## บทนำ: วอร์เรน บัฟเฟตต์ – ปรมาจารย์แห่งการลงทุน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยแนวคิดการลงทุนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาสร้างอาณาจักรทางการเงินผ่านบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารพอร์ตการลงทุน การเดินทางของเขายืนยันถึงประสิทธิภาพของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า การถือครองหุ้นในระยะยาว และการทำความเข้าใจธุรกิจอย่างถ่องแท้ การสำรวจพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์ไม่เพียงเผยให้เห็นหุ้นที่น่าจับตามอง แต่ยังช่วยให้เราเห็นภาพหลักการที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จอันน่าทึ่ง บทความนี้จะวิเคราะห์พอร์ตการลงทุนล่าสุดของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ หลักการลงทุนอมตะของบัฟเฟตต์ และบทเรียนที่นักลงทุนไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

## เจาะลึกพอร์ตการลงทุนล่าสุดของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ (ปี 2567/2024)
พอร์ตการลงทุนของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตลาด โดยอ้างอิงจากรายงาน 13F ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ทุกไตรมาส ซึ่งสะท้อนมุมมองของวอร์เรน บัฟเฟตต์และทีมงานต่อเศรษฐกิจโลก ในปี 2567 หุ้นหลักหลายตัวยังคงเป็นแกนกลางของพอร์ต ขณะที่บางส่วนมีการเพิ่มหรือลดสัดส่วนเพื่อปรับสมดุล

### หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี: Apple (AAPL)
Apple (AAPL) ยังคงเป็นหุ้นหลักที่ใหญ่ที่สุดในพอร์ตของบัฟเฟตต์ แม้จะมีการลดสัดส่วนลงบ้างในบางช่วง แต่เขายังคงศรัทธาในความแข็งแกร่งของแบรนด์ ระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น และฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น ซึ่งสร้างกำแพงป้องกันที่แข็งแกร่งจากคู่แข่ง ความสามารถในการสร้างกำไรสม่ำเสมอและกระแสเงินสดที่มั่นคง ทำให้ Apple เป็นตัวอย่างชัดเจนของบริษัทคุณภาพที่บัฟเฟตต์ชื่นชอบ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน
### หุ้นกลุ่มการเงิน: Bank of America (BAC), American Express (AXP)
ภาคการเงินเป็นเสาหลักอีกด้านหนึ่งของพอร์ตเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ โดยมี Bank of America (BAC) และ American Express (AXP) เป็นตัวเด่น บัฟเฟตต์ชื่นชอบธุรกิจธนาคารและบริการการเงินที่มีความมั่นคง ฐานลูกค้ากว้างขวาง และโครงสร้างธุรกิจที่เข้าใจง่าย Bank of America เป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ที่มีเครือข่ายกว้างและการเติบโตของสินเชื่อที่น่าจับตา ขณะที่ American Express โดดเด่นในตลาดบัตรเครดิตและบริการพรีเมียม ด้วยแบรนด์ที่ทรงพลังและความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ซึ่งช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
### หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค: Coca-Cola (KO)
Coca-Cola (KO) เป็นเคสศึกษาคลาสสิกที่สะท้อนปรัชญาการลงทุนของบัฟเฟตต์ เขาถือหุ้นตัวนี้มานานหลายสิบปี ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในพลังของแบรนด์ระดับโลก เครือข่ายการกระจายสินค้าทั่วโลกรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคต้องการอย่างไม่ขาดสาย นี่คือตัวอย่างของกำแพงป้องกันที่เกิดจากแบรนด์แข็งแกร่งและส่วนแบ่งตลาดที่เหนือกว่า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการปรับตัวของบริษัทในการรับมือกับเทรนด์สุขภาพสมัยใหม่
### หุ้นกลุ่มพลังงาน: Chevron (CVX), Occidental Petroleum (OXY)
ช่วงหลายปีมานี้ บัฟเฟตต์เพิ่มน้ำหนักลงทุนในกลุ่มพลังงานอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ Chevron (CVX) และ Occidental Petroleum (OXY) การเคลื่อนไหวนี้อาจสะท้อนมุมมองของเขาต่อบทบาทสำคัญของพลังงานในเศรษฐกิจโลก รวมถึงคุณสมบัติของบริษัทเหล่านี้ที่มีสินทรัพย์แข็งแกร่งและตำแหน่งตลาดที่ได้เปรียบ ซึ่งช่วยให้สร้างกำไรได้แม้ในตลาดที่ผันผวน การเพิ่มสัดส่วนในภาคนี้ยังบ่งชี้ถึงการมองหามูลค่าจริงในอุตสาหกรรมพลังงานสำหรับอนาคตระยะยาว โดยเฉพาะท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน
### หุ้นอื่นๆ ที่น่าสนใจและการเปลี่ยนแปลงล่าสุด
นอกจากหุ้นหลักที่กล่าวมา พอร์ตของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ยังรวมถึงหุ้นอื่นๆ เช่น Kraft Heinz (KHC), Moody’s (MCO) และ Occidental Petroleum ซึ่งบัฟเฟตต์เพิ่มสัดส่วนอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสล่าสุด มีการปรับลดบางตัวหรือเพิ่มหุ้นใหม่ที่ทีมงานมองว่ามีศักยภาพ เช่น การลดสัดส่วน Apple เล็กน้อยในช่วงต้นปี 2567 อาจเพื่อปรับสมดุลพอร์ตหรือล็อกกำไรหลังราคาหุ้นพุ่งสูง สามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมจากรายงาน 13F ล่าสุดของ Berkshire Hathaway เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจริง

## หลักการลงทุนอมตะของวอร์เรน บัฟเฟตต์: ทำไมเขาถึงเลือกหุ้นเหล่านี้?
ความสำเร็จของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ได้เกิดจากการเลือกหุ้นถูกตัวบ้างเป็นครั้งคราว แต่มาจากหลักการลงทุนที่มั่นคงและสอดประสานกันตลอดหลายทศวรรษ หลักการเหล่านี้คือรากฐานที่อธิบายว่าทำไมเขาถึงเลือกหุ้นเหล่านี้
### การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing)
แกนกลางของแนวทางบัฟเฟตต์คือการลงทุนเน้นคุณค่า เขาให้ความสำคัญกับการซื้อหุ้นของธุรกิจดีเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผล มากกว่าเลือกธุรกิจธรรมดาในราคาถูกเกินไป บัฟเฟตต์จะวิเคราะห์บริษัทอย่างละเอียดเพื่อคำนวณมูลค่าที่แท้จริง แล้วซื้อเมื่อราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่านั้นอย่างชัดเจน แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์ของเขา เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป
### แนวคิดเรื่อง “คูเมือง” (Moat)
แนวคิด “คูเมือง” เป็นหนึ่งในหลักการที่โด่งดังที่สุดของบัฟเฟตต์ ซึ่งหมายถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน ช่วยปกป้องกำไรและส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง คูเมืองอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความแข็งแกร่งของแบรนด์อย่าง Coca-Cola ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก สิทธิบัตรหรือเทคโนโลยีเฉพาะตัวอย่าง Apple ที่สร้างระบบนิเวศของตัวเอง ต้นทุนการเปลี่ยนผู้ให้บริการที่สูง ลูกค้าต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือเวลามากหากเปลี่ยนไปใช้คู่แข่ง ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนในการผลิต หรือขนาดและเครือข่ายที่กว้างขวางอย่างธนาคารใหญ่ๆ การมองหาคูเมืองช่วยให้บัฟเฟตต์เลือกบริษัทที่เติบโตได้ยั่งยืน
### การลงทุนระยะยาว (Long-Term Investing)
บัฟเฟตต์มีชื่อเสียงในฐานะนักลงทุนระยะยาว เขาไม่ใส่ใจกับความผันผวนระยะสั้น แต่เลือกถือหุ้นบริษัทดีๆ ไว้หลายปีหรือหลายสิบปี เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาขยายตัวและสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น แนวทางนี้สอดคล้องกับพลังของการทบต้นผลตอบแทน ซึ่งจะยิ่งทวีคูณเมื่อเวลาผ่านไปนาน โดยเฉพาะในตลาดที่เต็มไปด้วยข่าวลือและความไม่แน่นอน
### ความสำคัญของ “ความปลอดภัย” (Margin of Safety)
หลักการความปลอดภัยคือสิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดมั่นเสมอในการซื้อหุ้น โดยซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก เพื่อเป็นกันชนจากความผิดพลาดในการประเมินหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การมีส่วนเผื่อความปลอดภัยนี้ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมและเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว ทำให้การลงทุนของเขามีความยั่งยืนมากขึ้น
## ถอดบทเรียนจากบัฟเฟตต์: นักลงทุนไทยควรเรียนรู้อะไร?
ปรัชญาของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ได้จำกัดแค่ตลาดสหรัฐ แต่สามารถนำมาปรับใช้กับตลาดหุ้นไทยและสถานการณ์ของนักลงทุนไทยได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะในบริบทเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
### การประยุกต์ใช้หลักการ “คูเมือง” กับบริษัทไทย
นักลงทุนไทยสามารถค้นหาบริษัทที่มีคูเมืองในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น CPALL ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ด้วยเครือข่ายสาขาทั่วประเทศและแบรนด์ที่คนรู้จักดี PTT บริษัทพลังงานหลักของชาติที่มีโครงสร้างพื้นฐานกว้างขวางและบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ AOT ผู้บริหารสนามบินหลักซึ่งมีลักษณะผูกขาดตามธรรมชาติ และ ADVANC ผู้นำโทรคมนาคมที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และแบรนด์แข็งแกร่ง การวิเคราะห์คูเมืองของบริษัทไทยเหล่านี้จะช่วยให้เลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตยาวนาน โดยพิจารณาถึงปัจจัยอย่างการแข่งขันในประเทศและการขยายตัวสู่ภูมิภาค
### การลงทุนในหุ้นต่างประเทศจากประเทศไทย: ข้อพิจารณาและช่องทาง
สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากลงทุนในหุ้นที่บัฟเฟตต์ถือ มีทางเลือกหลายอย่างให้พิจารณา ประการแรก ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ไทย เช่น บล.บัวหลวง (Bualuang Securities), บล.ไทยพาณิชย์ (SCB Securities), บล.เคเคพี (Kiatnakin Phatra Securities) ซึ่งเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง ประการที่สอง ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) โดยเฉพาะกองที่เน้นหุ้นสหรัฐหรือดัชนี S&P 500 ซึ่งรวมหุ้นใหญ่ที่บัฟเฟตต์ลงทุน ประการที่สาม เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศสำหรับผู้มีประสบการณ์สูง อย่างไรก็ตาม ต้องระวังเรื่อง ความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน ภาษี เช่น ภาษีเงินปันผลหรือกำไรจากการขาย และกฎระเบียบต่างประเทศ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
### ระวังข้อผิดพลาด: การเลียนแบบพอร์ตโดยไม่เข้าใจแก่นแท้
ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยคือการคัดลอกพอร์ตของบัฟเฟตต์โดยไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง บัฟเฟตต์ย้ำเสมอว่าการลงทุนต้องมาจากการวิเคราะห์ด้วยตัวเองและความรู้ในธุรกิจ การซื้อหุ้นแค่เพราะเขาซื้ออาจไม่สำเร็จ เพราะเราอาจไม่รู้เหตุผล ไม่ได้ซื้อในราคาที่ดี หรือมีเป้าหมายต่างกัน สิ่งที่ควรทำคือศึกษาหลักการของเขา แล้วนำไปปรับใช้ในการตัดสินใจลงทุนส่วนตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของเรา
## สรุป: การลงทุนที่ยั่งยืนในแบบฉบับบัฟเฟตต์
วอร์เรน บัฟเฟตต์พิสูจน์ว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือพึ่งพาการทำนายตลาด แต่เน้นการเข้าใจธุรกิจ ประเมินมูลค่าจริง และความอดทน การถือหุ้นบริษัทที่มีคูเมืองแข็งแกร่งในระยะยาว ด้วยหลักการเน้นคุณค่าและส่วนเผื่อความปลอดภัย คือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ทำให้เขาเป็น “เทพเจ้าแห่งโอมาฮา” นักลงทุนไทยสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาสร้างพอร์ตที่มั่นคงและเติบโตได้ โดยเริ่มจากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง คิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง และรักษาวินัยในการลงทุนเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือหุ้นอะไรบ้างในปี 2567 และมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?
ในปี 2567 หุ้นหลักที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ (ผ่านเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์) ถือครอง ได้แก่ Apple (AAPL), Bank of America (BAC), American Express (AXP), Coca-Cola (KO), Chevron (CVX) และ Occidental Petroleum (OXY) โดย Apple ยังคงเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนสูงสุด แม้มีการปรับลดสัดส่วนลงเล็กน้อยในบางไตรมาส ซึ่งเป็นไปตามการปรับพอร์ตเพื่อสร้างสมดุลและทำกำไร
นักลงทุนไทยจะสามารถซื้อหุ้นที่บัฟเฟตต์ถืออยู่ได้อย่างไร?
นักลงทุนไทยสามารถซื้อหุ้นต่างประเทศได้หลายวิธี:
- เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทย เช่น บล.บัวหลวง, บล.ไทยพาณิชย์ หรือบล.เคเคพี
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่เน้นหุ้นสหรัฐฯ หรือดัชนี S&P 500
- เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศโดยตรง (สำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ)
อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ภาษี และกฎระเบียบต่างๆ อย่างละเอียด
หลักการ “การลงทุนเน้นคุณค่า” ของบัฟเฟตต์คืออะไร และนักลงทุนไทยนำไปปรับใช้กับตลาดหุ้นไทยได้อย่างไร?
การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) คือการซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนไทยสามารถนำหลักการนี้มาปรับใช้ได้โดย:
- ศึกษาและทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนไทยอย่างลึกซึ้ง
- ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทโดยใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ
- รอซื้อหุ้นเมื่อราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้ เพื่อให้มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety)
หุ้นที่บัฟเฟตต์ขายออกไปล่าสุดมีตัวไหนบ้าง และทำไมเขาถึงขาย?
การเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์จะถูกเปิดเผยในรายงาน 13F ซึ่งจะมีการปรับลดหรือขายหุ้นบางตัวออกไปเป็นปกติ เช่น มีการปรับลดสัดส่วนใน Apple ลงเล็กน้อยในช่วงต้นปี 2567 เหตุผลในการขายอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากจนไม่เหลือส่วนเผื่อความปลอดภัย, มีโอกาสลงทุนที่ดีกว่าในหุ้นตัวอื่น, หรือมุมมองต่ออุตสาหกรรมหรือบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไป
บริษัท Berkshire Hathaway ของบัฟเฟตต์ ทำธุรกิจอะไรบ้าง นอกจากการลงทุนในหุ้น?
นอกจากจะเป็นบริษัทที่ลงทุนในหุ้นจดทะเบียนแล้ว Berkshire Hathaway ยังเป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลายประเภทโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน ตัวอย่างเช่น บริษัทประกันภัย (Geico), บริษัทรถไฟ (BNSF Railway), บริษัทผลิตพลังงาน (Berkshire Hathaway Energy), บริษัทค้าปลีก (Dairy Queen, See’s Candies), และบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ
ถ้าต้องการลงทุนตามแนวคิดบัฟเฟตต์ ควรเริ่มต้นอย่างไรในประเทศไทย?
การเริ่มต้นลงทุนตามแนวคิดบัฟเฟตต์ในประเทศไทย ควรเริ่มจาก:
- ศึกษาหลักการลงทุนเน้นคุณค่าอย่างลึกซึ้ง
- เรียนรู้การวิเคราะห์งบการเงินและประเมินมูลค่าธุรกิจ
- ทำความเข้าใจในธุรกิจที่คุณต้องการลงทุน
- มองหาบริษัทไทยที่มี “คูเมือง” หรือความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน
- ลงทุนในระยะยาวและอดทนต่อความผันผวน
- เริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่คุณพร้อมจะเสียไป เพื่อเรียนรู้และสร้างประสบการณ์
บัฟเฟตต์เคยแนะนำการลงทุนสำหรับคนทั่วไป หรือพอร์ต 90/10 คืออะไร?
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยแนะนำพอร์ตการลงทุนแบบง่ายๆ สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้นรายตัว โดยเรียกว่า “พอร์ต 90/10” ซึ่งประกอบด้วย:
- 90% ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี S&P 500: เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามตลาดในระยะยาว
- 10% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น: เพื่อความมั่นคงและสภาพคล่อง
หลักการนี้เน้นความเรียบง่าย การกระจายความเสี่ยง และการเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
การลงทุนแบบ “คูเมือง” (Moat) คืออะไร และมีบริษัทไทยใดบ้างที่เข้าข่าย?
“คูเมือง” (Economic Moat) คือความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนของบริษัท ซึ่งช่วยปกป้องผลกำไรจากคู่แข่ง ตัวอย่างบริษัทไทยที่อาจเข้าข่ายมีคูเมือง ได้แก่:
- CPALL: ด้วยเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่ครอบคลุมและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
- AOT: ผู้ผูกขาดการบริหารสนามบินหลักของประเทศ
- ADVANC: ผู้นำในตลาดโทรคมนาคมที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและฐานลูกค้าขนาดใหญ่
- PTT: บริษัทพลังงานแห่งชาติที่มีโครงสร้างพื้นฐานและบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์คูเมืองต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงแหล่งที่มาและความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้นๆ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีแนวคิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงอย่างไร?
บัฟเฟตต์มีแนวคิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงที่แตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป เขาเชื่อในการ “กระจุกตัว” ในหุ้นไม่กี่ตัวที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งและเชื่อมั่นในคุณภาพของธุรกิจอย่างแท้จริง มากกว่าการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นจำนวนมากที่ตนเองไม่เข้าใจดีพอ เขามองว่าการกระจายความเสี่ยงมากเกินไปอาจทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลง และทำให้ไม่สามารถติดตามผลประกอบการของแต่ละบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไป เขาแนะนำให้กระจายความเสี่ยงผ่านกองทุนดัชนีเพื่อลดความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นผิดตัว