได้สุทธิ กำไรสุทธิ และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและมีแนวโน้มที่ดี รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น ROE (Return on Equity) ที่สูงและมั่นคง
- พิจารณาประวัติการจ่ายเงินปันผล: เลือกบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีและต่อเนื่อง โดยดูจาก Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนเงินปันผล) ว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจหรือไม่
- วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน: บริษัทมี “คูเมืองทางธุรกิจ” (Economic Moat) หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ เช่น มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีเทคโนโลยีเฉพาะ หรือมีเครือข่ายขนาดใหญ่
- ประเมินมูลค่าหุ้น: แม้จะเป็นหุ้นบลูชิพแต่ก็ควรซื้อในราคาที่เหมาะสม นักลงทุนสามารถใช้ P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) หรือ P/BV Ratio (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี) เพื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและคู่แข่ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ซื้อในราคาสูงเกินไป
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นบลูชิพ
สำหรับนักลงทุนไทย กลยุทธ์ที่เน้นความมั่นคงและมุมมองระยะยาวจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลงทุนระยะยาว (Long-Term Investing): ถือหุ้นบลูชิพไว้เป็นระยะเวลานาน เพื่อรับประโยชน์จากการเติบโตของบริษัทและเงินปันผลที่สม่ำเสมอ
- การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging – DCA): ทยอยลงทุนในจำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน โดยไม่สนใจความผันผวนของราคา ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิดพลาด และสร้างต้นทุนเฉลี่ยที่ดีในระยะยาว
- การจัดพอร์ตลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง: หุ้นบลูชิพสามารถเป็นแกนหลักที่มั่นคงในพอร์ตลงทุน ควบคู่ไปกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้นเติบโต กองทุนรวม หรือตราสารหนี้ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนโดยรวม การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่ SET Education
- การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค: แม้หุ้นบลูชิพจะมั่นคง แต่การติดตามภาวะเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มอุตสาหกรรมยังคงสำคัญ เช่น นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
หุ้นบลูชิพ แตกต่างจากหุ้นประเภทอื่นอย่างไร?
เพื่อให้การจัดสรรเงินลงทุนเหมาะกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การรู้จักความแตกต่างระหว่างหุ้นบลูชิพกับหุ้นอื่นๆ จะช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างชาญฉลาด
หุ้นบลูชิพ vs. หุ้นเติบโต (Growth Stock)
- หุ้นบลูชิพ: บริษัทขนาดใหญ่ มั่นคง มีการเติบโตของรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอแต่ไม่หวือหวา เน้นการจ่ายเงินปันผล เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนระยะยาว
- หุ้นเติบโต: บริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก มักอยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ หรือมีนวัตกรรมโดดเด่น มักจะนำกำไรไปลงทุนซ้ำเพื่อขยายธุรกิจ จึงมักไม่จ่ายเงินปันผล หรือจ่ายน้อยมาก มีความผันผวนสูงกว่าและมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่มีโอกาสสร้าง Capital Gain ที่สูงกว่ามากหากประสบความสำเร็จ ตัวอย่างหุ้นเติบโตในไทยอาจเป็นบริษัทเทคโนโลยี หรือบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดและมีนวัตกรรมใหม่ๆ
หุ้นบลูชิพ vs. หุ้น Defensive
- หุ้นบลูชิพ: มีความมั่นคงสูงและทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนได้ดี แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบบ้างหากเศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรง
- หุ้น Defensive: เป็นหุ้นของบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจแบบใด ทำให้รายได้และกำไรค่อนข้างคงที่และไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก เช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล (เช่น BDMS), หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (เช่น GULF) มักถูกมองว่าเป็นหุ้น Defensive สูงกว่าหุ้นบลูชิพบางตัวที่อาจมีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจมากกว่า
หุ้นบลูชิพ vs. หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock)
- หุ้นบลูชิพ: โดยทั่วไปแล้วมีความมั่นคงกว่าหุ้นวัฏจักร เนื่องจากมีความหลากหลายทางธุรกิจหรือมีฐานลูกค้าที่กว้างกว่า
- หุ้นวัฏจักร: เป็นหุ้นที่ผลประกอบการขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เมื่อเศรษฐกิจดี ผลประกอบการก็จะดีตาม และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผลประกอบการก็จะแย่ลงอย่างรวดเร็ว เช่น หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี (เช่น IVL), หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นกลุ่มธนาคารบางแห่ง อาจมีลักษณะเป็นหุ้นวัฏจักรมากกว่าหุ้นบลูชิพที่เป็นผู้นำตลาดที่มั่นคง
สรุป: หุ้นบลูชิพเหมาะกับใครและทำไมถึงสำคัญ?
หุ้นบลูชิพเปรียบเสมือนเสาหลักที่แข็งแกร่งในพอร์ตการลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง ลดความเสี่ยง และต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ ผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว หรือผู้ที่กำลังวางแผนเกษียณอายุ หุ้นกลุ่มนี้จะช่วยให้พอร์ตของคุณมีความสมดุลและทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นหุ้นที่มั่นคง การทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัท การวิเคราะห์งบการเงิน และการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การลงทุนในหุ้นบลูชิพเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของคุณ หากต้องการเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นไทย สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก คู่มือนักลงทุนสำหรับมือใหม่จากตลาดหลักทรัพย์ฯ
หุ้นบลูชิพไทยมีอะไรบ้างในปี 2567/2568?
หุ้นบลูชิพไทยมักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SET50 และ SET100 ซึ่งรวมถึงบริษัทอย่าง PTT, AOT, CPALL, SCC, KBANK, SCB, BDMS, ADVANC, GULF เป็นต้น อย่างไรก็ตาม รายชื่อและคุณสมบัติของหุ้นบลูชิพอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาดและผลประกอบการของบริษัทในแต่ละปี
ลงทุนหุ้นบลูชิพดีไหม เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
การลงทุนในหุ้นบลูชิพถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ นักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตเพื่อการเกษียณ หรือผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผล
หุ้นบลูชิพ มีข้อเสียอะไรบ้างที่ควรรู้?
- การเติบโตของราคาหุ้นอาจไม่หวือหวาเท่าหุ้นเติบโต เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดใหญ่และค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว
- ราคาหุ้นมักจะสูงกว่าหุ้นทั่วไป ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
- โอกาสสร้างกำไรส่วนต่างราคา (Capital Gain) อาจไม่มากเท่าหุ้นประเภทอื่นในระยะสั้น
ความแตกต่างระหว่างหุ้นบลูชิพกับหุ้นเติบโต (Growth Stock) คืออะไร?
หุ้นบลูชิพเน้นความมั่นคง ผลประกอบการสม่ำเสมอ และจ่ายเงินปันผล แต่การเติบโตของราคามักไม่หวือหวา ในขณะที่หุ้นเติบโตเน้นศักยภาพการเติบโตสูง โอกาสสร้างกำไรส่วนต่างราคามาก แต่มีความเสี่ยงสูงกว่าและมักไม่จ่ายเงินปันผล
ควรใช้ปัจจัยอะไรในการเลือกหุ้นบลูชิพในตลาดหลักทรัพย์ไทย?
ควรพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ขนาดของบริษัท งบการเงินที่แข็งแกร่ง (รายได้ กำไร ROE) ประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ความเป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมนั้นๆ และความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการประเมินมูลค่าหุ้นจาก P/E Ratio และ P/BV Ratio
หุ้นบลูชิพให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นทั่วไปจริงหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นบลูชิพอาจให้ผลตอบแทนในแง่ของ Capital Gain ไม่สูงเท่าหุ้นที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่จะให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมั่นคงกว่าในระยะยาว โดยเฉพาะจากเงินปันผล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุน
ถ้าอยากลงทุนหุ้นบลูชิพ ต้องเริ่มต้นอย่างไร?
คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่คุณสนใจ จากนั้นศึกษาข้อมูลหุ้นบลูชิพที่คุณสนใจจากงบการเงิน รายงานประจำปี และบทวิเคราะห์ต่างๆ แล้วจึงเริ่มทยอยลงทุนด้วยวิธี DCA หรือซื้อในจังหวะที่เหมาะสม
หุ้นบลูชิพจะช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนได้อย่างไร?
หุ้นบลูชิพที่มีความมั่นคงและผันผวนน้อยกว่าหุ้นประเภทอื่น สามารถเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนเพื่อลดความผันผวนโดยรวม ช่วยให้พอร์ตมีความสมดุลและทนทานต่อสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน หากคุณลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว การเพิ่มหุ้นบลูชิพเข้ามาจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตได้
มีโอกาสที่หุ้นบลูชิพจะกลายเป็นหุ้นที่ไม่ใช่บลูชิพหรือไม่?
มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แม้จะเกิดขึ้นได้ยาก หุ้นบลูชิพอาจสูญเสียสถานะได้หากบริษัทประสบปัญหาทางธุรกิจอย่างรุนแรง สูญเสียความเป็นผู้นำตลาด หรือมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ที่ทำให้ผลประกอบการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การลงทุนในหุ้นบลูชิพต้องคำนึงถึงเรื่องภาษีเงินปันผลในประเทศไทยอย่างไร?
ในประเทศไทย เงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนสามารถเลือกที่จะไม่นำเงินปันผลที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซ้ำซ้อนได้