Smart Contract คืออะไร? 5 สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับสัญญาอัจฉริยะในยุคดิจิทัล

Table of Contents

Smart Contract คืออะไร? — แนวคิดหลัก

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมอย่าง “Smart Contract” หรือที่เรียกกันว่าสัญญาอัจฉริยะ กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราทำธุรกิจและเชื่อมต่อกันอย่างสิ้นเชิง แล้ว Smart Contract คืออะไรกันแน่? ลองนึกภาพสัญญาที่ทำงานได้ด้วยตัวเองในรูปแบบดิจิทัล โดยไม่ต้องแก้ไขหรือปรับเปลี่ยน และทั้งหมดนี้ถูกเก็บไว้และรันบนระบบบล็อกเชน ซึ่งเป็นโครงข่ายที่ปลอดภัยและกระจายอำนาจ

ภาพประกอบสัญญาดิจิทัลที่ส่องแสงบนเครือข่ายบล็อกเชนพร้อมข้อมูลไหลเวียนรอบข้าง

แนวคิดนี้ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1994 โดย นิค ซาโบ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และนักกฎหมายผู้มีวิสัยทัศน์ เขาเห็นภาพระบบที่ผูกมัดเงื่อนไขสัญญาไว้ในโค้ดโปรแกรม ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติทันทีที่เงื่อนไขตรงตามที่กำหนด โดยไม่ต้องมีตัวกลางมาควบคุมหรือบังคับใช้ คล้ายกับตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่ปล่อยของออกมาเมื่อหยอดเงินพอดี

สิ่งที่ทำให้ Smart Contract โดดเด่นคือการอาศัยบล็อกเชน ซึ่งนำมาซึ่งคุณสมบัติหลักๆ ที่น่าเชื่อถือ เช่น การทำงานแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องแทรกแซงมนุษย์ ความคงตัวที่ไม่สามารถแก้ไขได้หลังจากนำไปใช้ ทำให้ทุกอย่างโปร่งใสและทุกคนตรวจสอบได้ รวมถึงการลดการพึ่งพาตัวกลางอย่างธนาคารหรือทนายความ สร้างระบบที่ไว้วางใจได้โดยไม่ต้องเชื่อใจใครเป็นพิเศษ

Smart Contract ทำงานอย่างไร? บล็อกเชนกับตรรกะอัตโนมัติ

การทำงานของ Smart Contract คล้ายกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตั้งกฎ “ถ้า… แล้วก็…” ไว้ล่วงหน้า และติดตั้งบนเครือข่ายบล็อกเชน พอสัญญาถูกสร้างและนำไปใช้ มันจะรอสัญญาณจากเงื่อนไขที่กำหนด แล้วดำเนินการตามข้อตกลงทันที

ภาพประกอบบุคคลกับตู้ขายสินค้าอนาคตบนพื้นหลังบล็อกเชน แสดงวิสัยทัศน์ของนิค ซาโบ

แพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับสร้างและใช้งาน Smart Contract คือ Ethereum ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการเขียนโปรแกรมสัญญาแบบนี้โดยเฉพาะ นักพัฒนาใช้ภาษาอย่าง Solidity สร้างโค้ด แล้วอัปโหลดไปยังเครือข่าย พอเสร็จสิ้น สัญญาจะมีที่อยู่เฉพาะบนบล็อกเชน พร้อมรับข้อมูลและรันตามตรรกะที่ฝังไว้

กระบวนการหลักๆ สามารถสรุปได้ดังนี้: ก่อนอื่นคือการเขียนโค้ดเพื่อกำหนดเงื่อนไขและผลลัพธ์ จากนั้นนำโค้ดไปติดตั้งบนบล็อกเชนอย่าง Ethereum ทำให้กลายเป็นส่วนถาวร สัญญาจะเฝ้าดูข้อมูลจากภายนอกผ่านระบบ Oracle หรือเหตุการณ์บนเครือข่ายที่ตรงเงื่อนไข พอทุกอย่างพร้อม มันจะทำงานอัตโนมัติ เช่น โอนเงิน สร้างโทเคน หรือบันทึกข้อมูล โดยไม่ต้องมีใครยุ่ง และผลลัพธ์ถูกเก็บไว้อย่างถาวรบนบล็อกเชน

นอกจากนี้ Smart Contract ยังเป็นฐานรากของ dApps หรือแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ ที่ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง สร้างระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ง่าย สิ่งนี้ช่วยขยายโอกาสให้เกิดแอปพลิเคชันหลากหลายในโลกดิจิทัล

5 ข้อได้เปรียบของ Smart Contract: ทำไมถึงสำคัญ?

Smart Contract กำลังปฏิวัติวงการสัญญาและข้อตกลง ด้วยข้อดีที่ชัดเจนและมีพลังในการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

ภาพประกอบไอคอนสี่ตัวแทนคุณสมบัติอัตโนมัติ คงตัว โปร่งใส และไร้ตัวกลางของ Smart Contract
  1. ประสิทธิภาพสูง: ทุกอย่างทำงานอัตโนมัติและรวดเร็ว ไม่ต้องรอตรวจเอกสารหรืออนุมัติจากตัวกลาง ประหยัดเวลาและทรัพยากรไปได้มาก โดยเฉพาะในกระบวนการที่ซับซ้อน
  2. ความปลอดภัยยอดเยี่ยม: ด้วยการเข้ารหัสที่แข็งแกร่งและการกระจายข้อมูลบนบล็อกเชน ข้อมูลในสัญญาจะปลอดภัยจากโจรกรรมหรือการแก้ไขผิดกฎหมาย ลดโอกาสฉ้อโกงลงอย่างเห็นได้ชัด
  3. ความโปร่งใสเต็มรูปแบบ: เงื่อนไขและบันทึกการทำงานทั้งหมดถูกเก็บบนบล็อกเชนแบบเปิดเผย ไม่สามารถแก้ไขได้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้ง่าย สร้างความไว้วางใจโดยไม่ต้องพึ่งบุคคลใด
  4. ประหยัดค่าใช้จ่าย: เมื่อตัดตัวกลางอย่างทนายหรือธนาคารออกไป ค่าใช้จ่ายในกระบวนการสัญญาลดลงอย่างมาก เหลือเพียงค่าธรรมเนียมเครือข่ายที่ต่ำ
  5. คงตัวและน่าเชื่อถือ: พอสัญญาถูกนำไปใช้บนบล็อกเชน ก็ไม่สามารถแก้หรือลบได้ ข้อตกลงที่ตกลงกันไว้จะยืนยงและทำงานตามแผนเสมอ

ข้อดีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ Smart Contract มีประโยชน์ในปัจจุบัน แต่ยังเปิดประตูสู่การใช้งานที่กว้างขวางยิ่งขึ้นในอนาคต

ความท้าทายและความเสี่ยงของ Smart Contract: ข้อจำกัดที่ควรรู้

ถึงแม้ Smart Contract จะมีจุดเด่นมากมาย แต่ก็ยังมีอุปสรรคและความเสี่ยงที่ผู้ใช้และนักพัฒนาต้องตระหนัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

  • บั๊กในโค้ด: ถ้าโค้ดมีข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่ อาจทำให้สูญเสียสินทรัพย์หรือทำงานผิดปกติ และเนื่องจากแก้ไขไม่ได้หลังนำไปใช้ ผลกระทบอาจรุนแรงและถาวร เช่น กรณี DAO Hack ในปี 2016 ที่ทำให้สูญเสีย Ethereum มหาศาล
  • ไม่สามารถย้อนกลับ: เมื่อสัญญาทำงานแล้ว ธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถาวร ซึ่งเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ถ้ามีความผิดพลาดหรือถูกใช้ในทางมิชอบ การแก้ไขหรือยกเลิกแทบเป็นไปไม่ได้
  • ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย: กฎระเบียบเกี่ยวกับ Smart Contract ยังไม่ชัดเจนและแตกต่างกันในแต่ละประเทศ รวมถึงไทย ความถูกต้องในศาลและการบังคับใช้ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม
  • ปัญหาการขยายตัว: บางเครือข่ายบล็อกเชนอย่าง Ethereum ในช่วงแรกๆ อาจรับมือธุรกรรมจำนวนมากไม่ได้ ทำให้ล่าช้าและค่าธรรมเนียมพุ่งสูงตอนใช้งานหนัก
  • การพึ่งพา Oracle: สัญญามักต้องการข้อมูลจากภายนอก เช่น ราคาตลาดหรือสภาพอากาศ ซึ่งมาจาก Oracle ถ้าข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่น่าเชื่อถือ สัญญาอาจทำงานพลาดได้

การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้ช่วยให้เราออกแบบและใช้งาน Smart Contract ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการตรวจสอบโค้ดและเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม

กรณีการใช้งาน Smart Contract และการสังเกตการณ์ในไทย

Smart Contract กำลังเปิดโอกาสใหม่ในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และในไทยก็เริ่มมีบทบาทชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

  • DeFi หรือการเงินกระจายศูนย์: เป็นแกนกลางของระบบที่ให้คนกู้ยืม แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือรับดอกเบี้ยโดยไม่ต้องผ่านธนาคาร เช่น แพลตฟอร์ม Aave และ Compound ที่ใช้ Smart Contract จัดการเงินกู้
  • NFTs หรือโทเคนไม่ซ้ำใคร: ช่วยสร้างและจัดการสิทธิ์ในสินทรัพย์ดิจิทัลเฉพาะตัว เช่น งานศิลปะ ของสะสม หรือที่ดินในโลกเสมือน
  • การจัดการห่วงโซ่อุปทาน: ติดตามสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง เพิ่มความโปร่งใส ลดการปลอมแปลง และเสริมความน่าเชื่อถือ
  • ระบบลงคะแนน: สร้างการโหวตที่โปร่งใส ปลอดภัย และแก้ไขไม่ได้ เพิ่มความมั่นใจในผลลัพธ์

ในประเทศไทย: ไทยกำลังให้ความสำคัญกับบล็อกเชนและ Smart Contract โดยเฉพาะในภาคการเงินและธุรกิจ

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT): ได้ทดลองใช้บล็อกเชนในระบบชำระเงินระหว่างธนาคารผ่าน Project Inthanon และพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลจากธนาคารกลาง (CBDC) ซึ่งอาจรวม Smart Contract ในการกำหนดเงื่อนไข
  • แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล: อย่างBitkub ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนที่ได้รับอนุญาต ช่วยเผยแพร่ความรู้และเข้าถึงสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ Smart Contract เช่น การสร้างโทเคน
  • ภาคธุรกิจ: บริษัทใหญ่ๆ เริ่มสำรวจการใช้ Smart Contract เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น จัดการสัญญาคู่ค้า ติดตามสินค้า หรือสร้างเอกสารดิจิทัล แม้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงมีมาก โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาต่อเนื่อง

Smart Contract กับสัญญาแบบดั้งเดิม: ความแตกต่างโดยสิ้นเชิง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองเปรียบเทียบ Smart Contract กับสัญญาธรรมดาที่ใช้กระดาษและลายเซ็น จะช่วยทำความเข้าใจความแตกต่างได้ดี

คุณสมบัติ สัญญาแบบดั้งเดิม Smart Contract
รูปแบบ เอกสารกระดาษหรือไฟล์ดิจิทัล (PDF) โค้ดคอมพิวเตอร์บนบล็อกเชน
การดำเนินการ ต้องใช้ตัวกลาง (ทนาย, ธนาคาร) หรือกฎหมายบังคับ อัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขตรง
ความน่าเชื่อถือ พึ่งพาความเชื่อใจบุคคลหรือสถาบันและกฎหมาย พึ่งโค้ดและบล็อกเชน (ไร้ตัวกลาง)
ต้นทุน สูง (ค่าทนาย, ค่าธรรมเนียม) ต่ำ (ค่าธรรมเนียมเครือข่าย)
ความเร็ว ช้า ต้องรอตรวจสอบและอนุมัติ รวดเร็ว เกือบจะทันที
การแก้ไข แก้ได้ถ้าทุกฝ่ายยินยอม แก้ไม่ได้หลังนำไปใช้ (คงตัว)
ความโปร่งใส ส่วนตัว ตรวจเฉพาะผู้เกี่ยวข้อง โปร่งใส ตรวจได้ทุกคนบนบล็อกเชน
การระงับข้อพิพาท ผ่านกฎหมายและศาล ยากถ้าโค้ดผิด ต้องออกแบบดีตั้งแต่แรก

จุดต่างหลักคือ Smart Contract แก้ pain point อย่างความขัดแย้งในการบังคับใช้และต้นทุนความไว้วางใจในสัญญาเก่า ด้วยการทำงานอัตโนมัติและโปร่งใส มันลดการพึ่งตัวกลางและเพิ่มความมั่นใจในผลลัพธ์ โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกรรมดิจิทัลเพิ่มขึ้น

AI Smart Contract คืออะไร? อนาคตของสัญญาอัจฉริยะ

เมื่อ AI พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แนวคิด AI Smart Contract ก็เริ่มปรากฏ ซึ่งคือการรวม AI เข้ากับ Smart Contract เพื่อยกระดับความสามารถและเปิดโอกาสใหม่

ไม่ใช่แค่ให้ AI เขียนสัญญา แต่เป็นการใช้ AI เสริมจุดแข็ง เช่น

  • วิเคราะห์และตัดสินใจฉลาด: AI ช่วยประมวลข้อมูลมหาศาล เพื่อให้สัญญาตัดสินใจแม่นยำ เช่น ประเมินความเสี่ยงใน DeFi
  • คาดการณ์และปรับเงื่อนไข: ใช้ machine learning พยากรณ์เหตุการณ์ แล้วปรับสัญญาอัตโนมัติ เหมาะกับประกันภัยหรือซัพพลายเชนที่ซับซ้อน
  • เสริม Oracle: AI ช่วยยืนยันข้อมูลจากภายนอกให้เชื่อถือได้ เช่น ในChainlink เครือข่าย Oracle กระจายที่เชื่อมสัญญากับโลกจริง โดย AI ตรวจสอบแหล่งข้อมูลก่อนส่ง
  • สัญญาที่ปรับตัว: Smart Contract กับ AI สามารถเรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมตามสถานการณ์ ทำให้ยืดหยุ่นและตอบสนองดีขึ้น

ในไทยที่มุ่งสู่ดิจิทัล การรวม AI กับ Smart Contract มีพลังมหาศาลในธุรกิจการเงิน โลจิสติกส์ และเกษตร แต่ยังต้องแก้ท้าทายด้านเทคนิค จริยธรรม และกฎหมาย เพื่อนำไปใช้จริง

สรุป: ศักยภาพของ Smart Contract และความหมายต่อประเทศไทย

Smart Contract คือหัวใจของบล็อกเชนสมัยใหม่ กำลังนำพาเราไปสู่โลกดิจิทัลที่อัตโนมัติ กระจายอำนาจ และโปร่งใส ด้วยการทำงานตามข้อตกลงโดยไม่ต้องแทรกแซง มันมีศักยภาพเปลี่ยนการทำธุรกรรม การจัดการ และการสร้างความไว้วางใจ

สำหรับไทย มันไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ในภาคการเงิน เพิ่มโปร่งใสในซัพพลายเชน หรือเปิดช่องทางใหม่ใน DeFi และ NFT แม้มีอุปสรรคเรื่องกฎหมายและเทคนิค แต่การเตรียมพร้อมจะช่วยสร้างข้อได้เปรียบและนำนวัตกรรมสู่เศรษฐกิจ Web3

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

Smart Contract คืออะไร และแตกต่างจากสัญญาแบบดั้งเดิมอย่างไร?

Smart Contract คือสัญญาดิจิทัลที่ทำงานบนบล็อกเชน ดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ และไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง

แตกต่างจากสัญญาแบบดั้งเดิมตรงที่สัญญาแบบดั้งเดิมเป็นเอกสารที่ต้องอาศัยการบังคับใช้จากคนกลางหรือระบบกฎหมาย ในขณะที่ Smart Contract ถูกบังคับใช้ด้วยโค้ดคอมพิวเตอร์บนบล็อกเชน ทำให้มีความโปร่งใส, ปลอดภัย, และมีประสิทธิภาพสูงกว่า

Smart Contract ทำงานบน Blockchain อย่างไร และจำเป็นต้องมี Ethereum หรือไม่?

Smart Contract ทำงานบนบล็อกเชนโดยการเป็นโค้ดโปรแกรมที่ถูกจัดเก็บและดำเนินการบนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ เมื่อเงื่อนไขที่ระบุในโค้ดเป็นจริง การดำเนินการที่ตกลงไว้ก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและบันทึกในบล็อกเชนอย่างถาวร

Ethereum เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการสร้าง Smart Contract แต่ก็ไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียว ยังมีบล็อกเชนอื่นๆ ที่รองรับ Smart Contract เช่น Binance Smart Chain (BNB Chain), Solana, Cardano เป็นต้น

ตัวอย่างการใช้งาน Smart Contract ในชีวิตประจำวันและในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?

ในชีวิตประจำวัน:

  • DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์): การกู้ยืม, การให้ยืม, การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
  • NFTs (โทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้): การเป็นเจ้าของงานศิลปะดิจิทัล, ของสะสม, หรือไอเท็มในเกม
  • การจัดการห่วงโซ่อุปทาน: การติดตามสินค้าเพื่อยืนยันแหล่งที่มาและความถูกต้อง

ในประเทศไทย:

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT): ศึกษาและทดลองใช้บล็อกเชนในระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารและพัฒนา CBDC
  • แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล: บริษัทอย่าง Bitkub มีส่วนในการออกโทเคนและจัดการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Smart Contract

การเขียน Smart Contract มีภาษาอะไรบ้าง และใครสามารถสร้างได้?

ภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้ในการเขียน Smart Contract ได้แก่:

  • Solidity: ใช้สำหรับ Ethereum และบล็อกเชนที่รองรับ EVM (Ethereum Virtual Machine)
  • Vyper: เป็นอีกภาษาหนึ่งสำหรับ Ethereum ที่เน้นความปลอดภัยและความเรียบง่าย
  • Rust: ใช้สำหรับบล็อกเชนอย่าง Solana และ Polkadot
  • Go: ใช้สำหรับ Hyperledger Fabric

ใครก็ตามที่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมและเข้าใจหลักการของบล็อกเชนสามารถสร้าง Smart Contract ได้ แต่การเขียนโค้ดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง

Smart Contract มีความเสี่ยงหรือข้อจำกัดอะไรบ้างที่ผู้ใช้งานควรรู้?

ผู้ใช้งานควรรู้ถึงความเสี่ยงและข้อจำกัดดังนี้:

  • ข้อผิดพลาดในโค้ด (Bugs): หากมีข้อผิดพลาด สัญญาอาจทำงานไม่ถูกต้องและนำไปสู่การสูญเสียสินทรัพย์ได้
  • การย้อนกลับไม่ได้: เมื่อสัญญาทำงานแล้ว การแก้ไขหรือยกเลิกธุรกรรมที่ผิดพลาดทำได้ยากมาก
  • ความคลุมเครือทางกฎหมาย: กฎหมายเกี่ยวกับ Smart Contract ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
  • การพึ่งพา Oracle: หากข้อมูลจากแหล่งภายนอก (Oracle) ไม่ถูกต้องหรือไม่น่าเชื่อถือ อาจทำให้สัญญาทำงานผิดพลาด

กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับ Smart Contract ในประเทศไทยมีแนวโน้มอย่างไร?

ในประเทศไทย กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับ Smart Contract ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและกำลังพัฒนา หน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) กำลังศึกษาและกำหนดแนวทางสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน

แนวโน้มคือจะมีการออกกฎระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อคุ้มครองนักลงทุนและสร้างความมั่นคงให้กับระบบ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในการปรับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของ Smart Contract

AI Smart Contract คืออะไร และจะเข้ามาเปลี่ยนโลกของสัญญาได้อย่างไร?

AI Smart Contract คือแนวคิดของการผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับ Smart Contract เพื่อเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล, การตัดสินใจ, และการคาดการณ์เหตุการณ์

AI จะเข้ามาเปลี่ยนโลกของสัญญาโดยทำให้ Smart Contract มีความชาญฉลาดและยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถปรับเงื่อนไขได้เองตามสถานการณ์, ประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น, และใช้ข้อมูลจากโลกภายนอกได้อย่างน่าเชื่อถือมากขึ้นผ่านการตรวจสอบของ AI ทำให้สัญญาอัจฉริยะสามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดีขึ้น

หากเกิดข้อผิดพลาดใน Smart Contract สามารถแก้ไขหรือยกเลิกได้หรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อ Smart Contract ถูกปรับใช้บนบล็อกเชนแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขหรือยกเลิกได้ (Immutable) นี่คือคุณสมบัติหลักที่สร้างความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาสามารถออกแบบสัญญาให้มีฟังก์ชันที่อนุญาตให้ “อัปเกรด” หรือ “หยุดชั่วคราว” ได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่การออกแบบดังกล่าวต้องทำตั้งแต่เริ่มต้นและอาจทำให้เสียคุณสมบัติการกระจายศูนย์ไปบ้าง การแก้ไขธุรกรรมที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วนั้นทำได้ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

แพลตฟอร์มหรือบริการใดในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับ Smart Contract บ้าง?

ในประเทศไทย มีหลายแพลตฟอร์มและบริการที่เกี่ยวข้องกับ Smart Contract:

  • Bitkub: ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อนุญาตให้ผู้ใช้ซื้อขายโทเคนและเหรียญคริปโต ซึ่งหลายตัวสร้างขึ้นด้วย Smart Contract
  • SCB X (ธนาคารไทยพาณิชย์): มีการลงทุนและสำรวจเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านบริษัทย่อย เพื่อพัฒนาบริการทางการเงินในอนาคต
  • Zipmex (ในอดีต) และ Satang Pro: เป็นอีกสองศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีการซื้อขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ Smart Contract
  • บริษัทที่ปรึกษาและผู้พัฒนาบล็อกเชนในไทย: หลายบริษัทกำลังพัฒนาโซลูชันบล็อกเชนและ Smart Contract ให้กับภาคธุรกิจต่างๆ

อนาคตของ Smart Contract ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น DeFi, NFT จะเป็นอย่างไร?

อนาคตของ Smart Contract ในอุตสาหกรรมต่างๆ คาดว่าจะเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง:

  • DeFi: จะยังคงขยายตัวและนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมี Smart Contract เป็นแกนหลัก
  • NFT: จะมีการนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในงานศิลปะ แต่รวมถึงการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์, ลิขสิทธิ์เพลง, ตั๋วคอนเสิร์ต, หรือแม้แต่การเป็นตัวตนดิจิทัล
  • GameFi (Gaming Finance) และ Metaverse: Smart Contract จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจในโลกเสมือนจริง, การจัดการสินทรัพย์ในเกม, และการสร้างประสบการณ์แบบกระจายศูนย์
  • ภาคธุรกิจและภาครัฐ: จะมีการนำ Smart Contract ไปใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ, การจัดการเอกสาร, และบริการสาธารณะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส

การพัฒนาเหล่านี้จะขับเคลื่อนโดยการปรับปรุงด้านความสามารถในการปรับขนาดของบล็อกเชน, การลดค่าธรรมเนียม, และการสร้างความชัดเจนด้านกฎหมายและข้อบังคับ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *