บทนำ: เทคนิคอล คืออะไร และทำไมนักลงทุนไทยต้องรู้?
ในตลาดการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและโอกาสมากมาย คำว่าเทคนิคอล หรือที่รู้จักกันในชื่อการวิเคราะห์ทางเทคนิค ถือเป็นเครื่องมือหลักที่นักลงทุนและผู้เทรดในตลาดหุ้นไทยหันมาใช้กันอย่างกว้างขวาง วิธีนี้คือการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณการซื้อขายที่ผ่านมา เพื่อช่วยคาดเดาทิศทางราคาในอนาคต

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น การเข้าใจพื้นฐานของเทคนิคอลและวิธีการทำงานของมันจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะจะช่วยให้คุณจับจังหวะการซื้อขายได้ดีขึ้น วางกลยุทธ์ที่เหมาะสม และจัดการความเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะลงทุนแบบสั้นหรือยาว การมีองค์ความรู้ด้านนี้จะเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจของคุณ โดยเฉพาะในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
หัวใจสำคัญของเทคนิคอล: หลักการพื้นฐานที่ต้องเข้าใจ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคยืนอยู่บนสมมติฐานหลักสามข้อที่นักลงทุนทุกคนควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อนำเครื่องมือนี้ไปใช้ให้เกิดผลดีที่สุด

-
ตลาดสะท้อนทุกข้อมูล: แนวคิดนี้บอกว่าทุกข่าวสาร ข้อมูลเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท หรือแม้กระทั่งอารมณ์ของนักลงทุน ล้วนถูกปรับเข้ากับราคาหุ้นในปัจจุบันแล้ว เราจึงควรโฟกัสที่การเคลื่อนไหวของราคาเอง แทนที่จะไล่ตามสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น
-
ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม: ราคาหุ้นมักจะไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะขึ้น ลดลง หรือเคลื่อนที่แบบข้างเคียง การค้นหาและติดตามแนวโน้มเหล่านี้คือหัวใจของเทคนิคอล ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถตามกระแสตลาดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ประวัติศาสตร์มักเกิดซ้ำ: รูปแบบราคาและการซื้อขายที่เคยเกิดในอดีต มักจะปรากฏอีกครั้งในอนาคต เนื่องจากพฤติกรรมมนุษย์ที่ขับเคลื่อนด้วยความกลัวและความโลภนั้นค่อนข้างคงที่ รูปแบบบนกราฟจึงสะท้อนจิตวิทยาของตลาดที่วนเวียนซ้ำๆ
หลักการเหล่านี้เป็นฐานรากที่ทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้กำหนดนิยามชัดเจนว่าเป็นการศึกษาข้อมูลเก่าเพื่อมองอนาคต ซึ่งช่วยให้นักลงทุนไทยนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในทุกสภาวะตลาด
รู้จักเครื่องมือหลัก: กราฟราคาและรูปแบบที่สำคัญ
จุดสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการตีความกราฟราคา ซึ่งมีหลากหลายประเภท แต่ละแบบก็เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกันไป เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจน

-
กราฟแท่ง: แสดงข้อมูลราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในแต่ละช่วง โดยใช้แท่งแนวตั้งพร้อมขีดเล็กด้านซ้ายสำหรับราคาเปิดและขวาสำหรับราคาปิด
-
กราฟเส้น: เรียบง่ายที่สุด โดยเชื่อมต่อราคาปิดของแต่ละช่วงเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับดูแนวโน้มใหญ่ภาพ
-
กราฟแท่งเทียน: ได้รับความนิยมสูงในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ เพราะครอบคลุมข้อมูลทั้งหมดและยังใช้ดูรูปแบบแท่งเทียนที่บอกถึงการพลิกผันหรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม
อีกทั้ง แนวรับและแนวต้านยังเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ แนวรับคือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาหนุนไม่ให้ราคาตกต่ำกว่านั้น ขณะที่แนวต้านคือระดับที่แรงขายจะเข้ามากดราคาไม่ให้ขึ้นต่อ ทั้งคู่ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจซื้อขายได้ตรงจุด
ส่วนรูปแบบราคาที่พบได้บ่อยและมีคุณค่ามีดังนี้
-
หัวและไหล่: รูปแบบที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น
-
สองยอดหรือสองก้น: คล้ายตัวอักษร M สำหรับสองยอดที่บอกขาลง และ W สำหรับสองก้นที่บอกขาขึ้น
-
สามเหลี่ยม: แสดงการบีบตัวของราคาก่อนที่จะทะลุออกไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
เมื่อคุณเข้าใจกราฟและรูปแบบเหล่านี้ ก็จะสามารถอ่านแผนที่ตลาดและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของหุ้นไทยได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้กับหุ้นตัวจริงในตลาด
เจาะลึกอินดิเคเตอร์ยอดนิยม: สัญญาณซื้อขายที่นักลงทุนไทยใช้
ตัวชี้วัดทางเทคนิคหรืออินดิเคเตอร์คือเครื่องมือที่ช่วยยืนยันสัญญาณจากกราฟราคา และให้มุมมองลึกซึ้งยิ่งขึ้น นักลงทุนในไทยมักเลือกใช้อินดิเคเตอร์หลายตัวเพื่อจับจุดซื้อและขาย ลองมาดูตัวที่ได้รับความนิยมกัน
-
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่:
คำนวณราคาเฉลี่ยย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อทำให้ราคาดูเรียบและชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น เมื่อเส้นสั้น (10 วัน) ตัดขึ้นเหนือเส้นยาว (50 วัน) ถือเป็นสัญญาณซื้อ แต่ถ้าตัดลงใต้คือสัญญาณขาย มันใช้งานง่ายและเป็นฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ -
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บรรจบและลู่ออก:
ใช้วัดแรงผลักดันของราคา เพื่อดูความแข็งแกร่งของแนวโน้มและจุดพลิกผัน สัญญาณซื้อเกิดเมื่อเส้นหลักตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ หรือเปลี่ยนจากลบเป็นบวก ขณะที่สัญญาณขายตรงข้ามกัน ช่วยยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม -
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์:
วัดการเปลี่ยนแปลงราคาเพื่อดูภาวะซื้อมากเกินหรือขายมากเกิน ค่ามากกว่า 70 บ่งชี้ซื้อมากเกินและอาจปรับฐานลง ขณะที่ต่ำกว่า 30 บ่งชี้ขายมากเกินและอาจฟื้นตัว นักลงทุนไทยชอบใช้มันหาจังหวะซื้อตอนขายมากเกินและขายตอนซื้อมากเกิน -
โบลินเจอร์ แบนด์:
ประกอบด้วยเส้นกลางและแถบสองข้างที่ปรับตามราคา แถบจะกว้างขึ้นตอนตลาดผันผวนสูงและแคบลงตอนต่ำ ใช้ดูว่าราคาใกล้ขอบบนหรือล่างเพื่อหาจุดพลิกหรือยืนยันการทะลุ เช่น ราคาทะลุขอบบนอาจแสดงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
นำอินดิเคเตอร์เหล่านี้ไปใช้กับหุ้นในดัชนี SET50 จะช่วยให้คุณจับสัญญาณได้มีเหตุผลมากขึ้น แต่การใช้อันเดียวอาจเจอสัญญาณหลอก ดังนั้นควรรวมหลายตัวหรือคู่กับรูปแบบกราฟเพื่อความแม่นยำ โดยหลักทรัพย์บัวหลวง ยังย้ำว่าต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนนำไปใช้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่ไม่จำเป็น
ก้าวข้ามพื้นฐาน: Stage Analysis (การวิเคราะห์ระยะ) เพื่อการลงทุนที่เหนือกว่า
นอกจากเครื่องมือพื้นฐานอย่างอินดิเคเตอร์และกราฟแล้ว ยังมีแนวคิดที่ช่วยให้คุณมองภาพรวมของหุ้นได้ลึกซึ้งกว่า นั่นคือการวิเคราะห์ระยะหรือ Stage Analysis ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักลงทุนดังอย่าง Stan Weinstein
แนวคิดนี้แบ่งวงจรชีวิตหุ้นออกเป็นสี่ระยะที่หมุนเวียนตามเวลา ดังนี้
-
ระยะสะสม: ราคาเคลื่อนในกรอบแคบหลังจากขาลง นักลงทุนใหญ่เริ่มเก็บหุ้น ปริมาณซื้อขายน้อย
-
ระยะขาขึ้น: ช่วงที่น่าลงทุนสุด ราคาทะลุแนวต้านขึ้น ปริมาณเพิ่มมาก และแนวโน้มขึ้นชัดเจน
-
ระยะกระจาย: หลังขึ้นสูง ราคากลับเคลื่อนในกรอบแคบ นักลงทุนใหญ่เริ่มขาย ปริมาณยังสูงแต่มีสัญญาณขาลง
-
ระยะขาลง: ราคาทำจุดต่ำใหม่ ทะลุแนวรับลง แรงขายหนัก ควรหลีกเลี่ยง
การเข้าใจการวิเคราะห์ระยะช่วยวางแผนซื้อขายได้ระบบ โดยซื้อต้นระยะสองและขายปลายระยะสองหรือต้นระยะสาม ลดความเสี่ยงติดดอยในระยะหลัง สำหรับนักลงทุนไทย มันคือเครื่องมือที่ช่วยมองโอกาสและจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะในตลาดที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในมากมาย
ข้อดีและข้อจำกัดของเทคนิคอล: ใช้ให้ถูกทาง ลดความเสี่ยง
เหมือนเครื่องมืออื่นๆ การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีทั้งจุดเด่นและข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องรู้ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยง
จุดเด่น:
-
ยืดหยุ่น: ใช้ได้กับสินทรัพย์หลายแบบ เช่น หุ้นไทย สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทองคำ หรือคริปโต และปรับตามกรอบเวลาได้ตั้งแต่รายนาทีถึงรายเดือน
-
ช่วยจับจังหวะ: ระบุจุดเข้าและออกจากสัญญาณกราฟและอินดิเคเตอร์ได้อย่างมีเหตุผล
-
ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลาย: ไม่ยึดติดแค่หุ้น แต่ใช้กับตลาดอื่นๆ ได้ดี
ข้อจำกัด:
-
สัญญาณหลอก: ในตลาดผันผวน อินดิเคเตอร์อาจให้สัญญาณผิดพลาด นำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดี
-
เป็นเพียงคาดการณ์: อาศัยข้อมูลเก่า ไม่รับประกันผล ราคาอาจไม่เป็นไปตามคาด
-
ไม่ดูพื้นฐาน: มองข้ามมูลค่าบริษัทหรือเศรษฐกิจใหญ่ อาจพลาดหุ้นดีราคาถูกหรือถือหุ้นแย่ที่กราฟสวย
ดังนั้น ควรใช้เทคนิคอลด้วยความตระหนักในข้อจำกัด และรวมกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบ โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ปัจจัยภายนอกมีผลมาก
เทคนิคอลสำหรับนักลงทุนไทย: ข้อควรระวังและกลยุทธ์เฉพาะ
ถึงแม้การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีประโยชน์ แต่สำหรับมือใหม่ในตลาดหุ้นไทย มีข้อควรระวังและกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด
ข้อผิดพลาดทั่วไปในตลาดไทย:
-
พึ่งพาอินดิเคเตอร์ตัวเดียวมากเกิน: เช่น ซื้อทันทีตอน RSI ต่ำ โดยไม่เช็คแนวโน้มอื่น อาจโดนสัญญาณหลอก
-
ละเลยการจัดการเงินและความเสี่ยง: ไม่ตั้งจุดตัดขาดทุนหรือลงทุนเกินตัว แม้กราฟแม่นแต่ขาดวินัยก็ขาดทุนหนัก
-
ถูกข่าวลือหรืออารมณ์ครอบงำ: ซื้อขายตามกระแสในกลุ่มไลน์ แทนที่จะยึดกราฟ
-
ไม่คำนึงปัจจัยไทย: เช่น ช่วงหยุดยาวสงกรานต์ที่ปริมาณต่ำ หรือการเมืองที่ทำให้ตลาดสั่นคลอน อินดิเคเตอร์อาจไม่เวิร์ค
เคล็ดลับปฏิบัติสำหรับนักลงทุนไทย:
-
ฝึกและทดสอบ: ลองย้อนหลังหรือใช้บัญชีทดลองเพื่อสร้างความชำนาญ
-
รวมกับพื้นฐาน: เลือกหุ้นดีก่อน แล้วใช้เทคนิคอลจับจังหวะ เพื่อผลระยะยาว
-
มีแผนเทรดและวินัย: กำหนดจุดเข้า ออก กำไร และขาดทุนชัดเจน แล้วยึดมั่นไม่เปลี่ยนตามอารมณ์
-
ใช้เครื่องมือจากโบรกเกอร์: เช่น Streaming จากบัวหลวงหรือเกียรตินาคินภัทรา ที่มีกราฟและข้อมูลหุ้นไทยฟรี
การนำเทคนิคอลมาใช้ในตลาดหุ้นไทยต้องอาศัยความรู้ เข้าใจ และประสบการณ์ การพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอจะนำไปสู่ความสำเร็จ
สรุป: เส้นทางสู่การเป็นนักลงทุนเทคนิคอลที่ประสบความสำเร็จ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ช่วยให้อ่านพฤติกรรมตลาด เข้าใจแนวโน้ม และจับจังหวะซื้อขายได้อย่างมีเหตุผล แต่จำไว้ว่า มันเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่รับประกันกำไรเสมอ
หนทางสู่ความสำเร็จต้องเรียนรู้ไม่หยุด ฝึกใช้เครื่องมือให้ชำนาญ และมีวินัยจัดการความเสี่ยงตามแผน การรวมเทคนิคอลกับพื้นฐานจะให้มุมมองครบถ้วน เพิ่มโอกาสผลตอบแทนดีในระยะยาว
ขอให้ทุกท่านนำความรู้เทคนิคอลไปใช้ในตลาดหุ้นไทยอย่างรอบคอบ มีสติ และประสบความสำเร็จ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทคนิคอล (FAQ)
คำถามที่ 1: การวิเคราะห์ทางเทคนิค (เทคนิคอล) คืออะไร และแตกต่างจากการวิเคราะห์พื้นฐานอย่างไร?
การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณซื้อขายในอดีต เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต โดยสมมติว่าทุกข้อมูลล้วนสะท้อนในราคาแล้ว
ส่วน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คือการประเมินมูลค่าจริงของบริษัท จากงบการเงิน อุตสาหกรรม การจัดการ และเศรษฐกิจใหญ่
จุดต่างคือ เทคนิคอลมองที่ราคาและจังหวะ ขณะที่พื้นฐานมองมูลค่าและคุณภาพกิจการ
คำถามที่ 2: นักลงทุนมือใหม่ในไทยควรเริ่มต้นเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคจากจุดไหนดีที่สุด?
เริ่มจากหลักการพื้นฐานสามข้อ แล้วเรียนอ่านกราฟราคา โดยเฉพาะกราฟแท่งเทียน จากนั้นศึกษาอินดิเคเตอร์ยอดนิยมอย่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บรรจบและลู่ออก และดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ พร้อมฝึกจากโปรแกรมโบรกเกอร์ไทยหรือเว็บฟรี
คำถามที่ 3: กราฟราคาแบบไหนที่นิยมใช้มากที่สุดในตลาดหุ้นไทย และมีวิธีอ่านอย่างไร?
กราฟแท่งเทียนเป็นที่นิยมสูงสุดในตลาดหุ้นไทย
วิธีอ่าน: แต่ละแท่งแสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลา
-
แท่งเขียวหรือขาว: ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ราคาขึ้น)
-
แท่งแดงหรือดำ: ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ราคาลง)
-
ไส้เทียน: แสดงช่วงสูงสุดและต่ำสุด
รูปแบบแท่งเดี่ยวหรือกลุ่มบ่งบอกจิตวิทยาและการพลิกแนวโน้ม
คำถามที่ 4: อินดิเคเตอร์ยอดนิยมเช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บรรจบและลู่ออก ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ มีสัญญาณซื้อขายที่แม่นยำแค่ไหน?
อินดิเคเตอร์เหล่านี้มีประโยชน์ แต่ไม่มีตัวไหนแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจเจอสัญญาณหลอกในตลาดผันผวน
ความแม่นยำดีขึ้นเมื่อ
-
รวมหลายตัวเพื่อยืนยัน
-
คู่กับแนวโน้มและรูปแบบกราฟ
-
ใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
-
จัดการความเสี่ยงดี
คำถามที่ 5: การวิเคราะห์ระยะ คืออะไร และช่วยให้นักลงทุนไทยทำกำไรได้อย่างไร?
การวิเคราะห์ระยะคือการแบ่งวงจรหุ้นเป็นสี่ระยะ: สะสม ขาขึ้น กระจาย และขาลง
ช่วยทำกำไรโดย
-
จับหุ้นเข้าขาขึ้นเพื่อซื้อถูก
-
หลีกเลี่ยงขาลง
-
ขายตอนเข้าสู่กระจายเพื่อล็อกกำไร
คำถามที่ 6: การใช้เทคนิคอลเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงหรือไม่ และควรบริหารความเสี่ยงอย่างไรในตลาดหุ้นไทย?
ใช่ มีความเสี่ยงสูงเพราะอาจพลาดพื้นฐานหรือเจอสัญญาณหลอก
บริหารความเสี่ยง:
-
ตั้งจุดตัดขาดทุน: ขายทันทีเมื่อถึงราคาที่กำหนด
-
จัดการขนาดลงทุน: อย่าทุ่มตัวเดียวมาก
-
กระจายพอร์ต: ลงทุนหลายตัวหรือสินทรัพย์
-
รวมพื้นฐาน: เลือกหุ้นดีก่อนจับจังหวะ
คำถามที่ 7: มีโปรแกรมหรือเว็บไซต์ฟรีใดบ้างที่นักลงทุนไทยสามารถใช้ฝึกวิเคราะห์เทคนิคอลได้?
มีหลายตัวที่ใช้ฟรีสำหรับนักลงทุนไทย
-
Streaming: จากโบรกเกอร์อย่างบัวหลวงหรือเกียรตินาคิน (สำหรับลูกค้า)
-
eFinanceThai: มีกราฟและอินดิเคเตอร์ฟรี
-
TradingView: แพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม มีเวอร์ชันฟรีครบเครื่องมือ
-
SETTRADE: เครื่องมือกราฟและข้อมูลหุ้นไทย
คำถามที่ 8: เทคนิคอลสามารถนำไปใช้กับสินทรัพย์อื่นนอกจากหุ้นได้หรือไม่ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือทองคำ?
ได้แน่นอน ใช้ได้กับสินทรัพย์ที่มีราคาและปริมาณซื้อขาย
-
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า: อย่าง SET50 หรือหุ้นเดี่ยว ใช้จับจังหวะแนวโน้ม
-
ทองคำ: วิเคราะห์กราฟทั้งตลาดโลกและในประเทศ
-
สกุลเงินดิจิทัล: ตลาดที่ใช้เทคนิคอลกันมาก
คำถามที่ 9: นักลงทุนไทยมักทำผิดพลาดอะไรบ่อยๆ เมื่อใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค และมีวิธีแก้ไขอย่างไร?
ผิดพลาดคล้ายนักลงทุนทั่วโลก เช่น
-
ซื้อตามข่าวหรืออารมณ์: ไม่ยึดวิเคราะห์
-
ซื้อขายบ่อยเกิน: เสียค่าธรรมเนียมและเหนื่อย
-
ไม่ตั้งตัดขาดทุน: ขาดทุนหนัก
-
ใช้กราฟไม่ตรงเวลา: กราฟสั้นสำหรับลงทุนยาว
แก้ไข: สร้างแผนชัดเจน มีวินัย และเรียนรู้ต่อเนื่อง
คำถามที่ 10: การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะยังคงใช้ได้ผลในอนาคตหรือไม่ เมื่อมี AI และการเทรดอัลกอริทึมเพิ่มขึ้น?
ยังคงมีประโยชน์ เพราะตั้งบนจิตวิทยาตลาดและพฤติกรรมมนุษย์ที่เป็นรากฐานราคา
AI อาจทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างรูปแบบที่วิเคราะห์ได้ นอกจากนี้ เทคนิคอลช่วยนักลงทุนรายย่อยเข้าใจการเคลื่อนไหวจากอัลกอริทึม