RSI คืออะไร: คู่มือทำความเข้าใจ Relative Strength Index สำหรับนักลงทุนมือใหม่
ในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะการซื้อขายในตลาดการเงินที่ผันผวน การมีเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงพละกำลังที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคานั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ คุณคงเคยเห็นกราฟราคาที่วิ่งขึ้นวิ่งลงอย่างรวดเร็ว แล้วเคยสงสัยไหมว่าช่วงไหนคือช่วงที่ราคาวิ่งแรงเกินไป หรือช่วงไหนคือช่วงที่ราคากำลังจะหมดแรงและอาจมีการพักตัว?
หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีประโยชน์อย่างมากในการตอบคำถามเหล่านี้ก็คือ Relative Strength Index (RSI) หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า RSI นั่นเองครับ บทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ RSI ให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่ว่า ค่า rsi คือ อะไร ทำงานอย่างไร ไปจนถึงวิธีการนำไปใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อขายของคุณ
ทำความรู้จักกับ Relative Strength Index (RSI): ตัวชี้วัดโมเมนตัมยอดนิยม
RSI เป็นตัวชี้วัดประเภท โมเมนตัม ออสซิลเลเตอร์ (Momentum Oscillator) พัฒนาขึ้นโดยคุณ J. Welles Wilder Jr. ในปี 1978 ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดตัวชี้วัดทางเทคนิคที่สำคัญอีกหลายตัว RSI ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความเร็วและความเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง พูดง่ายๆ คือ มันพยายามบอกเราว่า แรงซื้อ หรือ แรงขาย ในช่วงที่ผ่านมานั้นแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อเทียบกัน
ค่าของ RSI จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงจำกัด คือระหว่าง 0 ถึง 100 เท่านั้น ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้มันแตกต่างจากตัวชี้วัดโมเมนตัมตัวอื่นๆ ที่ค่าอาจจะไม่มีขอบเขตจำกัด การที่มีขอบเขตชัดเจน ทำให้เราสามารถกำหนดระดับที่บ่งชี้ถึงภาวะที่เรียกว่า Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป) ได้อย่างชัดเจน
การทำงานพื้นฐานของ RSI คือการนำค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงราคาในด้านบวก (ราคาขึ้น) มาเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงราคาในด้านลบ (ราคาลง) ในช่วงเวลาที่กำหนด ยิ่งราคาขึ้นแรงในรอบที่กำหนด ค่า RSI ก็จะยิ่งเข้าใกล้ 100 และในทางกลับกัน ถ้าราคาลงแรง ค่า RSI ก็จะยิ่งเข้าใกล้ 0
การคำนวณพื้นฐานของ RSI: เข้าใจหลักการทำงาน
แม้ว่าซอฟต์แวร์การเทรดส่วนใหญ่จะคำนวณค่า RSI ให้เราโดยอัตโนมัติ แต่การเข้าใจหลักการคำนวณพื้นฐานจะช่วยให้เราตีความสัญญาณจาก RSI ได้ดียิ่งขึ้นครับ RSI คำนวณจากสูตร:
RSI = 100 - [100 / (1 + RS)]
โดยที่ RS ย่อมาจาก Relative Strength ซึ่งคำนวณจาก:
RS = ค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด / ค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงราคาลงในช่วงเวลาที่กำหนด
ช่วงเวลาที่กำหนดนี้เป็นค่าที่เราสามารถปรับตั้งได้ ค่ามาตรฐานที่ J. Welles Wilder แนะนำคือ 14 (เช่น 14 วัน, 14 ชั่วโมง, หรือ 14 แท่งเทียน) แต่นักเทรดหลายคนก็อาจปรับเปลี่ยนค่านี้ให้เหมาะกับสินทรัพย์หรือกรอบเวลาที่ตัวเองใช้เทรด ตัวอย่างเช่น อาจใช้ 9 สำหรับกรอบเวลาสั้นลง หรือ 21 สำหรับกรอบเวลาที่ยาวขึ้น
การคำนวณค่าเฉลี่ยนี้โดยทั่วไปจะใช้เทคนิค Exponential Moving Average (EMA) เพื่อให้น้ำหนักกับข้อมูลราคาล่าสุดมากกว่าข้อมูลเก่า แต่หลักการสำคัญที่คุณต้องจำไว้คือ RSI เปรียบเทียบ “แรงขึ้น” กับ “แรงลง” ในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งแรงขึ้นมากกว่า แรงลง ค่า RSI ก็จะสูง และกลับกันครับ
Overbought และ Oversold: สัญญาณเตือนจาก RSI ที่ควรรู้
นี่คือการใช้งาน RSI ที่เป็นที่รู้จักและเข้าใจง่ายที่สุดครับ RSI ช่วยให้เราเห็นภาพว่าสินทรัพย์ที่เรากำลังดูกำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ Oversold (ขายมากเกินไป) หรือไม่ ระดับมาตรฐานที่นิยมใช้กันคือ:
- ภาวะ Overbought: เมื่อค่า RSI สูงกว่า 70
- ภาวะ Oversold: เมื่อค่า RSI ต่ำกว่า 30
เมื่อ RSI อยู่ในโซน Overbought (เหนือ 70) มันบ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์นั้นๆ ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วและอาจจะ ‘หมดแรง’ ในการขึ้นแล้ว มีโอกาสสูงที่ราคาจะเกิดการ ปรับฐาน หรือกลับตัวลงในไม่ช้า เปรียบเสมือนรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงต่อเนื่องมายาวนาน เครื่องอาจจะเริ่มร้อนจัดและต้องการพักเครื่องครับ
ในทางกลับกัน เมื่อ RSI อยู่ในโซน Oversold (ต่ำกว่า 30) มันบ่งชี้ว่าราคาได้ปรับตัวลงมาอย่างรุนแรงและอาจจะ ‘หมดแรง’ ในการลงแล้ว มีโอกาสที่ราคาจะ ดีดตัวขึ้น กลับมาในไม่ช้า เปรียบเหมือนสปริงที่ถูกกดลงไปจนสุดแล้ว กำลังรอที่จะดีดตัวกลับขึ้นมา
กลยุทธ์พื้นฐานการใช้ RSI กับ Overbought/Oversold
จากความเข้าใจเรื่อง Overbought และ Oversold นำมาสู่กลยุทธ์การเทรดพื้นฐานโดยใช้ RSI ซึ่งค่อนข้างตรงไปตรงมา:
- เมื่อ RSI เข้าสู่โซน Overbought (เหนือ 70) ให้พิจารณาเป็น สัญญาณขาย หรือ ชะลอการเข้าซื้อ
- เมื่อ RSI เข้าสู่โซน Oversold (ต่ำกว่า 30) ให้พิจารณาเป็น สัญญาณซื้อ หรือ ชะลอการขาย
อย่างไรก็ตาม การใช้สัญญาณนี้เพียงอย่างเดียวอาจมีความเสี่ยงสูงครับ เหมือนกับการพยายามจับมีดที่กำลังหล่นลงมา หรือกระโดดขึ้นรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูง สัญญาณ Overbought ไม่ได้แปลว่าราคาจะต้องลงทันที และ Oversold ก็ไม่ได้แปลว่าราคาจะต้องขึ้นทันที โดยเฉพาะในตลาดที่มี แนวโน้ม แข็งแกร่ง
ใน แนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ค่า RSI อาจคงอยู่ในโซน Overbought (70-80 หรือสูงกว่า) ได้เป็นเวลานาน ก่อนที่ราคาจะพักตัวจริงๆ ในทำนองเดียวกัน ใน แนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง ค่า RSI อาจคงอยู่ในโซน Oversold (30-20 หรือต่ำกว่า) ได้ยาวนานเช่นกัน ดังนั้น การดูเพียงแค่ RSI เข้าโซน Overbought หรือ Oversold แล้วทำการซื้อขายทันที อาจทำให้คุณติดดอย (ซื้อราคาสูงสุด) หรือคัทลอส (ขายราคาต่ำสุด) ได้ครับ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องพิจารณา RSI ควบคู่กับปัจจัยอื่นๆ เสมอ ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป แต่ก่อนหน้านั้น มาดูอีกหนึ่งสัญญาณทรงพลังจาก RSI นั่นคือ Divergence ครับ
Divergence: สัญญาณการกลับตัวที่ซ่อนอยู่ใน RSI
นอกจากการดูภาวะ Overbought และ Oversold แล้ว สัญญาณที่ทรงพลังและแม่นยำกว่าสำหรับการคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้มคือ Divergence (ภาวะขัดแย้ง) ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและค่า RSI ครับ Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ แต่ RSI กลับไม่สามารถทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ตามราคาได้ ซึ่งบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของโมเมนตัมที่ซ่อนอยู่
มี Divergence อยู่สองประเภทหลักๆ ที่นักเทรดนิยมใช้:
1. Bullish Divergence (ภาวะขัดแย้งเชิงบวก): สัญญาณซื้อที่มีนัยสำคัญ
Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อ:
ราคาทำ จุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low)
ในขณะที่ RSI กลับทำ จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low)
สถานการณ์นี้บ่งชี้ว่า แม้ราคาจะลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่แรงขายที่ผลักดันให้ราคาลงนั้นกำลังอ่อนแอลงแล้ว (RSI ไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ตามราคาได้) นี่เป็นสัญญาณเตือนที่มีนัยสำคัญว่า แนวโน้มขาลงอาจใกล้สิ้นสุดลง และมีโอกาสสูงที่ราคาจะ กลับตัวเป็นขาขึ้น ในไม่ช้าครับ การพบ Bullish Divergence มักถูกใช้เป็นสัญญาณในการพิจารณาเข้าซื้อ
2. Bearish Divergence (ภาวะขัดแย้งเชิงลบ): สัญญาณขายที่มีนัยสำคัญ
Bearish Divergence เกิดขึ้นเมื่อ:
ราคาทำ จุดสูงสุดใหม่ (Higher High)
ในขณะที่ RSI กลับทำ จุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High)
สถานการณ์นี้บ่งชี้ว่า แม้ราคาจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ แต่แรงซื้อที่ผลักดันให้ราคาขึ้นนั้นกำลังอ่อนแรงลงแล้ว (RSI ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ตามราคาได้) นี่เป็นสัญญาณเตือนที่มีนัยสำคัญว่า แนวโน้มขาขึ้นอาจใกล้สิ้นสุดลง และมีโอกาสสูงที่ราคาจะ กลับตัวเป็นขาลง ในไม่ช้าครับ การพบ Bearish Divergence มักถูกใช้เป็นสัญญาณในการพิจารณาขาย
การเทรดตามสัญญาณ Divergence ถือเป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างก้าวหน้าและต้องการการฝึกฝนในการสังเกตบนกราฟ สัญญาณ Divergence ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น (เช่น กราฟรายวัน) มักจะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าสัญญาณที่เกิดขึ้นในกรอบเวลาที่เล็กกว่าครับ
ข้อควรระวังในการใช้ RSI เพียงตัวเดียว
ถึงแม้ RSI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก แต่เราขอย้ำเตือนว่าการใช้ RSI เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจซื้อขายนั้นมีความเสี่ยงสูงมากครับ เปรียบเหมือนการขับรถโดยดูแค่มาตรวัดความเร็วอย่างเดียว คุณอาจจะรู้ว่าขับเร็วแค่ไหน แต่ไม่รู้ว่ากำลังจะเลี้ยว หรือมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า
RSI สามารถให้ สัญญาณหลอก (False Signals) ได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนและรุนแรง ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วว่าในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง RSI สามารถอยู่ในโซน Overbought ได้นาน และในแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง RSI ก็สามารถอยู่ในโซน Oversold ได้นานเช่นกัน หากคุณเทรดตามสัญญาณ Overbought/Oversold ทันทีโดยไม่ดูปัจจัยอื่น ประกอบ คุณอาจเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ RSI อาจให้สัญญาณซื้อขายบ่อยครั้ง (Noise) ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง (Sideways) ทำให้เกิดการซื้อขายที่ไม่มีประสิทธิภาพและอาจขาดทุนได้ง่าย การพึ่งพา RSI เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอสำหรับการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ
เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่น
เพื่อให้การวิเคราะห์ของคุณมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้น เราแนะนำอย่างยิ่งให้คุณใช้ RSI ควบคู่ไปกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ครับ นี่คือหลักการสำคัญของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือการใช้เครื่องมือหลายตัวเพื่อยืนยันสัญญาณซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนการมีแผนที่ GPS และป้ายบอกทางควบคู่กันไป ย่อมทำให้คุณเดินทางถึงที่หมายได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยกว่า
นี่คือแนวทางที่คุณสามารถใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ได้:
- ดูแนวโน้มหลัก: ก่อนที่จะดูสัญญาณจาก RSI ให้ระบุ แนวโน้ม หลักของราคาเสียก่อน โดยอาจใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA) หรือพิจารณาตามหลัก ทฤษฎีดาว (Dow Theory) หาก RSI ให้สัญญาณซื้อ (Oversold หรือ Bullish Divergence) ในขณะที่แนวโน้มหลักยังเป็นขาลงที่ชัดเจน สัญญาณนั้นอาจเป็นเพียงการรีบาวด์สั้นๆ ไม่ใช่การกลับตัวจริงจัง ในทางกลับกัน หาก RSI ให้สัญญาณขาย (Overbought หรือ Bearish Divergence) ในขณะที่แนวโน้มหลักยังเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง สัญญาณนั้นอาจเป็นเพียงการพักตัวเล็กน้อย
- ใช้ร่วมกับแนวรับ-แนวต้าน: พิจารณาสัญญาณจาก RSI เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ เช่น หากราคาลงมาที่แนวรับสำคัญและ RSI แสดงภาวะ Oversold พร้อมด้วยสัญญาณ Bullish Divergence นี่อาจเป็นสัญญาณซื้อที่ทรงพลัง
- ใช้ร่วมกับรูปแบบราคา (Chart Patterns) และแท่งเทียน (Candlesticks): สัญญาณ Divergence จาก RSI ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการก่อตัวของรูปแบบราคากลับตัว (เช่น Double Bottom, Head and Shoulders Top) หรือรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (เช่น Hammer, Engulfing Pattern) จะเพิ่มน้ำหนักและความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณอย่างมาก
- ใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ: คุณสามารถใช้ RSI ร่วมกับตัวชี้วัดโมเมนตัมหรือแนวโน้มอื่นๆ ได้ เช่น MACD, Bollinger Bands, Ichimoku Cloud หรือ Commodity Channel Index (CCI) เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น
การผสมผสาน RSI เข้ากับการวิเคราะห์ในมิติอื่นๆ จะช่วยให้คุณสามารถกรองสัญญาณหลอก และเพิ่มโอกาสในการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่รองรับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเหล่านี้อย่างครบถ้วนและช่วยให้คุณวิเคราะห์กราฟได้อย่างสะดวกสบาย รวมถึงกำลังพิจารณาเริ่มต้น การเทรดฟอเร็กซ์ หรือสำรวจ สินค้า CFD อื่นๆ แพลตฟอร์ม Moneta Markets เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจครับ แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลีย ให้บริการสินค้าการเงินมากกว่า 1,000 รายการ และรองรับแพลตฟอร์มเทรดชั้นนำอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ซึ่งมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ รวมถึง RSI ให้คุณใช้งานได้อย่างเต็มที่
การปรับค่า RSI ให้เหมาะกับสถานการณ์
แม้ค่ามาตรฐาน 14 จะเป็นที่นิยม แต่คุณสามารถทดลองปรับค่า RSI ให้เหมาะสมกับสินทรัพย์และกรอบเวลาที่คุณเทรดได้ครับ
- ค่า RSI ที่น้อยลง (เช่น 9 หรือ 7): จะทำให้ RSI มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคามากขึ้น แกว่งตัวแรงขึ้น และให้สัญญาณซื้อขายบ่อยขึ้น เหมาะสำหรับนักเทรดระยะสั้นหรือ Scalping แต่ก็อาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายขึ้น
- ค่า RSI ที่มากขึ้น (เช่น 21 หรือ 28): จะทำให้ RSI มีความไวน้อยลง แกว่งตัวนุ่มนวลขึ้น และให้สัญญาณซื้อขายที่น้อยลง แต่มีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น เหมาะสำหรับนักเทรดระยะยาวหรือ Swing Trading
การเลือกค่าที่เหมาะสมต้องอาศัยการทดลองย้อนหลัง (Backtesting) กับสินทรัพย์ที่คุณสนใจ เพื่อดูว่าค่า RSI ใดให้สัญญาณที่มีประสิทธิภาพที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
RSI กับตลาดที่แตกต่างกัน (เช่น ตลาดหุ้น vs ตลาดคริปโทฯ)
หลักการพื้นฐานของ RSI สามารถนำไปใช้ได้กับตลาดการเงินหลากหลายประเภท ทั้ง ตลาดหุ้น, ตลาดฟอเร็กซ์, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่ ตลาดคริปโทฯ ที่มีความผันผวนสูง เช่น Bitcoin อย่างไรก็ตาม ลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาดอาจส่งผลต่อการตีความสัญญาณ RSI เล็กน้อย
ตลาดคริปโทฯ มักมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นหรือฟอเร็กซ์ ในช่วงที่ราคาเหวี่ยงแรงมากๆ ค่า RSI อาจเข้าสู่โซน Overbought หรือ Oversold ได้รวดเร็วและค้างอยู่ในโซนนั้นนานกว่าปกติ การพิจารณาสัญญาณ Divergence หรือการใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมือที่เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนสูง (เช่น Average True Range – ATR เพื่อวัดความผันผวน) อาจเป็นประโยชน์มากขึ้นในการเทรดคริปโทฯ ด้วย RSI
ไม่ว่าคุณจะเทรดสินทรัพย์ใด สิ่งสำคัญคือการเข้าใจหลักการพื้นฐานของ RSI และปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของตลาดนั้นๆ ครับ
สรุป: RSI เครื่องมือคู่ใจที่ต้องใช้ให้เป็น
ค่า rsi คือ ตัวชี้วัดโมเมนตัมที่ทรงพลังและมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนและนักเทรดทุกระดับครับ มันช่วยให้เรามองเห็นภาพของพละกำลังที่ขับเคลื่อนราคา และบ่งชี้ถึงภาวะ Overbought/Oversold ที่อาจนำไปสู่การพักตัวหรือดีดตัว รวมถึงสัญญาณ Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวของแนวโน้มที่มีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ดังที่เราได้เน้นย้ำไปแล้ว การใช้ RSI เพียงตัวเดียวอาจมีความเสี่ยงสูงและอาจทำให้คุณพลาดโอกาสหรือติดสัญญาณหลอกได้เสมอ หัวใจสำคัญของการนำ RSI ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ การใช้มัน ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ และพิจารณา แนวโน้มหลัก ของตลาดเสมอ เพื่อให้การตัดสินใจซื้อขายของคุณมีความแม่นยำและรอบคอบยิ่งขึ้น
การศึกษาเรียนรู้และฝึกฝนการอ่านสัญญาณจาก RSI บนกราฟจริงอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือนี้มากขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการซื้อขายในตลาดต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ ขอให้คุณสนุกกับการเรียนรู้และนำ RSI ไปใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ!
ประเภท RSI | ค่า | ความหมาย |
---|---|---|
Overbought | มากกว่า 70 | สินทรัพย์อาจถูกซื้อมากเกินไป ต้องระวังการปรับฐาน |
Neutral | ระหว่าง 30-70 | ตลาดไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน ทั้งการซื้อและขายอยู่ในระดับปกติ |
Oversold | ต่ำกว่า 30 | สินทรัพย์อาจถูกขายมากเกินไป มีโอกาสดีดตัวกลับ |
ประเภท Divergence | ราคา | RSI |
---|---|---|
Bullish Divergence | ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ | RSI ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น |
Bearish Divergence | ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ | RSI ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง |
กลยุทธ์ RSI | เมื่อ RSI อยู่ในโซน | การกระทำที่แนะนำ |
---|---|---|
Overbought | สูงกว่า 70 | สัญญาณขาย หรือ ชะลอการเข้าซื้อ |
Oversold | ต่ำกว่า 30 | สัญญาณซื้อ หรือ ชะลอการขาย |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่า rsi คือ
Q:ค่า RSI ควรตั้งค่าเป็นเท่าไหร่?
A:ค่ามาตรฐานที่นิยมคือ 14 แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของนักเทรด
Q: RSI ให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตลาด?
A:สามารถบอกสถานการณ์ Overbought และ Oversold ในตลาดซึ่งแสดงถึงโอกาสในการซื้อขาย
Q:ควรใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่นไหม?
A:ใช่, การใช้ RSI ควบคู่กับเครื่องมืออื่นจะช่วยให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำมากขึ้น