บทนำ: ค่าสเปรด คืออะไร ทำไมนักเทรดต้องเข้าใจ?
การลงทุนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดฟอเร็กซ์ ถือเป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือค่าสเปรดที่ทุกคนที่เข้ามาเทรดต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ การรู้จักค่าสเปรดให้ละเอียด จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้อง ลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิด และจัดการพอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกด้านของค่าสเปรด ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเคล็ดลับการนำไปใช้จริง เพื่อให้นักลงทุนในไทยสามารถเทรดได้อย่างมั่นใจและฉลาดยิ่งขึ้น

ค่าสเปรด คืออะไร? ความหมายและองค์ประกอบพื้นฐาน
ค่าสเปรดหมายถึงส่วนต่างระหว่างราคาที่ตลาดยอมซื้อกับราคาที่ยอมขายสำหรับสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น คู่สกุลเงิน หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ในโลกของฟอเร็กซ์ ค่านี้คือค่าบริการหลักที่โบรกเกอร์หักจากคุณทุกครั้งที่คุณเริ่มทำการซื้อขาย มันเหมือนกับค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า ทำให้การเข้าใจส่วนนี้เป็นกุญแจสำคัญในการประเมินค่าใช้จ่ายโดยรวม

นิยามของค่าสเปรด
本质แล้ว ค่าสเปรดคือช่องว่างระหว่างราคาเสนอซื้อและเสนอขาย ซึ่งโบรกเกอร์นำไปเป็นแหล่งรายได้หลักจากการให้บริการเทรด ยิ่งส่วนต่างนี้ต่ำเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น การศึกษาค่าสเปรดอย่างละเอียดจึงช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด และวางแผนการเทรดที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ทำความรู้จัก ราคา Bid และ Ask
ราคาเสนอซื้อหรือ Bid คือระดับราคาที่โบรกเกอร์พร้อมซื้อสินทรัพย์จากคุณ ซึ่งเป็นราคาที่คุณจะได้เมื่อขายออก ในขณะที่ราคาเสนอขายหรือ Ask คือระดับที่โบรกเกอร์ยอมขายให้คุณ หรือราคาที่คุณต้องจ่ายเมื่อซื้อเข้า เมื่อคุณเปิดคำสั่งซื้อ คุณจะเจอราคา Ask แต่ถ้าขาย คุณจะได้ราคา Bid
สมมติว่าคู่เงิน EUR/USD มี Bid ที่ 1.12000 และ Ask ที่ 1.12005 หากคุณซื้อ คุณต้องจ่าย 1.12005 แต่ขายจะได้ 1.12000 ส่วนต่าง 0.00005 คือค่าสเปรดที่เกิดขึ้นทันที
Pip และ Point: หน่วยวัดค่าสเปรด
ในการวัดค่าสเปรดสำหรับฟอเร็กซ์ เรามักใช้หน่วย Pip ซึ่งย่อมาจาก Percentage in Point โดยปกติ 1 Pip คือการเคลื่อนไหวของตัวเลขทศนิยมที่สี่สำหรับคู่เงินทั่วไป แต่สำหรับคู่ที่มีเยนญี่ปุ่น จะเป็นทศนิยมที่สอง ส่วน Point คือหน่วยเล็กกว่า โดย 1 Pip เท่ากับ 10 Points ถ้าค่าสเปรดของ EUR/USD อยู่ที่ 0.5 Pip หรือ 5 Points แสดงว่าช่องว่างคือ 0.00005 ซึ่งคุณต้องรับภาระนี้ตั้งแต่เปิดออเดอร์

ประเภทของค่าสเปรด: คงที่ vs. ลอยตัว
ค่าสเปรดในฟอเร็กซ์แบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก ที่มีลักษณะและผลต่อการเทรดต่างกัน การรู้จักทั้งสองแบบนี้จะช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์และบัญชีที่เข้ากับรูปแบบการเทรดของคุณได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
Fixed Spread (ค่าสเปรดแบบคงที่)
ค่าสเปรดคงที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตลาดจะผันผวนมากน้อยแค่ไหน มันให้ความแน่นอนในการคำนวณต้นทุน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเสถียร เช่น มือใหม่หรือคนที่เทรดสั้นๆ และอยากควบคุมค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน ถึงแม้ระดับสเปรดอาจสูงกว่าแบบอื่นนิดหน่อย แต่ก็ลดความเสี่ยงจากความแปรปรวนที่ไม่คาดคิดได้ดี
Floating/Variable Spread (ค่าสเปรดแบบลอยตัว)
ค่าสเปรดลอยตัวจะปรับตัวตามสภาพตลาด โดยขึ้นกับระดับสภาพคล่องและความผันผวน ถ้าตลาดคึกคักและเสถียร สเปรดจะแคบ แต่ถ้ามีข่าวร้ายหรือความวุ่นวาย มันอาจกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อดีคือในช่วงปกติ มักต่ำกว่าแบบคงที่ และสะท้อนความเป็นจริงของตลาด ทำให้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรดในตลาด Forex
นอกจากประเภทของสเปรดแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ทำให้ขนาดของมันเปลี่ยนไป ซึ่งเข้าใจแล้วจะช่วยให้คุณคาดการณ์และปรับตัวได้ทัน
สภาพคล่องของสินทรัพย์
สภาพคล่องหมายถึงความสะดวกในการซื้อขายโดยไม่กระทบราคามาก สินทรัพย์ยอดนิยมอย่างคู่หลัก EUR/USD หรือ GBP/USD มักมีสเปรดต่ำเพราะมีผู้เล่นมาก โบรกเกอร์จึงจับคู่คำสั่งได้ง่ายและถูก แต่สำหรับคู่แปลกๆ หรือสินค้าที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ สเปรดจะสูงกว่า เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่โบรกเกอร์ต้องแบกรับ
ความผันผวนของตลาดและข่าวสาร
เมื่อตลาดปั่นป่วน เช่น ช่วงประกาศอัตราดอกเบี้ยหรือข้อมูลการจ้างงาน สเปรดมักขยายตัวเพราะโบรกเกอร์ต้องป้องกันตัวเองจากความไม่แน่นอน สถานการณ์แบบนี้ทำให้ต้นทุนของคุณพุ่งขึ้นหลายเท่า ดังนั้น การติดตามปฏิทินข่าวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้
ช่วงเวลาทำการของตลาด
ตลาดฟอเร็กซ์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วัน แต่สเปรดจะแคบที่สุดในช่วงที่ตลาดใหญ่ๆ อย่างลอนดอนและนิวยอร์กทับซ้อนกัน เพราะสภาพคล่องสูงสุด ในทางตรงข้าม ช่วงตลาดปิดหรือ rollover เวลาเปลี่ยนวัน สเปรดจะกว้างขึ้นเนื่องจากกิจกรรมน้อยลง การเลือกเวลาที่เหมาะสมจึงช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก
นโยบายของโบรกเกอร์และประเภทบัญชี
แต่ละโบรกเกอร์มีกติกาเรื่องสเปรดต่างกัน และบัญชีที่คุณเลือกก็มีส่วน เช่น บัญชีมาตรฐานอาจมีสเปรดกว้างแต่ไร้ค่าคอม แต่บัญชี raw หรือ zero spread จะแคบหรือเป็นศูนย์ โดยหักค่าคอมแทน การพิจารณาให้รอบคอบจะช่วยให้ต้นทุนโดยรวมต่ำลง
ค่าสเปรดสำคัญอย่างไรต่อการเทรด Forex?
ค่าสเปรดไม่ใช่แค่รายจ่ายเล็กน้อย แต่เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความสำเร็จในการเทรด โดยเฉพาะเมื่อมันเชื่อมโยงกับกำไรและกลยุทธ์ของคุณโดยตรง
ต้นทุนการเทรดที่คุณต้องจ่าย
ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ คุณต้องจ่ายสเปรดทันที ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ถ้าสเปรดสูง กำไรสุทธิจะหดลง หรือขาดทุนจะหนักขึ้น การคำนวณล่วงหน้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสี่ยงที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ทำธุรกรรมบ่อย
ผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรดต่างๆ
ค่าสเปรดส่งผลต่างกันไปตามรูปแบบการเทรดของคุณ
- Scalping (การเก็บกำไรสั้นๆ): กลยุทธ์นี้ที่เน้นกำไรน้อยแต่บ่อย จะโดนสเปรดกระทบหนักสุด เพราะกำไรต่อครั้งไม่มาก การหาโบรกเกอร์สเปรดต่ำจึงจำเป็นสำหรับ scalper
- Day Trading (การเทรดภายในวัน): ผู้เทรดรายวันต้องใส่ใจสเปรดเช่นกัน แม้ไม่รุนแรงเท่า scalping แต่ก็สะสมได้ถ้าทำหลายรอบ
- Swing Trading (การเทรดตามแนวโน้ม): ที่ถือยาวหลายวันหรือสัปดาห์ สเปรดกระทบน้อยกว่า แต่ต้องคำนึงถึง swap ด้วย
สำหรับคนไทยที่ชอบ scalping หรือ day trading ในคู่หลักและทองคำ การเลือกโบรกเกอร์สเปรดต่ำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ชัดเจน
เปรียบเทียบค่าสเปรดโบรกเกอร์ยอดนิยมในไทย (Exness, XM, Mitrade และอื่นๆ)
นักลงทุนไทยมักมองหาโบรกเกอร์ที่สเปรดแข่งขันได้ โบรกเกอร์ดังๆ ในไทยมีเงื่อนไขต่างกันตามบัญชี นี่คือการเปรียบเทียบคร่าวๆ สำหรับคู่หลักและทองคำจากโบรกเกอร์ชั้นนำ
หมายเหตุ: ค่าสเปรดเป็นค่าเฉลี่ยและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพตลาดและประเภทบัญชีที่เลือก ข้อมูลนี้มีไว้เพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น
โบรกเกอร์ | ประเภทบัญชี | EUR/USD (Pip) | ทองคำ (XAU/USD) (Point) | จุดเด่นด้านสเปรดสำหรับเทรดเดอร์ไทย |
---|---|---|---|---|
Exness | Standard | 0.7 – 1.2 | 15 – 30 | สเปรดเริ่มต้นต่ำในบัญชี Standard, มีบัญชี Raw Spread และ Zero Spread ที่เน้นสเปรดต่ำมาก เหมาะสำหรับ Scalper |
XM | Standard | 1.0 – 1.7 | 25 – 40 | เป็นที่นิยมในไทย มีโปรโมชั่นและโบนัสบ่อยครั้ง สเปรดค่อนข้างคงที่ในบัญชี Standard |
Mitrade | Standard | 0.8 – 1.5 | 20 – 35 | แพลตฟอร์มใช้งานง่าย มีสเปรดที่แข่งขันได้ในสินทรัพย์หลัก |
IC Markets | Raw Spread | 0.0 – 0.2 (+ Commission) | 10 – 20 (+ Commission) | สเปรดต่ำมากในบัญชี Raw Spread มีค่าคอมมิชชั่น เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพและ Scalper |
XS | Standard | 0.7 – 1.2 | 15 – 30 | สเปรดค่อนข้างต่ำในบัญชี Standard และมีตัวเลือกบัญชีที่หลากหลาย |
FBS | Standard | 0.9 – 1.5 | 20 – 35 | เป็นที่นิยมในเอเชีย มีโปรโมชั่นดึงดูดใจ สเปรดอยู่ในระดับปานกลาง |
จากข้อมูลในตาราง โบรกเกอร์อย่าง Exness และ IC Markets โดดเด่นด้วยบัญชีที่สเปรดต่ำ เหมาะกับ scalper และ day trader ที่อยากลดต้นทุนสุดๆ ในขณะที่ XM กับ FBS อาจสเปรดสูงกว่านิด แต่ชดเชยด้วยโปรโมชั่นและบริการอื่นๆ การตัดสินใจควรดูจากสไตล์เทรดส่วนตัว เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เลือกโบรกเกอร์อย่างไรให้ได้ค่าสเปรดที่คุ้มค่าที่สุด?
การหาโบรกเกอร์ที่ใช่คือขั้นตอนที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสกำไร ดังนั้น อย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ
พิจารณาประเภทบัญชีที่เหมาะสม
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีตัวเลือกบัญชีหลากหลาย เช่น:
- Standard Account: เหมาะมือใหม่ สเปรดกว้างแต่ไร้คอม ใช้งานง่าย
- Raw Spread Account: สเปรดต่ำหรือศูนย์ แต่มีคอมต่อล็อต เหมาะคนเทรดเยอะ
- Zero Spread Account: คล้าย raw แต่สเปรดศูนย์ในบางสินค้า คอมอาจสูงกว่า
ลองประเมินตัวเอง ถ้าเทรดบ่อย raw หรือ zero อาจคุ้ม แต่ถ้าน้อยชิ้น standard ง่ายกว่า โดยรวมแล้ว มันช่วยให้คุณปรับต้นทุนให้เข้ากับนิสัยการเทรด
ดูค่าสเปรดเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่เทรดบ่อย
อย่าหลงเชื่อแค่สเปรดต่ำสุดที่โฆษณา แต่เช็คค่าเฉลี่ยจริงๆ ของสินค้าที่คุณชอบ เช่น คู่เงินหลักหรือทองคำ บางเจ้าโฆษณา 0.0 pip แต่เฉลี่ยอาจสูง โดยเฉพาะช่วงปกติ อย่าลืมดูสินค้าอื่นๆ อย่างน้ำมันหรือดัชนีด้วย เพื่อภาพรวมที่ชัด
อย่ามองข้ามค่าธรรมเนียมอื่นๆ (เช่น Swap, Commission)
สเปรดไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีค่าอื่นที่คนไทยควรเช็ค เช่น:
- ค่าคอมมิชชั่น (Commission): พบบ่อยในบัญชี raw หรือ zero ต่อล็อตเทรด
- ค่า Swap (สวอป): ค่า持有ข้ามคืน อาจบวกหรือลบ ขึ้นกับดอกเบี้ยและทิศทาง สำคัญสำหรับเทรดยาว
บางโบรกเกอร์สเปรดดีแต่ swap สูง ซึ่งกระทบคนถือยาว การรวมทุกค่าจะช่วยให้เลือกได้ถูกต้อง
อ่านรีวิวและประสบการณ์จากนักเทรดไทย (Pantip Insight)
รีวิวจริงจากชุมชนไทยคือแหล่งข้อมูลล้ำค่า โดยเฉพาะใน Pantip ที่มีกระทู้คุยโบรกเกอร์ สเปรด และปัญหา เช่น การขยายในข่าวหรือสเปรดทองกลางคืน มันช่วยให้คุณเห็นมุมที่โบรกเกอร์ไม่บอก และเตรียมใจได้ดีขึ้น โดยเฉพาะประสบการณ์จากคนไทยที่เจอสถานการณ์คล้ายกัน
กลยุทธ์บริหารค่าสเปรดให้มีประสิทธิภาพ
ถึงสเปรดจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คุณสามารถลดผลกระทบด้วยวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เทรดได้ฉลาดขึ้น
เทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง
สเปรดแคบลงในช่วงตลาดคึกคัก เช่น ลอนดอน-นิวยอร์กทับกัน ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับเทรดสั้นหรือ scalping เพื่อประหยัดต้นทุนสูงสุด ถ้าอยากรู้ละเอียด ลองดูบทความจาก Babypips ที่อธิบายช่วงเวลาตลาดได้ดีเยี่ยม
หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญ
ข่าวใหญ่ทำให้สเปรดพุ่ง แม้สร้างโอกาสแต่เสี่ยงสูง ทางที่ดีคือรอผ่านช่วงก่อนหลังประกาศ หรือเตรียมใจสำหรับความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพื่อไม่ให้ต้นทุนพังแผนทั้งหมด
ใช้ Pending Order อย่างชาญฉลาด
คำสั่ง pending อย่าง limit order ช่วยให้คุณตั้งราคาที่ต้องการ โดยไม่ต้องเข้าทันทีแบบ market order ถ้าราคาไม่ถึงระดับ สั่งก็ไม่เกิด ซึ่งป้องกันสเปรดกว้างได้ดี โดยเฉพาะในตลาดไม่แน่นอน
คำนวณความเสี่ยงและผลตอบแทนโดยรวม
ก่อนเทรดทุกครั้ง รวมสเปรดในสมการเสี่ยง-รางวัล ถ้ามันทำให้จุด breakeven ไกลหรือ stop loss แคบเกิน อาจไม่คุ้ม การวางแผนแบบนี้ช่วยตัดสินใจได้มั่นใจ และจัดการต้นทุนอย่างมีเหตุผล
สรุป: ค่าสเปรด หัวใจสำคัญของการเทรดที่ต้องรู้
ค่าสเปรดคือส่วนที่ทุกเทรดเดอร์ฟอเร็กซ์ต้องเจอ การรู้ลึกถึงนิยาม ประเภท ปัจจัย และวิธีจัดการ จะเป็นรากฐานสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะมือใหม่หรือเก่า การเลือกโบรกเกอร์ที่ match สไตล์ โดยดูสเปรด คอม และ swap ร่วมกัน จะช่วยควบคุมต้นทุนและเพิ่มกำไรยั่งยืน การเรียนรู้จากข้อมูลและเรื่องจริงของนักเทรดไทย จะทำให้การลงทุนของคุณฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
ค่าสเปรด Exness ทอง ช่วงกลางคืนทำไมถึงกว้างกว่าปกติ และมีวิธีจัดการอย่างไร?
ค่าสเปรดทองคำ (XAU/USD) ของ Exness รวมถึงโบรกเกอร์อื่นๆ มักจะกว้างขึ้นในช่วงกลางคืนของประเทศไทย (หรือช่วงเช้าตรู่ของยุโรป/อเมริกา) เนื่องจากเป็นช่วงที่ตลาดทองคำหลักในยุโรปและอเมริกามีสภาพคล่องต่ำลง การซื้อขายลดน้อยลง ส่งผลให้ส่วนต่าง Bid/Ask กว้างขึ้น วิธีจัดการคือ:
- หลีกเลี่ยงการเปิดหรือปิดออเดอร์ทองคำในช่วงเวลาดังกล่าว
- หากจำเป็นต้องเทรด ควรตั้ง Stop Loss/Take Profit ให้มีระยะห่างเพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของสเปรด
- พิจารณาเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง เช่น ช่วงบ่ายถึงดึกของไทย
นอกจากค่าสเปรดแล้ว เทรดเดอร์ไทยควรพิจารณาค่าธรรมเนียมอะไรอีกบ้างในการเลือกโบรกเกอร์?
นอกจากค่าสเปรดแล้ว เทรดเดอร์ไทยควรพิจารณาค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่:
- ค่าคอมมิชชั่น (Commission): มักเรียกเก็บในบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread
- ค่า Swap (สวอป): ค่าธรรมเนียมการถือครองออเดอร์ข้ามคืน ซึ่งอาจเป็นบวกหรือลบ
- ค่าธรรมเนียมการฝาก/ถอนเงิน: โบรกเกอร์บางรายอาจมีค่าธรรมเนียมแฝงในการฝากหรือถอนเงิน
- ค่าธรรมเนียมการไม่ใช้งานบัญชี (Inactivity Fee): หากบัญชีไม่มีการซื้อขายเป็นเวลานาน
การคำนวณต้นทุนรวมทั้งหมดจะช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์ที่คุ้มค่าที่สุด
มีโบรกเกอร์ Forex ไหนบ้างที่ให้ค่าสเปรดต่ำมากหรือเป็น Zero Spread และเชื่อถือได้สำหรับคนไทย?
โบรกเกอร์หลายรายมีบัญชีประเภท Zero Spread หรือ Raw Spread ที่เสนอสเปรดต่ำมากหรือเป็นศูนย์ (โดยมีค่าคอมมิชชั่นแทน) ที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือได้ในหมู่นักเทรดไทย ได้แก่:
- Exness: มีบัญชี Raw Spread และ Zero Spread ที่มีสเปรดต่ำมาก
- IC Markets: ขึ้นชื่อเรื่องสเปรด Raw Spread ที่ต่ำมากและได้รับความนิยมจาก Scalper
- Pepperstone: เป็นอีกหนึ่งโบรกเกอร์ที่มีสเปรด Raw Spread ที่แข่งขันได้
สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบใบอนุญาตและการกำกับดูแลของโบรกเกอร์ รวมถึงอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานจริง
ค่าสเปรดกับ Slippage แตกต่างกันอย่างไร และอันไหนที่ส่งผลกระทบต่อการเทรดมากกว่ากัน?
- ค่าสเปรด: คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask เป็นต้นทุนที่แน่นอนที่คุณจ่ายเมื่อเปิดออเดอร์
- Slippage: คือการที่ราคาที่ออเดอร์ของคุณถูกดำเนินการ ไม่ตรงกับราคาที่คุณคาดหวังไว้ มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก หรือมีสภาพคล่องต่ำ
ทั้งคู่เป็นต้นทุนและส่งผลกระทบต่อการเทรด แต่ Slippage มักจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันและอาจทำให้ขาดทุนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเทรดช่วงข่าวสำคัญ ส่วนค่าสเปรดเป็นต้นทุนที่คาดการณ์ได้มากกว่า
ถ้าฉันเทรดคู่เงินแปลกๆ เช่น THB กับสกุลเงินอื่น ค่าสเปรดจะสูงกว่าปกติไหม?
ใช่ ค่าสเปรดสำหรับการเทรดคู่เงินแปลกๆ (Exotic Pairs) เช่น THB กับสกุลเงินหลักอื่นๆ (เช่น USD/THB หรือ EUR/THB) มักจะสูงกว่าคู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคู่เงินเหล่านี้มีสภาพคล่องในตลาด Forex ต่ำกว่า ทำให้โบรกเกอร์ต้องคิดค่าสเปรดที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงและต้นทุนในการจับคู่คำสั่งซื้อขาย
นักเทรดมือใหม่ควรเลือกบัญชีแบบ Fixed Spread หรือ Floating Spread ดีกว่ากัน?
สำหรับนักเทรดมือใหม่ การเลือกบัญชี Fixed Spread อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากคุณสามารถคาดการณ์ต้นทุนการเทรดได้อย่างแม่นยำ ทำให้วางแผนการเทรดและบริหารความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องสเปรดที่ขยายตัวกะทันหัน ซึ่งอาจสร้างความสับสนและทำให้ขาดทุนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น คุณอาจพิจารณาบัญชี Floating Spread เพื่อเข้าถึงสเปรดที่ต่ำกว่าในช่วงตลาดปกติ
ค่าสเปรดที่โบรกเกอร์โฆษณาเป็นค่าสเปรดเฉลี่ย หรือค่าสเปรดต่ำสุด?
โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่าสเปรดที่โบรกเกอร์โฆษณาจะเป็น “ค่าสเปรดต่ำสุด” (Minimum Spread) ซึ่งหมายถึงค่าสเปรดที่แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูงมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทรดเดอร์มักจะเจอ “ค่าสเปรดเฉลี่ย” (Average Spread) ซึ่งจะสูงกว่าค่าต่ำสุดเล็กน้อย ดังนั้น การตรวจสอบค่าสเปรดเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่คุณสนใจเทรดจึงเป็นสิ่งสำคัญกว่าการดูแค่ค่าต่ำสุดที่โฆษณา
อ่านรีวิวใน Pantip แล้วเห็นคนบ่นเรื่องค่าสเปรด Exness หรือ XM บ่อยๆ มันเป็นยังไงกันแน่?
การบ่นเรื่องค่าสเปรดใน Pantip เป็นเรื่องปกติ เพราะแม้แต่โบรกเกอร์ยอดนิยมอย่าง Exness หรือ XM ก็ยังคงมีช่วงเวลาที่สเปรดขยายตัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ดังต่อไปนี้:
- ช่วงข่าวเศรษฐกิจสำคัญ: สเปรดจะกว้างขึ้นในทุกโบรกเกอร์
- ช่วงเวลาสภาพคล่องต่ำ: เช่น กลางคืนของไทย หรือช่วงวันหยุด
- สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง: เช่น ทองคำ หรือคู่เงินรอง
นักเทรดบางคนอาจไม่เข้าใจว่าสเปรดมีการเปลี่ยนแปลงตามกลไกตลาด และคาดหวังให้สเปรดคงที่ตลอดเวลา การอ่านรีวิวเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงประสบการณ์จริงและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสเปรดได้
มีเทคนิคการเทรดแบบไหนบ้างที่ช่วยลดผลกระทบจากค่าสเปรดสูงๆ ได้?
คุณสามารถใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อลดผลกระทบจากค่าสเปรดสูง:
- เทรดในช่วงเวลาสภาพคล่องสูง: เลือกเทรดในช่วงที่ตลาดหลักเปิดทำการพร้อมกัน
- หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญ: งดการเปิดออเดอร์ในช่วงที่มีการประกาศข่าว
- ใช้ Limit Order: ตั้งราคาเข้าที่ต้องการแทน Market Order เพื่อป้องกัน Slippage และสเปรดที่กว้าง
- เลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่เหมาะสม: พิจารณาบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread หากคุณเทรดบ่อย
- เทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง: เน้นคู่เงินหลักหรือทองคำในช่วงเวลาที่มีการซื้อขายหนาแน่น
ค่าสเปรดทองคำ (Gold) ของแต่ละโบรกเกอร์แตกต่างกันมากไหม และควรเลือกแบบไหนดีสำหรับนักลงทุนไทย?
ค่าสเปรดทองคำ (XAU/USD) แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละโบรกเกอร์และประเภทบัญชี โดยทั่วไปแล้ว บัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread จะให้สเปรดทองคำที่ต่ำกว่าบัญชี Standard อย่างชัดเจน สำหรับนักลงทุนไทยที่เทรดทองคำบ่อยๆ ควรพิจารณา:
- โบรกเกอร์ที่มีบัญชี Raw Spread/Zero Spread: เช่น Exness, IC Markets เพื่อให้ได้สเปรดที่ต่ำที่สุด โดยยอมรับค่าคอมมิชชั่น
- ตรวจสอบสเปรดเฉลี่ยของทองคำ: ไม่ใช่แค่สเปรดต่ำสุด และดูรีวิวจากนักเทรดทองคำคนอื่นๆ
- ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์: การเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด