บทนำ: สวอปคืออะไร? กุญแจสู่การทำความเข้าใจโลกการเงินและการเทรดของคุณ
ในโลกของการเงินและการลงทุนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน มีคำศัพท์มากมายที่เราในฐานะนักลงทุนหรือผู้สนใจจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หนึ่งในนั้นคือคำว่า “สวอป” (Swap) ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ค่าธรรมเนียมเล็กน้อยในการเทรด Forex เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ตั้งแต่การกำหนดต้นทุนและผลกำไรของการถือสถานะในตลาดเงินตราต่างประเทศ ไปจนถึงการเป็นกลไกสำคัญในการบริหารสภาพคล่องของธนาคารกลาง และเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาอนุพันธ์ที่ซับซ้อนในตลาดทุน คุณอาจเคยได้ยินคำว่า Swap มาบ้าง แต่คุณเข้าใจความหมายและนัยยะของมันอย่างลึกซึ้งแล้วหรือยัง?
เราในฐานะผู้ให้ความรู้เชื่อว่า การเข้าใจในแก่นแท้ของ Swap จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงต้นทุนที่ไม่จำเป็น แต่ยังสามารถมองเห็นโอกาสในการสร้างผลกำไรจากกลไกเหล่านี้ได้อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกมิติของ Swap อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐานในบริบทของการเทรด Forex ไปจนถึงบทบาทอันซับซ้อนในตลาดการเงินระดับมหภาค เราจะคลี่คลายทุกข้อสงสัย เพื่อให้คุณพร้อมที่จะนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับการตัดสินใจลงทุนของคุณได้อย่างชาญฉลาดและมั่นใจ
คุณพร้อมหรือยังที่จะเจาะลึกเข้าไปในโลกของ Swap และปลดล็อกศักยภาพในการเทรดและการลงทุนของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น? เราจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในมิติที่นักเทรด Forex คุ้นเคยมากที่สุด นั่นคือ “ค่า Swap” และค่อยๆ ขยายขอบเขตความรู้ไปสู่ภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นของตลาดการเงิน
เจาะลึกค่า Swap ในการเทรด Forex: ดอกเบี้ยข้ามคืนที่คุณต้องรู้
สำหรับนักเทรดในตลาด Forex หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) คำว่า “ค่า Swap” เป็นสิ่งที่คุณจะได้ยินและต้องเผชิญหน้าอยู่เสมอ แต่มันคืออะไรกันแน่? ในความเข้าใจที่ง่ายที่สุด ค่า Swap คือ ค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยที่ถูกเรียกเก็บหรือจ่ายคืนให้กับนักเทรด เมื่อมีการเปิดสถานะการซื้อขายทิ้งไว้ข้ามคืน (Overnight Position) แนวคิดนี้ไม่ได้อิงตาม 24 ชั่วโมงเต็มๆ แบบที่เราเข้าใจกันในชีวิตประจำวัน แต่เป็นช่วงเวลาเฉพาะที่โบรกเกอร์กำหนด มักจะคร่อมช่วงเวลาปิดทำการของตลาดสำคัญๆ เช่น เวลา 04.00 – 05.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ทำไมถึงต้องมีค่า Swap? คุณลองนึกภาพว่าคุณกำลังกู้ยืมเงินสกุลหนึ่งเพื่อไปซื้อเงินอีกสกุลหนึ่งเพื่อเปิดสถานะการเทรดอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทุกคู่เงินในการเทรด Forex ประกอบด้วยสกุลเงินสองสกุล: สกุลเงินฐาน (Base Currency) และสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) เมื่อคุณเปิดสถานะการซื้อขาย คุณกำลังทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ “ยืม” สกุลเงินหนึ่งและ “ให้กู้” อีกสกุลเงินหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง การถือสถานะข้ามคืนจึงเปรียบเสมือนการที่คุณได้ยืมหรือให้กู้เงินในตลาดระหว่างธนาคาร ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีอัตราดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง สรุปง่ายๆ คือ ค่า Swap คือผลต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่สกุลเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD และคุณ Long (ซื้อ) คู่เงินนี้ คุณกำลัง Long EUR (ให้กู้ EUR) และ Short USD (ยืม USD) หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR สูงกว่า USD คุณก็อาจได้รับค่า Swap เป็นบวก แต่ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD คุณก็จะต้องจ่ายค่า Swap เป็นลบ นี่คือกลไกพื้นฐานที่นักเทรดทุกคนต้องทำความเข้าใจ เพื่อประเมินต้นทุนและผลกำไรที่แท้จริงจากการถือสถานะระยะยาว
ประเภทการ Swap | คำอธิบาย |
---|---|
Swap Positive | สถานะที่นักเทรดได้รับดอกเบี้ยจากการถือสถานะข้ามคืน |
Swap Negative | สถานะที่นักเทรดต้องจ่ายดอกเบี้ยในการถือสถานะข้ามคืน |
ทำความเข้าใจ Swap Positive และ Swap Negative: โอกาสและต้นทุนสำหรับนักเทรด
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าค่า Swap คือผลต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน คำถามถัดไปคือ แล้วค่า Swap มีทั้งบวกและลบได้อย่างไร? นี่คือจุดสำคัญที่นักเทรดต้องแยกแยะให้ออก เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรหรือต้นทุนในการเทรดของคุณ
-
ค่า Swap เป็นบวก (Swap Positive): นี่คือสถานการณ์ที่คุณได้รับดอกเบี้ยเพิ่มจากโบรกเกอร์เมื่อคุณถือสถานะข้ามคืน ค่า Swap จะเป็นบวกเมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่คุณกำลัง “ให้กู้” (สกุลเงินที่คุณ Long) สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่คุณกำลัง “ยืม” (สกุลเงินที่คุณ Short) พูดง่ายๆ คือ คุณกำลังได้รับดอกเบี้ยจากเงินที่ให้กู้มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจากเงินที่ยืม นี่คือโอกาสสำหรับนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์ Carry Trade เพื่อสร้างผลกำไรเพิ่มเติมจากการถือสถานะระยะยาว
-
ค่า Swap เป็นลบ (Swap Negative): ในทางกลับกัน ค่า Swap จะเป็นลบเมื่อคุณต้อง “จ่าย” ค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่คุณกำลัง “ยืม” (สกุลเงินที่คุณ Short) สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่คุณกำลัง “ให้กู้” (สกุลเงินที่คุณ Long) ซึ่งหมายความว่าคุณกำลังจ่ายดอกเบี้ยจากเงินที่ยืมมากกว่าดอกเบี้ยที่คุณได้รับจากเงินที่ให้กู้ นี่คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการเทรดของคุณ และเป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงอย่างยิ่ง หากคุณวางแผนที่จะถือสถานะข้ามคืนเป็นเวลานาน
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การถือสถานะ Short (ขาย) มักจะถูกคิดค่า Swap ที่สูงกว่าการถือสถานะ Long (ซื้อ) ในหลายๆ คู่สกุลเงิน นี่เป็นเพราะโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยและการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ยิ่งไปกว่านั้น อัตรา Swap ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณต้องติดตามเพื่อประเมินผลกระทบต่อการเทรดของคุณ
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Swap Positive และ Negative ไม่ใช่แค่การรู้ว่าคุณจะได้รับหรือเสียเงิน แต่ยังช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสม เช่น การหลีกเลี่ยงการถือสถานะที่ให้ค่า Swap เป็นลบสูงๆ หากคุณต้องการถือระยะยาว หรือการมองหาโอกาสในการทำ Carry Trade ในคู่เงินที่มี Swap เป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ
กลไกการคำนวณและช่วงเวลาสำคัญของค่า Swap: ทำไมวันพุธถึงสำคัญ?
หลังจากที่เราทราบแล้วว่าค่า Swap คืออะไรและมีทั้งบวกและลบ คราวนี้เรามาเจาะลึกถึงกลไกการคำนวณและช่วงเวลาสำคัญที่ส่งผลต่อการคิดค่า Swap กัน เพื่อให้คุณสามารถประเมินต้นทุนหรือผลตอบแทนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
สูตรคำนวณค่า Swap (โดยประมาณ):
Swap = จำนวน lot x ขนาดสัญญา x ราคาเปิด x Swap rate (เป็นเปอร์เซ็นต์ต่อคืน)
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะแสดงอัตรา Swap ต่อล็อตมาตรฐาน (Standard Lot) ไว้ให้คุณแล้ว ทำให้การคำนวณง่ายขึ้น เพียงแค่ดูว่าคุณเทรดกี่ล็อต และนำไปคูณกับอัตรา Swap ที่โบรกเกอร์กำหนดสำหรับสถานะ Long หรือ Short ของคู่เงินนั้นๆ
ช่วงเวลาสำคัญในการคิดค่า Swap:
ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว ค่า Swap จะถูกคิดเมื่อคุณถือสถานะข้ามคืนในช่วงเวลาที่ตลาดส่วนใหญ่ปิดทำการ ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นช่วงดึกของวันตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 04.00 – 05.00 น. ตามเวลาประเทศไทย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดทุกคนต้องตระหนักถึงคือ การถือสถานะข้ามคืนวันพุธ
-
Swap 3 วันในวันพุธ: นี่คือประเด็นที่มักจะสร้างความสับสนและเป็นต้นทุนที่หลายคนมองข้าม เมื่อคุณถือสถานะข้ามคืนจากวันพุธเข้าสู่วันพฤหัสบดี คุณจะถูกคิดค่า Swap เป็น 3 เท่าของอัตราปกติ สาเหตุเป็นเพราะตลาด Forex จะมีการชำระราคาธุรกรรม (Settlement) ในอีกสองวันทำการถัดไป (T+2) ดังนั้น การถือสถานะข้ามคืนวันพุธ หมายถึงการที่คุณถือสถานะผ่านช่วงเวลาชำระราคาสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ (วันเสาร์และวันอาทิตย์) ด้วย ทำให้ต้องมีการคิดค่า Swap สำหรับวันหยุดเหล่านั้นเพิ่มเติม
- วันจันทร์: คิดค่า Swap 1 วัน (สำหรับอังคาร)
- วันอังคาร: คิดค่า Swap 1 วัน (สำหรับพุธ)
- วันพุธ: คิดค่า Swap 3 วัน (สำหรับพฤหัสบดี, ศุกร์, เสาร์, อาทิตย์)
- วันพฤหัสบดี: คิดค่า Swap 1 วัน (สำหรับศุกร์)
- วันศุกร์: คิดค่า Swap 1 วัน (สำหรับเสาร์) – แม้ว่าตลาดจะปิดช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ แต่การคิด Swap วันศุกร์จะครอบคลุมวันหยุดไปแล้วจากวันพุธ
การทำความเข้าใจกลไกและช่วงเวลาการคิดค่า Swap โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันพุธ จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างรัดกุมมากขึ้น หากคุณเป็นนักเทรดระยะสั้นที่ต้องการหลีกเลี่ยงต้นทุนส่วนนี้ คุณอาจพิจารณาปิดสถานะก่อนเวลาคิด Swap หรือก่อนเข้าสู่วันพุธ แต่หากคุณเป็นนักเทรดระยะยาวที่มองหากำไรจาก Swap Positive การรู้เรื่องนี้ก็ช่วยให้คุณคาดการณ์ผลตอบแทนที่อาจได้รับอย่างแม่นยำ
วิธีตรวจสอบค่า Swap บนแพลตฟอร์มการเทรดของคุณ: MT4, MiTrade และอื่น ๆ
การรู้ทฤษฎีเกี่ยวกับค่า Swap นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การนำไปใช้ในทางปฏิบัติคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า การตรวจสอบค่า Swap ก่อนที่คุณจะเปิดสถานะการซื้อขายจริงจะช่วยให้คุณประเมินต้นทุนหรือผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ และเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มการเทรดส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชันที่ให้คุณตรวจสอบข้อมูลนี้ได้อย่างง่ายดาย
สำหรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4 (MetaTrader 4):
การตรวจสอบค่า Swap บน MT4 ทำได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน:
- เปิดโปรแกรม MT4 บนคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันบนมือถือของคุณ
- ไปที่หน้าต่าง “Market Watch” (ปกติจะอยู่ทางซ้ายมือ) ซึ่งจะแสดงรายการคู่สกุลเงินและสินค้าต่างๆ
- คลิกขวาที่คู่สกุลเงินหรือสินค้าที่คุณสนใจ (เช่น EUR/USD, Gold, WTI)
- เลือก “Specification” หรือ “Properties” (คุณสมบัติ)
- ในหน้าต่าง Specification คุณจะพบข้อมูลเกี่ยวกับค่า Swap สำหรับสถานะ Long (Swap Long) และสถานะ Short (Swap Short) ซึ่งจะแสดงเป็นหน่วยของ pip หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อล็อตมาตรฐาน ข้อมูลนี้จะระบุว่าคุณจะได้รับหรือเสียเท่าใดเมื่อถือสถานะข้ามคืน
สำหรับแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น MiTrade หรือแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์อื่นๆ:
ขั้นตอนการตรวจสอบอาจแตกต่างกันไปเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้ว ข้อมูลค่า Swap จะอยู่ที่หน้าข้อมูลรายละเอียดของสินทรัพย์นั้นๆ:
- คุณอาจต้องเลือกสินทรัพย์ที่คุณสนใจจากรายการสินค้า
- จากนั้นเลื่อนหน้าจอลงมา หรือมองหาแท็บหรือปุ่มที่เขียนว่า “รายละเอียด” (Details), “ข้อมูลสัญญา” (Contract Specifications), หรือ “เงื่อนไขการเทรด” (Trading Conditions)
- ในส่วนนั้น คุณจะพบข้อมูลเกี่ยวกับ Swap Long และ Swap Short เช่นกัน
การตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ก่อนการเทรดเป็นสิ่งที่เราแนะนำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณวางแผนที่จะถือสถานะเป็นระยะเวลานานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เนื่องจากค่า Swap ที่เป็นลบสามารถกัดกินผลกำไรของคุณได้ หรือในทางกลับกัน ค่า Swap ที่เป็นบวกก็สามารถเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติมได้เช่นกัน
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและให้ข้อมูลครบถ้วนสำหรับการเทรด Forex และ CFD คุณภาพสูง Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ มันเป็นแพลตฟอร์มที่มาจากออสเตรเลีย ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือและมีสินค้าให้เลือกเทรดมากกว่า 1,000 ชนิด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่ที่กำลังศึกษา หรือนักเทรดมืออาชีพที่ต้องการความหลากหลาย Moneta Markets ก็มีเครื่องมือและข้อมูลที่จำเป็นพร้อมให้คุณใช้งาน
Carry Trade: กลยุทธ์ทำกำไรจากค่า Swap และความเสี่ยงที่คุณควรระวัง
หลังจากที่เราทำความเข้าใจค่า Swap ในฐานะต้นทุนไปแล้ว คราวนี้เราจะมามองในมุมของ “โอกาส” กันบ้าง นั่นคือกลยุทธ์ที่เรียกว่า Carry Trade ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
Carry Trade คืออะไร?
Carry Trade คือกลยุทธ์ที่นักลงทุนทำการ “ยืม” สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ (หรือมีแนวโน้มจะต่ำ) และนำไป “ซื้อ” หรือ “ลงทุน” ในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง (หรือมีแนวโน้มจะสูง) เพื่อที่จะได้รับผลกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย หรือในบริบทของการเทรด Forex ก็คือการแสวงหาคู่สกุลเงินที่มีค่า Swap เป็นบวกนั่นเอง
ตัวอย่างการทำ Carry Trade ใน Forex:
สมมติว่าคู่สกุลเงิน AUD/JPY โดยที่ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อย่างมีนัยสำคัญ หากคุณ Long (ซื้อ) คู่ AUD/JPY คุณกำลัง Long AUD (ให้กู้ AUD) และ Short JPY (ยืม JPY) หากผลต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นบวกมากพอ คุณก็จะได้รับค่า Swap เป็นบวกทุกวันที่คุณถือสถานะข้ามคืน ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคง หากถือสถานะเป็นระยะเวลานาน
โอกาสจาก Carry Trade:
- รายได้แบบ Passive: หากคุณสามารถจับคู่สกุลเงินที่มี Swap เป็นบวกและถือสถานะได้นานพอ รายได้จาก Swap ก็จะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนการได้รับดอกเบี้ยจากการลงทุน
- เพิ่มผลตอบแทนรวม: ในบางกรณี แม้ราคาของคู่เงินจะผันผวนเล็กน้อย แต่ค่า Swap ที่เป็นบวกก็สามารถช่วยชดเชยหรือเพิ่มผลตอบแทนรวมให้กับการเทรดของคุณได้
ความเสี่ยงที่ควรระวังใน Carry Trade:
แม้ Carry Trade จะดูน่าสนใจ แต่ก็มีความเสี่ยงที่สำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจและบริหารจัดการ:
-
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน: นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดที่คุณต้องเผชิญ แม้คุณจะได้รับค่า Swap เป็นบวก แต่หากราคาของคู่สกุลเงินที่คุณถืออยู่เกิดการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดไว้ และทำให้คุณขาดทุนจากส่วนต่างราคา (Capital Loss) มากกว่าผลกำไรจากค่า Swap ทั้งหมดที่คุณได้รับมา การทำ Carry Trade ก็อาจไม่คุ้มค่า
-
การเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราดอกเบี้ย: ธนาคารกลางสามารถเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ตลอดเวลา หากธนาคารกลางของสกุลเงินที่คุณ “ให้กู้” ลดอัตราดอกเบี้ยลง หรือธนาคารกลางของสกุลเงินที่คุณ “ยืม” เพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้น ส่วนต่างดอกเบี้ยก็จะลดลง หรืออาจกลายเป็นลบได้ ส่งผลให้ผลกำไรจาก Swap ลดลง หรือกลายเป็นต้นทุนแทน
-
Liquidity Risk (ความเสี่ยงสภาพคล่อง): ในภาวะตลาดที่ไม่ปกติ หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สภาพคล่องในตลาดอาจลดลง ส่งผลให้การเข้าออกสถานะเป็นไปได้ยากขึ้น หรือมีต้นทุนสูงขึ้น
ดังนั้น การทำ Carry Trade ต้องอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มของนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของประเทศนั้นๆ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านราคาอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าผลกำไรจาก Swap จะไม่ถูกกลืนหายไปโดยความผันผวนของตลาด
สวอปในฐานะสัญญาอนุพันธ์: มากกว่าแค่ Forex – การแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในตลาดการเงิน
เมื่อเราพูดถึง “สวอป” เรามักจะนึกถึงค่า Swap ในการเทรด Forex เป็นอันดับแรก แต่ในบริบทที่กว้างกว่าของโลกการเงิน สวอปยังหมายถึง “สัญญาอนุพันธ์” (Derivative Contract) รูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาที่ตกลงแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคตระหว่างคู่สัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดตามสูตรที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การบริหารความเสี่ยงไปจนถึงการเก็งกำไร
สัญญาสวอปคืออะไร?
สัญญาสวอป คือข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย (หรือมากกว่า) ที่จะแลกเปลี่ยนชุดของกระแสเงินสดหรือสินทรัพย์ในอนาคต โดยยึดตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณการแลกเปลี่ยนนี้อาจเป็นอัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือตัวแปรทางการเงินอื่นๆ สัญญาสวอปไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั่วไป แต่เป็นสัญญาที่ตกลงกันแบบ Over-the-Counter (OTC) ระหว่างคู่สัญญา
ประเภทของสัญญาสวอปที่สำคัญ:
-
สัญญาสวอปอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap – IRS): นี่คือสัญญาสวอปที่พบได้บ่อยที่สุด โดยคู่สัญญาตกลงที่จะแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย โดยปกติแล้ว จะเป็นการแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) กับกระแสเงินสดดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) โดยมีจำนวนเงินต้นสมมติ (Notional Principal) เท่ากัน แต่ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนเงินต้นจริง
ตัวอย่าง: บริษัท A มีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว แต่ต้องการความแน่นอน จึงทำสัญญา IRS กับบริษัท B เพื่อจ่ายดอกเบี้ยคงที่ให้ B แลกกับการที่ B จ่ายดอกเบี้ยลอยตัวให้ A บนเงินต้นสมมติที่เท่ากัน ด้วยวิธีนี้ บริษัท A ก็จะสามารถล็อกต้นทุนดอกเบี้ยได้ และบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยได้
-
สัญญาสวอปเงินตราต่างประเทศ (Currency Swap – CS): สัญญานี้เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ยในสกุลเงินที่แตกต่างกันระหว่างคู่สัญญา โดยปกติแล้ว จะมีการแลกเปลี่ยนเงินต้น ณ วันเริ่มต้นสัญญา และมีการแลกเปลี่ยนดอกเบี้ยเป็นงวดๆ ในสกุลเงินที่ตกลงกัน และสุดท้ายจะมีการแลกเปลี่ยนเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนด
ตัวอย่าง: บริษัท X ในสหรัฐอเมริกาต้องการเงินยูโร และบริษัท Y ในยุโรปต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งสองบริษัทสามารถทำ Currency Swap กันได้ โดยแลกเปลี่ยนเงินต้นในสกุลเงินที่ต้องการ ณ วันเริ่มต้นสัญญา ชำระดอกเบี้ยเป็นงวดๆ ตามสกุลเงินที่ตนได้รับ และแลกเปลี่ยนเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด สัญญานี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในสกุลเงินที่ต้องการได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรง
นอกจากนี้ยังมีสัญญาสวอปประเภทอื่นๆ อีกมากมาย เช่น Commodity Swap (สวอปสินค้าโภคภัณฑ์) หรือ Credit Default Swap (สวอปความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในตลาดการเงิน เพื่อการบริหารความเสี่ยง การเก็งกำไร และการสร้างสภาพคล่อง สวอปจึงไม่ใช่แค่เรื่องของนักเทรดรายย่อยเท่านั้น แต่เป็นรากฐานสำคัญของระบบการเงินที่ซับซ้อนในระดับโลก
บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับ FX Swap: เครื่องมือบริหารสภาพคล่องของประเทศ
เราได้พูดถึงค่า Swap ในการเทรด Forex และสัญญาสวอปในฐานะอนุพันธ์ทางการเงินไปแล้ว คราวนี้เราจะมาดูบทบาทของสวอปในระดับมหภาค ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ นั่นคือการใช้ FX Swap (Foreign Exchange Swap) โดยธนาคารกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการบริหารจัดการสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
FX Swap ในมุมมองของธนาคารกลาง:
สำหรับธนาคารกลาง FX Swap ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ใช้ในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา และบริหารจัดการสภาพคล่องของสกุลเงินในประเทศ ธปท. ใช้ธุรกรรม FX Swap (โดยเฉพาะในรูปแบบ Sell/Buy swap) เพื่อเป้าหมายหลักดังนี้:
-
บริหารสภาพคล่องเงินบาท: ธปท. สามารถใช้ FX Swap เพื่อดูดซับหรือฉีดสภาพคล่องเงินบาทเข้าสู่ระบบ หากธปท. ต้องการลดสภาพคล่องเงินบาทในระบบ ก็จะทำธุรกรรม Sell/Buy swap คือขายเงินดอลลาร์สหรัฐออกไป (ได้