Swing Trade คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐาน
Swing Trade คือกลยุทธ์การซื้อขายที่มุ่งหวังผลกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบคลื่นสั้นไปปานกลาง โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะถือสินทรัพย์ไว้ตั้งแต่สองสามวัน จนถึงสองสามสัปดาห์ เพื่อจับจังหวะการขึ้นลงของราคาที่ไม่ยาวนานเกินไป แต่ก็ไม่ต้องจับตาหน้าจอแบบการเทรดรายวันตลอดเวลา

คำจำกัดความของ Swing Trade
กลยุทธ์นี้คือการพยายามจับจังหวะราคาที่แกว่งตัวในแต่ละรอบ โดยซื้อเข้ามาเมื่อราคาอยู่ใกล้จุดต่ำสุดของรอบนั้น และขายออกเมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุด หรือในทางตรงกันข้ามคือขายก่อนแล้วซื้อคืนเมื่อราคาลงมาถึงจุดต่ำสุด มันแตกต่างจาก Day Trade ที่ปิดสถานะทั้งหมดภายในวันเดียว และต่างจาก Position Trade ที่ถือยาวเป็นเดือนหรือปี
คุณสามารถนำ Swing Trade ไปใช้ในตลาดการเงินหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่กำลังมาแรงในยุคนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีทางเลือกที่หลากหลายในการสร้างผลตอบแทน
หลักการสำคัญของ Swing Trade
แก่นแท้ของการเทรดแบบนี้คือการค้นหาและใช้ประโยชน์จากแนวโน้มระยะสั้นถึงปานกลาง โดยนักเทรดจะมองหาช่วงที่ราคาแกว่งตัวชัดเจน มีจุดพลิกกลับที่คาดเดาได้ เพื่อเข้าซื้อหรือขายในตำแหน่งที่ได้เปรียบ หลักการนี้ส่วนใหญ่พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อทำนายทิศทางและจังหวะที่ราคาจะแกว่ง
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดคือการดูกราฟที่แสดงจุดสูงสุดและต่ำสุดสำคัญในแต่ละรอบ ซึ่งมาจากรูปแบบแท่งเทียนหรือเส้นราคา การรู้จักหลักการเหล่านี้จะช่วยวางแผนการเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนำไปประยุกต์กับข้อมูลจริงในตลาด
Swing Trade ทำงานอย่างไร? กลยุทธ์และเครื่องมือ
การปฏิบัติ Swing Trade ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับกลไกตลาดและเครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสม เพื่อค้นหาโอกาสทำกำไรที่ชัดเจน โดยเริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมราคาและใช้เครื่องมือช่วยยืนยันสัญญาณ

การระบุ Swing High และ Swing Low
การหาจุดสูงสุดและต่ำสุดของรอบคือหัวใจหลักในการเทรดแบบนี้
- Swing High (จุดสูงสุดของรอบ): หมายถึงจุดที่ราคาสูงสุดของแท่งเทียนหนึ่งตัวสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งก่อนและหลังอย่างน้อยสองสามแท่ง และหลังจากนั้นราคามักจะหันหัวลง
- Swing Low (จุดต่ำสุดของรอบ): หมายถึงจุดที่ราคาต่ำสุดของแท่งเทียนหนึ่งตัวต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งก่อนและหลังอย่างน้อยสองสามแท่ง และหลังจากนั้นราคามักจะเด้งขึ้น
นักเทรดมักใช้กราฟแท่งเทียนในกรอบเวลาที่เหมาะสม เช่น กรอบ 4 ชั่วโมงหรือรายวัน เพื่อค้นหาจุดเหล่านี้ การเข้าใจรูปแบบการแกว่งตัวบนกราฟจะช่วยให้จับจังหวะการพลิกกลับของราคาได้แม่นยำกว่าเดิม
(ภาพประกอบ: กราฟแท่งเทียนที่แสดงการระบุ Swing High และ Swing Low อย่างชัดเจน พร้อมลูกศรชี้)

กลยุทธ์ Swing Trade ยอดนิยม
นักเทรดมักเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์ตัวเอง ดังนี้
- กลยุทธ์ตามแนวโน้ม (Trend Following): เข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้านในแนวโน้มขาขึ้น หรือขายเมื่อหลุดแนวรับในแนวโน้มขาลง โดยคาดหวังว่าแนวโน้มจะยืดเยื้อต่อไป ซึ่งเหมาะกับตลาดที่มีทิศทางชัดเจน
- กลยุทธ์การกลับตัว (Reversal Trading): สังเกตรสัญญาณพลิกกลับที่แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ เช่น รูปแบบแท่งเทียนอย่าง Pin Bar หรือ Engulfing หรือสัญญาณจากตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงภาวะซื้อมากเกินหรือขายมากเกิน
- กลยุทธ์การแกว่งตัวในกรอบ (Range Trading): เทรดภายในกรอบราคาที่กำหนด โดยซื้อใกล้แนวรับและขายใกล้แนวต้าน เมื่อตลาดเคลื่อนไหวแบบไม่มีทิศทางชัด
การเลือกกลยุทธ์ควรพิจารณาจากสภาวะตลาดในขณะนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ
เครื่องมือวิเคราะห์ที่จำเป็น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือเครื่องมือหลักที่ช่วยให้ Swing Trade มีประสิทธิภาพ
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA): ช่วยระบุแนวโน้มและทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่เคลื่อนไหวได้ เช่น MA 20, MA 50, MA 200 ซึ่งมักใช้ร่วมกันเพื่อยืนยันทิศทาง
- Relative Strength Index (RSI): วัดระดับการซื้อมากเกินหรือขายมากเกิน เพื่อคาดการณ์จุดพลิกกลับ โดยปกติระดับเหนือ 70 คือซื้อมากเกิน และต่ำกว่า 30 คือขายมากเกิน
- Moving Average Convergence Divergence (MACD): ตรวจสอบโมเมนตัมของราคาและสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม ผ่านการตัดกันของเส้นสัญญาณ
- Bollinger Bands (BB): ประเมินความผันผวนของราคา โดยจุดที่ราคาแตะขอบบนหรือล่างมักเป็นสัญญาณกลับตัว
การรวมเครื่องมือเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยยืนยันสัญญาณได้ดีขึ้น ลดโอกาสตัดสินใจผิดพลาด และเพิ่มความมั่นใจในการเทรด
(ภาพประกอบ: กราฟราคาที่แสดงการใช้งานอินดิเคเตอร์ MA, RSI, MACD พร้อมกัน)
ข้อดีและข้อจำกัดของ Swing Trade
ทุกกลยุทธ์การลงทุนย่อมมีจุดเด่นและจุดอ่อน Swing Trade ก็เช่นกัน นักเทรดควรชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนนำไปใช้

ข้อดีของการทำ Swing Trade
- ความยืดหยุ่นด้านเวลา: ไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันเหมือน Day Trade คุณสามารถตรวจสอบตลาดช่วงเช้าหรือเย็น และติดตามสถานการณ์แบบไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับคนที่มีงานประจำ
- ศักยภาพในการทำกำไร: จับการเคลื่อนไหวราคาที่กว้างกว่า Day Trade ได้ ทำให้กำไรต่อครั้งมีโอกาสสูงกว่า หากวิเคราะห์ถูกต้อง
- ลดความเครียด: ความถี่เทรดน้อยลงและไม่ต้องตัดสินใจแบบเร่งด่วน ช่วยให้จัดการอารมณ์ได้ดีกว่า ลดโอกาสพลาดจากความกดดัน
- ต้นทุนการซื้อขายต่ำกว่า: เทรดน้อยครั้งกว่าการเทรดรายวันหรือสเกลปิ้ง ทำให้ค่าธรรมเนียมรวมต่ำลง ส่งผลดีต่อผลตอบแทนสุทธิ
ข้อดีเหล่านี้ทำให้ Swing Trade เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสมดุลระหว่างเวลาและผลกำไร
ความท้าทายและความเสี่ยง
- ความเสี่ยงข้ามคืน (Overnight Risk): เมื่อถือสินทรัพย์เกินคืนหรือสุดสัปดาห์ อาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันนอกเวลาตลาด ทำให้ราคาเปิดตัวกระโดดและขาดทุนกะทันหัน
- ความผันผวนของตลาด: แม้ใช้ประโยชน์จากความแกว่งตัว แต่ถ้าตลาดผันผวนรุนแรงหรือเปลี่ยนทิศทางเร็ว ก็อาจพลาดเป้าและขาดทุนหนัก
- ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิค: การหาจุด Swing High/Low และใช้ตัวชี้วัดต้องอาศัยทักษะวิเคราะห์ที่สั่งสมมา ซึ่งมือใหม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้
- ระยะเวลารอคอย: บางครั้งต้องรอให้ราคาเคลื่อนไปตามแผน ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนที่ชอบเห็นผลเร็ว
เพื่อรับมือความเสี่ยงเหล่านี้ การมีแผนชัดเจนและวินัยในการเทรดจึงสำคัญมาก
เปรียบเทียบ Swing Trade กับกลยุทธ์อื่น
การเข้าใจ Swing Trade ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรดูการเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ยอดนิยมอื่นๆ เพื่อเห็นภาพรวมและเลือกใช้ให้เหมาะสม
Swing Trade vs. Day Trade ต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างหลักระหว่างสองกลยุทธ์นี้มีดังนี้
คุณสมบัติ | Swing Trade | Day Trade |
---|---|---|
ระยะเวลาถือครอง | หลายวันถึงหลายสัปดาห์ | จบภายในวันเดียว |
ความถี่ในการเทรด | น้อยกว่า (ไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์/เดือน) | สูงกว่า (หลายครั้งต่อวัน) |
ความเสี่ยงข้ามคืน | มี | ไม่มี |
เวลาที่ใช้เฝ้าจอ | น้อยกว่า (ตรวจสอบเป็นระยะ) | สูงกว่า (เฝ้าจอเกือบตลอดเวลา) |
เป้าหมายกำไร | ใหญ่กว่าต่อการเทรดหนึ่งครั้ง | เล็กกว่าต่อการเทรดหนึ่งครั้ง |
จากตารางนี้เห็นได้ชัดว่า Swing Trade เหมาะกับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่า ในขณะที่ Day Trade เน้นความรวดเร็วแต่ต้องทุ่มเทเวลาเต็มที่
Swing Trade vs. Scalping Trade: มุมมองที่แตกต่าง
Scalping Trade มุ่งทำกำไรเล็กน้อยจากความเคลื่อนไหวราคาเพียงไม่กี่จุด ภายในไม่กี่วินาทีหรือนาที ซึ่งต่างจาก Swing Trade อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในด้านความเร็วและขนาดกำไร
- ความเร็ว: Scalping เร็วกว่ามาก ต้องตัดสินใจทันที ขณะที่ Swing Trade ให้เวลาวิเคราะห์มากกว่า
- เป้าหมายกำไร: Scalping สะสมกำไรเล็กๆ หลายรอบ แต่ Swing Trade เน้นกำไรใหญ่ต่อครั้งแม้จะเทรดน้อย
- ความผันผวน: Scalping ต้องการตลาดคล่องตัวและสเปรดต่ำ ในขณะที่ Swing Trade ใช้ประโยชน์จากความแกว่งที่ชัดเจน
หากคุณชอบเทรดเร็ว Scalping อาจน่าสนใจ แต่สำหรับคนที่ต้องการลดความเครียด Swing Trade จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
Swing Trade กับ Position Trading: ความสัมพันธ์และการประยุกต์ใช้
Position Trading คือการถือสินทรัพย์ยาวนานหลายเดือนถึงปี โดยตามแนวโน้มหลักของตลาดตามปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเรียกว่า “Run Trend คือ” การลงทุนแบบนี้เน้นมุมมองระยะยาว
Swing Trade สามารถเสริม Position Trading ได้ โดยใช้จับคลื่นย่อยภายในแนวโน้มใหญ่ เช่น เข้าซื้อเพิ่มเมื่อราคาพักตัวในแนวขาขึ้น หรือขายบางส่วนเมื่อราคาพุ่งแรงเกินไป ซึ่งช่วยเพิ่มผลตอบแทนโดยรวมโดยไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์หลัก
การบริหารความเสี่ยงใน Swing Trade
ไม่ว่ากลยุทธ์ไหน การจัดการความเสี่ยงคือกุญแจสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะใน Swing Trade ที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนข้ามคืน ดังนั้นต้องมีแผนที่ชัดเจนเพื่อปกป้องทุน
กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit
- Stop Loss (จุดตัดขาดทุน): สั่งปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อราคาไปผิดทาง เพื่อจำกัดความเสียหายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ไม่เกิน 1-2% ของทุน
- Take Profit (จุดทำกำไร): สั่งปิดเมื่อถึงเป้ากำไรที่วางไว้ เพื่อล็อกผลตอบแทนโดยไม่โลภเกินไป
การตั้งจุดเหล่านี้ควรอิงจากวิเคราะห์เทคนิค เช่น ใกล้แนวรับแนวต้าน หรือใช้อัตราส่วน Risk-Reward อย่าง 1:2 เพื่อให้กำไรมีโอกาสมากกว่าขาดทุน
(ภาพประกอบ: กราฟราคาที่แสดงการวางจุดเข้าซื้อ, Stop Loss และ Take Profit)
ตัวอย่างเช่น หากเข้าซื้อที่ราคา 100 บาท ตั้ง Stop Loss ที่ 95 บาท และ Take Profit ที่ 110 บาท จะช่วยรักษาสมดุลระหว่างความเสี่ยงและรางวัล
การจัดการขนาด Position
การกำหนดขนาดการลงทุนแต่ละครั้ง (Position Sizing) ต้องคำนึงถึงขนาดบัญชีและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ โดยนักเทรดชำนาญมักจำกัดความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของทุนทั้งหมดต่อเทรด ซึ่งช่วยให้บัญชีอยู่รอดแม้ขาดทุนติดต่อกันหลายครั้ง โดยคำนวณจากระยะห่างของ Stop Loss
เริ่มต้น Swing Trade ในตลาดไทย
นักเทรดชาวไทยที่สนใจ Swing Trade ควรพิจารณาปัจจัยเฉพาะของตลาดในประเทศ เพื่อให้เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย โดยเริ่มจากเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมและเข้าใจกฎระเบียบ
การเลือกแพลตฟอร์มและโบรกเกอร์ที่เหมาะสม
เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแล เพื่อปกป้องเงินทุน
- ตลาดหุ้นไทย (SET): ใช้บริการจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ ก.ล.ต. รับรอง เช่น Bualuang Securities (หลักทรัพย์บัวหลวง), SCB Securities (หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์) หรือ Krungsri Securities (หลักทรัพย์กรุงศรี) ซึ่งมีเครื่องมือวิเคราะห์ครบครัน
- Forex: แม้ยังไม่ได้รับการควบคุมโดยตรงจาก ก.ล.ต. แต่โบรกเกอร์ต่างชาติอย่าง ATFX หรือ Exness ได้รับความไว้วางใจจากนักเทรดไทย ควรตรวจสอบรีวิวและใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างประเทศ
- คริปโตเคอร์เรนซี: เลือกแพลตฟอร์มที่ ก.ล.ต. อนุมัติ เช่น Bitkub, Satang Pro หรือ Binance TH ที่เพิ่งเปิดตัวในไทย เพื่อความมั่นคง
ข้อควรระวังสำหรับนักเทรดไทย
- สภาพคล่องของตลาด: หุ้นไทยบางตัวอาจมีปริมาณซื้อขายไม่มาก ซึ่งอาจทำให้เข้า-ออกตำแหน่งลำบาก ควรเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง
- ภาษีกำไรจากการเทรด:
- ตลาดหุ้น: กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทั่วไปจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ต้องเสียภาษีเงินปันผล
- Forex: กำไรจาก Forex ถือเป็นเงินได้พึงประเมินและต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า
- คริปโตเคอร์เรนซี: กำไรจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของ กรมสรรพากร และต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 15% สำหรับกำไรส่วนเกินจากต้นทุน
- ความเสี่ยงจากการหลอกลวง: ระวังคำชวนลงทุนจากแพลตฟอร์มที่น่าสงสัยหรือสัญญาผลตอบแทนสูงผิดปกติ ควรตรวจสอบกับหน่วยงานรัฐก่อน
การเข้าใจข้อควรระวังเหล่านี้จะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีสติและยั่งยืน
บทสรุป: Swing Trade ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเทรด
Swing Trade นำเสนอโอกาสทำกำไรที่น่าดึงดูด โดยเหมาะกับนักเทรดที่ไม่มีเวลามากเท่า Day Trade แต่ต้องการผลตอบแทนเร็วกว่า Position Trade ด้วยความยืดหยุ่นในการจับคลื่นราคาขนาดใหญ่ มันจึงเป็นกลยุทธ์ที่สมดุลดี อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จต้องมาจากการศึกษาลึกซึ้ง การฝึกฝน การเข้าใจรูปแบบการแกว่งตัวบนกราฟ และวินัยในการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด
ก่อนลงมือจริง ควรศึกษาข้อมูลละเอียด ฝึกในบัญชีทดลอง และเริ่มด้วยทุนที่ยอมเสียได้ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Swing Trade (FAQ)
Swing Trade คืออะไร และแตกต่างจาก Day Trade อย่างไรในมุมมองของนักเทรดไทย?
Swing Trade คือการซื้อขายเพื่อทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระยะเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ ส่วน Day Trade คือการซื้อขายและปิดสถานะทั้งหมดภายในวันเดียว โดยทั่วไปแล้ว Swing Trade จะใช้เวลาเฝ้าจอน้อยกว่า Day Trade และมีโอกาสได้กำไรต่อการเทรดหนึ่งครั้งมากกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงข้ามคืน (Overnight Risk) ที่ Day Trade ไม่มี
นักลงทุนมือใหม่ในตลาดหุ้นไทยควรเริ่มต้น Swing Trade อย่างไร?
สำหรับมือใหม่ในตลาดหุ้นไทย ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การอ่านกราฟแท่งเทียน การระบุแนวรับแนวต้าน และการใช้อินดิเคเตอร์ยอดนิยม จากนั้นฝึกฝนในบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและกลยุทธ์ สุดท้าย เริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนน้อยและบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
มีเครื่องมือหรือ Indicator ทางเทคนิคใดบ้างที่ได้รับความนิยมสำหรับ Swing Trade ในตลาดไทย?
เครื่องมือยอดนิยมสำหรับ Swing Trade ได้แก่:
- Moving Average (MA): ใช้ระบุแนวโน้มและแนวรับ/แนวต้าน
- Relative Strength Index (RSI): ใช้ระบุภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป
- MACD: ใช้ระบุโมเมนตัมและการกลับตัวของแนวโน้ม
- Bollinger Bands (BB): ใช้ประเมินความผันผวนและจุดกลับตัวของราคา
กราฟ สวิง คืออะไร และเราจะใช้มันเพื่อระบุจุดเข้า-ออกอย่างไร?
กราฟ สวิง คือการเคลื่อนไหวของราคาที่แสดงถึงจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ของแต่ละรอบ นักเทรดจะใช้การสังเกตจากกราฟแท่งเทียนเพื่อระบุจุดเหล่านี้:
- จุดเข้า: มักจะเข้าซื้อเมื่อราคากลับตัวขึ้นจาก Swing Low หรือ breakout เหนือแนวต้าน
- จุดออก: มักจะขายเมื่อราคากลับตัวลงจาก Swing High หรือถึงจุดทำกำไร (Take Profit) หรือจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่กำหนดไว้
การทำ Swing Trade ในตลาด Forex และตลาดคริปโตฯ ในไทย มีความเสี่ยงและโอกาสที่แตกต่างกันหรือไม่?
มีความแตกต่างกัน:
- Forex: ตลาดมีสภาพคล่องสูงมาก เปิด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ มีคู่สกุลเงินให้เลือกหลากหลาย แต่มีความเสี่ยงจาก Leverage และการควบคุมที่ยังไม่ชัดเจนในไทย
- คริปโตฯ: ตลาดเปิด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ มีความผันผวนสูงมากและโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมและภาษีที่ต้องพิจารณาในไทย
มีโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการซื้อขายใดในประเทศไทยที่เหมาะกับการทำ Swing Trade?
สำหรับตลาดหุ้นไทย ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น หลักทรัพย์บัวหลวง, หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ สำหรับคริปโตเคอร์เรนซี ควรเลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น Bitkub, Satang Pro หรือ Binance TH ส่วน Forex ควรศึกษาโบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีชื่อเสียงและมีประวัติที่ดี
Swing Trade ต้องเสียภาษีกำไรจากการเทรดอย่างไรในประเทศไทย?
- ตลาดหุ้น: กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทั่วไปได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- Forex: กำไรจาก Forex ถือเป็นเงินได้พึงประเมินและต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า
- คริปโตเคอร์เรนซี: กำไรจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 15% สำหรับกำไรส่วนเกินจากต้นทุน
แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
จะบริหารความเสี่ยงอย่างไรเมื่อทำ Swing Trade เพื่อป้องกันการขาดทุนก้อนใหญ่?
การบริหารความเสี่ยงมีหลายวิธี:
- กำหนด Stop Loss เสมอ: ตั้งจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนในทุกการเทรด
- จัดการขนาด Position: ลงทุนในแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด
- กระจายความเสี่ยง: ไม่ลงทุนในสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป
- มีวินัย: ปฏิบัติตามแผนการซื้อขายที่วางไว้และไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
Swing Trade สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจริงไหม และต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเรียนรู้?
Swing Trade มีศักยภาพในการทำกำไรได้สม่ำเสมอ แต่ไม่มีอะไรรับประกันผลตอบแทน 100% การทำกำไรอย่างสม่ำเสมอขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์ วินัย และการบริหารความเสี่ยง การเรียนรู้พื้นฐานอาจใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ถึงเดือน แต่การจะเชี่ยวชาญและทำกำไรได้จริงอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและการฝึกฝนของแต่ละบุคคล
การทำ Swing Trade จำเป็นต้องเฝ้าจอตลอดเวลาเหมือน Day Trade หรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอตลอดเวลาเหมือน Day Trade ครับ เนื่องจาก Swing Trade มีการถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ คุณจึงสามารถวิเคราะห์ตลาดและวางแผนการซื้อขายในช่วงเวลาที่คุณสะดวก เช่น ตอนเช้าก่อนเริ่มงาน หรือตอนเย็นหลังเลิกงาน และทำการตรวจสอบสถานะเป็นระยะ ๆ ระหว่างวันก็เพียงพอแล้ว