กองทุนรวมธนาคารไหนดี 2567 เปรียบเทียบ 5 แบงก์ชั้นนำ พร้อมลดหย่อนภาษี

Table of Contents

กองทุนรวมคืออะไร และทำไมคนไทยถึงนิยมลงทุน?

กองทุนรวมคือรูปแบบการลงทุนที่รวบรวมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่น้อย เพื่อนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนหนึ่งเดียว แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกองทุนมาดูแล โดยนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายตามแผนที่วางไว้ เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่สินทรัพย์จากต่างแดน ในไทย กองทุนรวมกลายเป็นทางเลือกยอดฮิตสำหรับผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการลงทุน ด้วยเหตุผลที่ชัดเจนและน่าสนใจ

ภาพประกอบนักลงทุนรายย่อยที่ร่วมทุนในกองทุนซึ่งจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญในสำนักงาน

สิ่งที่ทำให้กองทุนรวมโดดเด่นคือการช่วยกระจายความเสี่ยง เงินของคุณจะถูกนำไปลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ ทำให้โอกาสขาดทุนจากสินทรัพย์ตัวเดียวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น การมีผู้จัดการกองทุนผู้มากประสบการณ์คอยดูแล ช่วยให้คุณไม่ต้องลงลึกศึกษาข้อมูลเอง และที่สำคัญคือเริ่มต้นได้ด้วยเงินทุนน้อย ซึ่งดึงดูดให้นักลงทุนหลายคนหันมาใช้เพื่อสร้างรายได้และไปถึงเป้าหมายทางการเงินในอนาคต

ภาพประกอบสินทรัพย์หลากหลายอย่างหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ที่สมดุลกันด้วยโล่ป้องกันความเสี่ยง

หากอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวม ลองดูข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เลย: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) – กองทุนรวมคืออะไร

ภาพประกอบบุคคลกำลังชั่งน้ำหนักประเภทกองทุน ผลตอบแทน ค่าธรรมเนียม และความเสี่ยงในการลงทุน

ปัจจัยสำคัญในการเลือก “กองทุนรวมธนาคารไหนดี”

ก่อนจะเลือกกองทุนรวมที่ใช่สำหรับตัวเอง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือหลายปัจจัย เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณรับไหว นี่คือประเด็นหลักที่ไม่ควรมองข้าม:

  • ประเภทกองทุน: กองทุนรวมแบ่งออกเป็นหลายแบบ เช่น กองทุนที่เน้นหุ้น กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ กองทุนผสมที่รวมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ กองทุนตลาดเงินที่เน้นสินทรัพย์เหลวไหล และกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนทั่วโลก แต่ละแบบมีความเสี่ยงและโอกาสทำกำไรต่างกันไป ดังนั้นให้เลือกตามเป้าหมายและช่วงเวลาการลงทุนของคุณเอง
  • ผลตอบแทนย้อนหลัง: แม้ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่ตัวรับประกันอนาคต แต่ก็ช่วยให้เห็นภาพรวมได้ดี ควรตรวจสอบผลตอบแทนในช่วงต่างๆ เช่น 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหรือกองทุนอื่นในกลุ่มเดียวกัน เพื่อประเมินว่ากองทุนนี้ให้ผลลัพธ์สม่ำเสมอหรือไม่
  • ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย: ค่าธรรมเนียมเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อกำไรสุทธิที่คุณจะได้รับ โดยเฉพาะค่าจัดการ ค่าซื้อ ค่าขายคืน และค่าปรับเปลี่ยนกองทุน กองทุนที่ค่าธรรมเนียมต่ำมักให้ผลตอบแทนดีกว่าในระยะยาว ถ้าปัจจัยอื่นๆ คล้ายกัน
  • ช่องทางการเข้าถึงและบริการ: คิดถึงความง่ายในการซื้อขายและติดตามผลด้วย ธนาคารส่วนใหญ่มีแอปหรือระบบออนไลน์ที่ช่วยจัดการได้สะดวก เช่น SCB Easy Invest หรือ K-My Funds รวมถึงบริการปรึกษาจากเจ้าหน้าที่
  • ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: สิ่งนี้สำคัญที่สุด โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่รับความเสี่ยงต่ำ เริ่มจากกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ที่เสี่ยงน้อยถึงปานกลาง การทำแบบทดสอบความเสี่ยงก่อนลงทุนจะช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง

เปรียบเทียบกองทุนรวมธนาคารชั้นนำในไทย

การนำกองทุนรวมจากธนาคารต่างๆ ในไทยมาพิจารณาเปรียบเทียบ เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยตัดสินใจได้ถูกต้อง แต่ละธนาคารมีจุดแข็งและข้อเสนอที่แตกต่าง ลองมาดูกันทีละแห่ง:

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB / SCBAM)

ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ถือเป็นผู้นำที่มีส่วนแบ่งตลาดกองทุนรวมสูง ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM ที่ดูแลกองทุน SCBAM มีความหลากหลายทั้งกองทุนในไทยและต่างประเทศ รวมถึงกองทุน RMF และ SSF ที่ครบครัน ด้วยแพลตฟอร์ม SCB Easy Invest ในแอป SCB Easy ทำให้การซื้อกองทุนรวม SCB ขั้นต่ำไม่กี่บาทก็ง่ายดาย และติดตามผลได้ทุกเมื่อ

ธนาคารกสิกรไทย (KBank / Kasikorn AM)

ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย หรือ Kasikorn AM เป็นอีกผู้เล่นหลักที่คนไทยชื่นชอบ จุดเด่นคือกองทุนที่ให้ผลงานยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกองทุนหุ้นและต่างประเทศที่ผู้จัดการมีฝีมือ แอป K-My Funds ใช้งานสะดวก มีฟีเจอร์ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ และบริการให้คำปรึกษาที่น่าเชื่อถือ

ธนาคารกรุงเทพ (BBL / BBLAM)

ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง หรือ BBLAM ที่ขึ้นชื่อเรื่องการบริหารแบบรอบคอบและมั่นคง BBLAM โดดเด่นด้วยกองทุนตราสารหนี้และกองทุนผสมที่มุ่งเน้นการเติบโตยั่งยืน รวมถึงกองทุนต่างประเทศที่คัดสรรมาอย่างดี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความแน่นอนและผลตอบแทนที่ต่อเนื่อง แพลตฟอร์มของธนาคารกรุงเทพใช้งานลื่นไหลและเชื่อมต่อกับธุรกรรมอื่นๆ ได้ดี

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri / Krungsri AM)

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ Krungsri กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี หรือ Krungsri AM นำเสนอกองทุนที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างแดน โดยเฉพาะกองทุนที่โฟกัสภูมิภาคเอเชีย Krungsri AM มักมีโปรโมชั่นและกิจกรรมที่น่าดึงดูด แอปธนาคารกรุงศรีถูกพัฒนาให้ใช้งานง่ายและเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว

ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (TMBThanachart / TMBAM Eastspring)

ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต หรือ TMBThanachart ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย หรือ TMBAM Eastspring เป็นทางเลือกที่น่าจับตา TMBAM Eastspring เก่งเรื่องกองทุนที่ยั่งยืนแบบ ESG และกองทุนต่างประเทศที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แอป TMB TOUCH ใช้งานสะดวกและมีคำแนะนำการลงทุนครบถ้วน

ตารางเปรียบเทียบจุดเด่นของกองทุนรวมจากธนาคารชั้นนำ

ธนาคาร/บลจ. จุดเด่น แพลตฟอร์ม/App ประเภทกองทุนเด่น
SCB / SCBAM กองทุนหลากหลาย, กองทุนต่างประเทศ, RMF/SSF ครบครัน SCB Easy Invest หุ้น, ตราสารหนี้, ต่างประเทศ, RMF/SSF
KBank / Kasikorn AM กองทุนผลงานโดดเด่น, กองทุนต่างประเทศเฉพาะทาง K-My Funds หุ้น, ต่างประเทศ, RMF/SSF
BBL / BBLAM บริหารจัดการระมัดระวัง, กองทุนตราสารหนี้, กองทุนผสม Bualuang iBanking ตราสารหนี้, ผสม, หุ้น (เน้นคุณค่า)
Krungsri / Krungsri AM กองทุนเอเชีย, โปรโมชั่นน่าสนใจ Krungsri Mobile App หุ้น (เอเชีย), ตราสารหนี้, RMF/SSF
TMBThanachart / TMBAM Eastspring กองทุน ESG, กองทุนต่างประเทศนวัตกรรมใหม่ TMB TOUCH App ESG, หุ้น (ต่างประเทศ), ตราสารหนี้

กองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษี: RMF, SSF และกองทุนวายุภักษ์ฉบับ 2567

การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษี เป็นแรงผลักดันให้คนไทยหันมาสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะ RMF และ SSF ที่รัฐบาลสนับสนุนเพื่อกระตุ้นการออมระยะยาวสำหรับวัยเกษียณและเพิ่มเงินออมในประเทศ

  • RMF (Retirement Mutual Fund): กองทุนนี้มุ่งเน้นการออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณ ต้องถือครองจนอายุ 55 ปี และลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม สามารถลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้สุทธิ สูงสุด 500,000 บาท และรวมกับช่องทางอื่นๆ อย่าง SSF หรือประกันบำนาญ ไม่เกิน 500,000 บาท
  • SSF (Super Savings Fund): กองทุนสำหรับออมระยะกลาง ต้องถือ 10 ปีแบบวันต่อวัน ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้สุทธิ สูงสุด 200,000 บาท และรวมกับทางอื่นๆ ไม่เกิน 500,000 บาท

สำหรับปี 2567 นักลงทุนควรตรวจสอบเงื่อนไขล่าสุดและวางแผน RMF/SSF ให้เข้ากับรายได้และแผนลดหย่อนภาษีส่วนตัว

ส่วนกองทุนรวมวายุภักษ์ เสียภาษีไหมนั้น กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล ทำให้ไม่ต้องเสียจากส่วนนี้ ซึ่งต่างจากกองทุนทั่วไปที่เงินปันผลอาจต้องเสียภาษีตามประเภท กองทุนวายุภักษ์เน้นลงทุนมั่นคงและกระจายเสี่ยง เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอพร้อมสิทธิประโยชน์ภาษีจากปันผล

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RMF และ SSF ได้จากบลจ. กสิกรไทย: บลจ. กสิกรไทย (Kasikorn AM) – RMF & SSF

ลงทุนกองทุนรวมผ่านธนาคาร vs. บลจ. โดยตรง: ทางเลือกไหนเหมาะกับคุณ?

นักลงทุนมีทางเลือกหลักสองทางในการเข้าถึงกองทุนรวม คือผ่านธนาคารหรือตรงจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แต่ละทางมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่าง ช่วยให้เลือกได้ตามสไตล์ตัวเอง:

  • ลงทุนผ่านธนาคาร:

    • ข้อดี: สะดวกเพราะสาขาธนาคารกระจายทั่ว และแอปช่วยเปิดบัญชีจัดการลงทุนได้ง่าย ถือเป็นบริการครบวงจรที่ทำธุรกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย
    • ข้อเสีย: ทางเลือกกองทุนอาจจำกัดแค่ของบลจ. ในเครือธนาคารนั้นๆ ขาดความหลากหลาย และค่าธรรมเนียมบางครั้งสูงกว่าซื้อตรงเล็กน้อย
  • ลงทุนผ่าน บลจ. โดยตรง:

    • ข้อดี: ทางเลือกล้นหลามเพราะเข้าถึงกองทุนทั้งหมดของบลจ. นั้นๆ บวกกับค่าธรรมเนียมที่อาจต่ำกว่าและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าตรง
    • ข้อเสีย: อาจยุ่งยากกว่าถ้าต้องจัดการหลายบลจ. ต้องเปิดหลายบัญชีและติดตามหลายแพลตฟอร์ม

สรุป: ถ้าคุณเพิ่งเริ่มและอยากได้ความง่าย มีบัญชีธนาคารอยู่แล้ว ทางธนาคารคือตัวเลือกที่เหมาะ แต่ถ้าประสบการณ์เยอะ อยากได้ทางเลือกหลากหลายและควบคุมค่าธรรมเนียม การซื้อตรงจากบลจ. อาจตอบโจทย์กว่า

คู่มือเปิดบัญชีกองทุนรวมง่ายๆ ผ่าน App ธนาคาร

ปัจจุบัน การเปิดบัญชีกองทุนรวมผ่านแอปธนาคารทำได้รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะแอปยอดนิยมอย่าง SCB Easy Invest และ K-My Funds นี่คือขั้นตอนพื้นฐานและสิ่งที่ต้องเตรียม:

เอกสารที่ต้องเตรียม:

  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • สมุดบัญชีธนาคาร (สำหรับผูกบัญชีเพื่อหักเงินและรับเงินคืน)

ขั้นตอนการเปิดบัญชีผ่าน App ธนาคาร (ตัวอย่าง SCB Easy Invest / K-My Funds):

  1. เข้าสู่แอปพลิเคชัน: เปิดแอปธนาคารที่คุณใช้ เช่น SCB Easy หรือ K-PLUS
  2. เลือกเมนูลงทุน: หาเมนูเกี่ยวกับลงทุนหรือกองทุนรวม (ใน SCB Easy คือเมนูลงทุนหรือ SCB Easy Invest ใน K-PLUS คือ K-My Funds)
  3. เริ่มขั้นตอนเปิดบัญชี: ทำตามคำแนะนำในแอป กรอกข้อมูลส่วนตัวและยืนยันตัวตน เช่น สแกนหน้า หรือ OTP
  4. ทำแบบประเมินความเสี่ยง: ตอบคำถามเพื่อให้ธนาคารรู้ระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ และแนะนำกองทุนที่เหมาะ
  5. ยืนยันข้อมูลและยอมรับเงื่อนไข: เช็คข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วยอมรับเงื่อนไข
  6. ผูกบัญชีธนาคาร: เลือกบัญชีที่อยากใช้สำหรับซื้อขาย
  7. รออนุมัติ: เปิดออนไลน์มักใช้เวลาไม่นาน แล้วจะแจ้งเมื่อพร้อมใช้งาน

เมื่อเปิดเสร็จ คุณก็เริ่มลงทุนได้เลย โดยเลือกกองทุนที่ชอบ

ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุน

แม้กองทุนรวมจะสะดวกและมีผู้เชี่ยวชาญดูแล แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่เสมอ ดังนั้นนักลงทุนควรระมัดระวังและทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อความปลอดภัย:

  • ศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียด: ก่อนลงทุนในประเภทใด ควรอ่านหนังสือชี้ชวนหรือ Fund Fact Sheet ให้เข้าใจนโยบาย ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม และผลตอบแทนย้อนหลัง ซึ่งจะช่วยตัดสินใจได้มั่นใจ บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) – ทำความรู้จัก Fund Fact Sheet
  • กระจายความเสี่ยง: อย่าลงทุนหมดในกองทุนเดียวหรือประเภทเดียว ควรกระจายไปหลายกอง หลายสินทรัพย์ และหลายพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงรวมของพอร์ต
  • ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: ใช้วิธีถัวเฉลี่ยต้นทุนหรือ DCA โดยลงทุนเงินเท่าๆ กันทุกเดือน เหมาะสำหรับมือใหม่และช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาด
  • ติดตามและปรับพอร์ต: ตรวจสอบผลตอบแทนและสถานการณ์กองทุนปีละ 1-2 ครั้ง ถ้าอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่ตรงเป้า ให้ปรับพอร์ตให้เหมาะสม
  • อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริง: ลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่มีกองทุนไหนให้ผลตอบแทนสูงโดยไร้ความเสี่ยง ควรดูข้อมูลจริงและปรึกษาผู้รู้หากสงสัย

สรุป: เลือก “กองทุนรวมธนาคารไหนดี” ที่สุดสำหรับคุณ

ไม่มีธนาคารไหนดีที่สุดแบบตายตัวสำหรับกองทุนรวม เพราะขึ้นกับปัจจัยส่วนตัว เช่น เป้าหมาย ระยะเวลา ความเสี่ยงที่รับได้ และเงินทุนที่พร้อม

เริ่มจากการประเมินตัวเอง แล้วค่อยเปรียบเทียบจุดเด่นของธนาคารและบลจ. รวมถึงดูประเภทกองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง ค่าธรรมเนียม และความสะดวกของแพลตฟอร์ม

สำหรับมือใหม่ ลองเริ่มจากธนาคารที่คุณมีบัญชีอยู่ เพื่อเปิดบัญชีและจัดการง่าย หรือเลือกที่มียอดเยี่ยมใน RMF/SSF สำหรับลดหย่อนภาษีปี 2567 และต่อๆ ไป

อย่าลืมว่าการลงทุนเป็นเรื่องยาวไกล การศึกษาดีๆ กระจายเสี่ยง และติดตามพอร์ตสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกองทุนรวม (FAQs)

กองทุนรวมธนาคารไหนดีที่สุดสำหรับมือใหม่ที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ?

สำหรับ “มือใหม่” ที่ต้องการ “ความเสี่ยง” ต่ำ ควรพิจารณากองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมี “ธนาคาร” ชั้นนำอย่าง SCB, KBank, BBL, Krungsri และ TMBThanachart ให้บริการอยู่แล้ว กองทุนประเภทนี้เน้นรักษามูลค่าเงินต้น และให้ “ผลตอบแทน” ที่สม่ำเสมอแต่ไม่สูงนัก การเลือก “ธนาคาร” ที่คุณมีบัญชีอยู่แล้วจะช่วยให้การ “เปิดบัญชี” และทำธุรกรรมง่ายขึ้น เช่น SCB Easy Invest หรือ K-My Funds

ซื้อกองทุนรวม SCB Easy Invest หรือ K-My Funds มีขั้นตอนและเอกสารอะไรบ้าง?

ขั้นตอนการ “ซื้อกองทุนรวม” ผ่าน “SCB Easy Invest” หรือ “K-My Funds” โดยทั่วไปจะคล้ายกัน:

  • เอกสาร: ใช้บัตรประชาชนและสมุดบัญชีธนาคาร (ที่ผูกกับแอปฯ)
  • ขั้นตอน: เข้าแอปฯ ธนาคาร → เลือกเมนู “ลงทุน” หรือ “กองทุนรวม” → ทำแบบประเมิน “ความเสี่ยง” → “เปิดบัญชี” กองทุน (หากยังไม่มี) → เลือก “ประเภทกองทุน” ที่ต้องการ → ระบุจำนวนเงิน → ยืนยันการซื้อ

ระบบจะหักเงินจากบัญชีธนาคารที่ผูกไว้ และคุณจะได้รับการยืนยันการทำรายการ

กองทุนรวมวายุภักษ์ ต่างจาก RMF และ SSF อย่างไร และมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?

  • วัตถุประสงค์: “กองทุนรวมวายุภักษ์” เน้น “ลงทุน” ในกิจการภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและสร้าง “ผลตอบแทน” ส่วน “RMF” และ “SSF” เน้นการออมเพื่อการเกษียณและลดหย่อน “ภาษี”
  • การลดหย่อนภาษี: “กองทุนรวมวายุภักษ์” ให้สิทธิประโยชน์จากการยกเว้น “ภาษี” เงินปันผล (เฉพาะวายุภักษ์ 1) ในขณะที่ “RMF” และ “SSF” ให้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเงินต้นที่ลงทุน
  • เงื่อนไขการถือครอง: “RMF” และ “SSF” มีเงื่อนไขการถือครองที่เข้มงวดกว่า “กองทุนรวมวายุภักษ์” เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทาง “ภาษี”

ข้อดี-ข้อเสีย: “กองทุนรวมวายุภักษ์” เหมาะกับผู้ที่ต้องการเงินปันผลที่ได้รับการยกเว้นภาษีและเน้นความมั่นคง ส่วน “RMF” และ “SSF” เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีและสร้างวินัยการออมระยะยาว

การเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกองทุนรวมของแต่ละธนาคาร ควรดูอะไรบ้างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด?

ในการ “เปรียบเทียบ” “ค่าธรรมเนียม” เพื่อเพิ่ม “ผลตอบแทน” สูงสุด ควรดูองค์ประกอบหลักดังนี้:

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee): เป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บรายปี ยิ่งต่ำยิ่งดี
  • ค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-End Fee): หัก ณ วันที่ซื้อ บางกองทุนอาจไม่มี (No Front-End Fee)
  • ค่าธรรมเนียมการขายคืน (Back-End Fee): หัก ณ วันที่ขายคืน มักจะลดลงเมื่อถือครองนานขึ้น บางกองทุนอาจไม่มี (No Back-End Fee)
  • ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยน (Switching Fee): หากคุณวางแผนที่จะสับเปลี่ยนกองทุนบ่อยๆ ควรพิจารณาตรงนี้ด้วย

เลือกกองทุนที่มีโครงสร้าง “ค่าธรรมเนียม” โดยรวมที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การ “ลงทุน” ของคุณ โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการจัดการที่ส่งผลกระทบในระยะยาว

ลงทุนกองทุนรวมผ่าน App ธนาคาร กับ บลจ. โดยตรง แบบไหนเหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?

  • ผ่าน App “ธนาคาร”: เหมาะสำหรับ “มือใหม่” หรือนักลงทุนที่เน้นความสะดวกสบาย “เปิดบัญชี” ง่าย จัดการทุกอย่างได้ในแอปฯ เดียว และมี “บริการ” ที่คุ้นเคย
  • ผ่าน “บลจ.” โดยตรง: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ ต้องการเข้าถึง “ประเภทกองทุน” ที่หลากหลายกว่า (โดยเฉพาะกองทุนของบลจ. นั้นๆ) และอาจได้รับ “ค่าธรรมเนียม” ที่ถูกกว่า หรือ “โปรโมชั่น” พิเศษที่ไม่มีในช่องทาง “ธนาคาร”

หากต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเป้าหมายเกษียณ ควรเลือกกองทุนรวมประเภทไหนดีในไทย?

สำหรับการ “ลงทุน” ระยะยาวเพื่อเป้าหมายเกษียณ ควรพิจารณา “กองทุนรวม” ที่มีโอกาสสร้าง “ผลตอบแทน” สูงขึ้นในระยะยาว แม้จะมีความ “ความเสี่ยง” สูงขึ้นบ้าง:

  • กองทุนหุ้น: มีโอกาสสร้าง “ผลตอบแทน” สูงสุดในระยะยาว แต่ก็มีความผันผวนสูง
  • กองทุนผสม: เป็นทางสายกลางที่กระจาย “ความเสี่ยง” ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้
  • RMF: เป็น “ประเภทกองทุน” ที่ออกแบบมาเพื่อการเกษียณโดยเฉพาะ พร้อมสิทธิลดหย่อน “ภาษี”
  • กองทุนต่างประเทศ: เพื่อกระจาย “ความเสี่ยง” และโอกาส “ลงทุน” ในตลาดที่หลากหลาย

ควร “ลงทุน” อย่างสม่ำเสมอ และปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับอายุและ “ความเสี่ยง” ที่ยอมรับได้เมื่อใกล้ถึงวัยเกษียณ

ผลตอบแทนกองทุนรวมที่ผ่านมา ดูได้จากที่ไหน และควรใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจอย่างไร?

“ผลตอบแทน” กองทุนรวมที่ผ่านมาสามารถดูได้จาก:

  • Fund Fact Sheet: เอกสารสรุปข้อมูลกองทุนที่บลจ. หรือ “ธนาคาร” เผยแพร่
  • เว็บไซต์ของบลจ. หรือธนาคาร: มีข้อมูล “ผลตอบแทน” ย้อนหลังและกราฟแสดงผล
  • เว็บไซต์ผู้ให้บริการข้อมูลกองทุน: เช่น Morningstar Thailand หรือ Finnomena

ควรใช้ข้อมูลนี้ประกอบการตัดสินใจโดย:

  • ดู “ผลตอบแทน” ในหลายช่วงเวลา: เช่น 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี เพื่อดูความสม่ำเสมอ
  • “เปรียบเทียบ” กับกองทุนประเภทเดียวกัน: หรือดัชนีชี้วัด (Benchmark)
  • อย่าใช้ “ผลตอบแทน” ย้อนหลังเป็นตัวตัดสินใจเพียงอย่างเดียว: เพราะ “ผลตอบแทน” ในอดีตไม่ได้รับประกัน “ผลตอบแทน” ในอนาคต

มีข้อควรระวังและปัจจัยอะไรที่อาจส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมในปี 2567 นี้?

ในปี “2567” และ “2568” มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อ “กองทุนรวม” เช่น:

  • ภาวะเศรษฐกิจโลกและไทย: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ, นโยบายการเงินของธนาคารกลาง
  • อัตราดอกเบี้ย: การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อ “กองทุนรวม” ตราสารหนี้และหุ้น
  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอาจสร้าง “ความเสี่ยง” และความผันผวนใน “ตลาดหลักทรัพย์”
  • นโยบายภาครัฐ: การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้าน “ภาษี” หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับกลยุทธ์การ “ลงทุน” ให้เหมาะสม

จะรู้ได้อย่างไรว่ากองทุนรวมที่เลือกเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้?

คุณสามารถทราบได้จาก:

  • แบบประเมิน “ความเสี่ยง” (Suitability Test): ที่ “ธนาคาร” หรือ “บลจ.” ให้คุณทำก่อน “เปิดบัญชี” ระบบจะประเมินจากคำตอบของคุณว่าคุณรับ “ความเสี่ยง” ได้ในระดับใด
  • ระดับ “ความเสี่ยง” ของกองทุน: ทุก “กองทุนรวม” มีการกำหนดระดับ “ความเสี่ยง” (1-8) ใน Fund Fact Sheet ควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีระดับ “ความเสี่ยง” ไม่เกินกว่าที่คุณยอมรับได้
  • ความเข้าใจส่วนตัว: พิจารณาว่าคุณจะรู้สึกสบายใจแค่ไหนหากมูลค่า “ลงทุน” ลดลง 10-20% หรือมากกว่านั้น หากรับไม่ได้ ควรเลือกกองทุนที่มี “ความเสี่ยง” ต่ำลง

นอกจากธนาคารใหญ่ๆ แล้ว มีบลจ. อิสระหรือแพลตฟอร์มอื่นใดที่น่าสนใจสำหรับกองทุนรวมบ้าง?

นอกเหนือจาก “ธนาคาร” ใหญ่ๆ และ “บลจ.” ในเครือธนาคาร ยังมี “บลจ.” อิสระและแพลตฟอร์มการ “ลงทุน” อื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น:

  • บลจ. อิสระ: เช่น บลจ. วรรณ (ONE AM), บลจ. พรินซิเพิล (Principal AM), บลจ. ยูโอบี (UOBAM) ซึ่งอาจมี “ประเภทกองทุน” เฉพาะทางหรือกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างออกไป
  • แพลตฟอร์ม “ลงทุน” ออนไลน์: เช่น Finnomena, Wealthy Thai ซึ่งรวบรวมกองทุนจากหลาย “บลจ.” มาไว้ในที่เดียว ทำให้ “เปรียบเทียบ” และ “ลงทุน” ได้สะดวกขึ้น และบางแพลตฟอร์มอาจมีเครื่องมือช่วยวางแผนการ “ลงทุน” และคำแนะนำส่วนบุคคลด้วย

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *