วิกฤต Credit Suisse: บทเรียนจากธนาคารยักษ์ใหญ่ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นในระบบการเงินโลก
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่บทความเชิงลึกที่เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สั่นคลอนตลาดการเงินโลกเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือวิกฤตและการเข้าซื้อกิจการของธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) โดยธนาคารยูบีเอส (UBS) เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ข่าวการเงินทั่วไป แต่เป็นกรณีศึกษาที่ให้บทเรียนอันมีค่าเกี่ยวกับความเปราะบางของระบบธนาคารและความสำคัญของ ‘ความเชื่อมั่น‘ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจการเงิน
ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และต้องการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจการเงินที่ซับซ้อน เราเชื่อว่าการทำความเข้าใจเรื่องราวของ Credit Suisse จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพใหญ่ของตลาดการเงิน และเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตได้ดีขึ้น เราจะค่อยๆ แกะรอยเรื่องนี้ไปพร้อมกันทีละขั้นตอน เหมือนกับการถอดบทเรียนจากผู้เชี่ยวชาญทีละบทครับ
การที่ Credit Suisse เป็นธนาคารที่มีประวัติยาวนานและขนาดใหญ่ ทำให้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ หรือที่เรียกว่า Systemically Important Financial Institution (SIFI) ในระดับโลก นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน Bulge Bracket Bank ซึ่งหมายถึงกลุ่มธนาคารวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในการทำดีลใหญ่ๆ ระดับโลก การเป็น SIFI นี้เองที่ทำให้ปัญหาของ Credit Suisse ไม่ใช่แค่ปัญหาของธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบลูกโซ่ต่อระบบการเงินโลกได้ เพราะการล้มลงของ SIFI อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนและลุกลามไปสู่สถาบันการเงินอื่นๆ
ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่และมีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินทั่วโลก ทั้งในแง่ของการปล่อยสินเชื่อ การทำธุรกรรมต่างๆ การเป็นคู่สัญญาในสัญญาอนุพันธ์ หรือแม้แต่การดูแลสินทรัพย์ให้กับลูกค้าทั่วโลก ทำให้เมื่อ Credit Suisse เผชิญปัญหา ความกังวลก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในตลาดการเงิน นักลงทุนและผู้เล่นในตลาดต่างจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะไม่แน่ใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะขยายวงกว้างไปถึงไหน และจะกระทบกับ ‘ความเชื่อมั่น‘ ในระบบธนาคารในภาพรวมหรือไม่
ข้อมูล | รายละเอียด |
---|---|
ก่อตั้ง | ปี ค.ศ. 1856 |
ผู้ก่อตั้ง | นายอัลเฟรด เอสเชอร์ |
อุตสาหกรรมหลัก | ธนาคาร, การบริหารการเงิน |
รู้จัก Credit Suisse: ธนาคารเก่าแก่แห่งสวิตเซอร์แลนด์
ก่อนจะไปถึงวิกฤต เรามารู้จัก Credit Suisse กันก่อน ธนาคารแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1856 โดยนายอัลเฟรด เอสเชอร์ (Alfred Escher) เดิมใช้ชื่อว่า Schweizerische Kreditanstalt (SKA) ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า ‘สถาบันสินเชื่อแห่งสวิส’ จุดประสงค์แรกเริ่มของการก่อตั้งไม่ได้เน้นธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อยแบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน แต่มีเป้าหมายหลักคือการจัดหาเงินทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เช่น ระบบรถไฟ ที่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศในยุคนั้น
ตลอดระยะเวลากว่า 160 ปี Credit Suisse เติบโตและขยายธุรกิจไปทั่วโลก จากธนาคารท้องถิ่นในสวิตเซอร์แลนด์ สู่สถาบันการเงินระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management หรือ Private Banking) และการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management) การเดินทางที่ยาวนานนี้ทำให้ Credit Suisse กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของภาคการเงินสวิสและเป็นผู้เล่นคนสำคัญในตลาดการเงินระหว่างประเทศ
ปัจจัยความสำคัญ | รายละเอียด |
---|---|
ระบบการเงิน | จัดอยู่ในหมวด SIFI |
บทบาท | หนึ่งใน Bulge Bracket Bank |
ความเชื่อมโยง | กับสถาบันการเงินทั่วโลก |
บทบาทและความสำคัญในเวทีการเงินโลก: ทำไมการสั่นคลอนของ Credit Suisse จึงน่าจับตา
การที่ Credit Suisse เป็นธนาคารที่มีประวัติยาวนานและขนาดใหญ่ ทำให้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ หรือที่เรียกว่า Systemically Important Financial Institution (SIFI) ในระดับโลก นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน Bulge Bracket Bank ซึ่งหมายถึงกลุ่มธนาคารวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในการทำดีลใหญ่ๆ ระดับโลก การเป็น SIFI นี้เองที่ทำให้ปัญหาของ Credit Suisse ไม่ใช่แค่ปัญหาของธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบลูกโซ่ต่อระบบการเงินโลกได้ เพราะการล้มลงของ SIFI อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนและลุกลามไปสู่สถาบันการเงินอื่นๆ
ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่และมีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินทั่วโลก ทั้งในแง่ของการปล่อยสินเชื่อ การทำธุรกรรมต่างๆ การเป็นคู่สัญญาในสัญญาอนุพันธ์ หรือแม้แต่การดูแลสินทรัพย์ให้กับลูกค้าทั่วโลก ทำให้เมื่อ Credit Suisse เผชิญปัญหา ความกังวลก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในตลาดการเงิน นักลงทุนและผู้เล่นในตลาดต่างจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะไม่แน่ใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะขยายวงกว้างไปถึงไหน และจะกระทบกับ ‘ความเชื่อมั่น‘ ในระบบธนาคารในภาพรวมหรือไม่
ความสำคัญของ Credit Suisse | ผลกระทบที่คาดการณ์ |
---|---|
ผู้เล่นหลักในตลาดการเงินโลก | อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน |
ระบบเชื่อมโยงกับอื่นๆ | อาจก่อให้เกิดการลุกลามของปัญหา |
การสร้างความเชื่อมั่น | จำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อฟื้นคืน |
ปัญหาสั่งสมภายใน: จุดเริ่มต้นของความอ่อนแอเรื้อรัง
เรื่องราวความอ่อนแอของ Credit Suisse ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลพวงจากปัญหาที่สั่งสมมานานหลายปี และยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าธนาคารแห่งนี้ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2021 และ 2022 ซึ่งเป็นปีที่ขาดทุนหนักที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2008
สาเหตุหลักของปัญหามาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน interwoven กัน ทั้งในด้านการบริหารจัดการที่ดูเหมือนจะอ่อนแอ การควบคุมภายใน (Internal Control) ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และประเด็นอื้อฉาวต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปัญหาเหล่านี้บ่อนเซาะฐานะทางการเงินและที่สำคัญคือ ‘ความเชื่อมั่น‘ ของนักลงทุน ลูกค้า และสาธารณชนต่อธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกที่รุนแรง สถานการณ์ของ Credit Suisse จึงเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างรวดเร็ว
เจาะลึกเหตุการณ์อื้อฉาวและการบริหารจัดการที่ผิดพลาด
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Credit Suisse เสียหายหนักคือประวัติการเข้าไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวและปัญหาทางกฎหมายที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นกรณีต่างๆ ที่สร้างความเสียหายทั้งในด้านชื่อเสียงและตัวเลขทางการเงิน เช่น การขาดทุนมหาศาลจากการล้มลงของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Archegos Capital Management ในปี 2021 ซึ่ง Credit Suisse เป็นหนึ่งในผู้ให้สินเชื่อรายใหญ่และได้รับผลกระทบโดยตรง หรือกรณีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทการเงิน Greensill Capital ที่ล้มละลายเช่นกัน ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ธนาคารเข้าไปรับไว้ และกระบวนการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่อาจยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ เช่น การถูกปรับจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศต่างๆ จากข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หรือปัญหาข้อมูลภายในลูกค้ารั่วไหล เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในระดับการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) และการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายจำนวนมากทั้งจากค่าปรับ ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย และที่สำคัญคือการสูญเสีย ‘ความเชื่อมั่น‘ ของลูกค้า Private Banking ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและเป็นจุดแข็งในอดีตของธนาคาร
เหตุการณ์สำคัญ | ผลกระทบ |
---|---|
กรณี Archegos Capital | ขาดทุนมหาศาล |
กรณี Greensill Capital | ถูกผลกระทบทางการเงิน |
การตรวจสอบหน่วยงานกำกับดูแล | การสูญเสียชื่อเสียง |
ผลประกอบการที่ทรุดลง: สัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม
ตัวเลขผลประกอบการเป็นเหมือนกระจกสะท้อนสุขภาพทางการเงินขององค์กร และสำหรับ Credit Suisse ตัวเลขเหล่านี้ส่งสัญญาณเตือนภัยมาตลอดในช่วงหลายปีหลัง การขาดทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ในปีหรือสองปี แต่เป็นแนวโน้มที่ยาวนาน สร้างความกังวลให้กับผู้ถือหุ้นและนักวิเคราะห์ ตัวเลขขาดทุนสะสมแสดงให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในธุรกิจบางส่วน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น
ในช่วงปลายปี 2022 สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อ Credit Suisse เผชิญปัญหาลูกค้าแห่ถอนเงินฝากจำนวนมาก (Bank Run แบบช้าๆ แต่สร้างแรงกดดันมหาศาล) ในไตรมาส 4 ปี 2022 เพียงไตรมาสเดียว ธนาคารเผชิญกับยอดการถอนเงินสุทธิกว่า 1.1 แสนล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลและส่งผลกระทบอย่างหนักต่อฐานะสภาพคล่อง (Liquidity) ของธนาคาร สถานการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำว่า ‘ความเชื่อมั่น‘ ของลูกค้าได้ลดน้อยถอยลงไปถึงจุดวิกฤตแล้ว
แรงกดดันจากภายนอก: เมื่อวิกฤต SVB สั่นคลอนความเชื่อมั่น
ในขณะที่ Credit Suisse กำลังเผชิญกับปัญหาภายในและการถอนเงินอย่างหนักหน่วงอยู่แล้ว สถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งโหมกระพือความกังวลให้เพิ่มมากขึ้น การล้มลงอย่างกะทันหันของธนาคารขนาดกลางในสหรัฐฯ อย่าง Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank ในเดือนมีนาคม 2023 สร้างความตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลก และทำให้เกิดคำถามว่าปัญหาในภาคธนาคารของสหรัฐฯ จะลุกลาม (Contagion) ไปถึงสถาบันการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะในยุโรปหรือไม่?
แม้ปัญหาของ Credit Suisse และ SVB จะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน (ของ SVB หลักๆ มาจากปัญหาการบริหารจัดการอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงในพอร์ตพันธบัตร ส่วน Credit Suisse มาจากปัญหาภายในเชิงโครงสร้างและเรื่องอื้อฉาว) แต่ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวเช่นนั้น การล้มของ SVB ก็ทำให้นักลงทุนหันมาจับตามองความแข็งแกร่งของธนาคารอื่นๆ ที่ดูมีปัญหาอยู่แล้ว และ Credit Suisse ก็เป็นหนึ่งในนั้น ความกังวลเกี่ยวกับ ‘ความเชื่อมั่น‘ ในระบบธนาคารโดยรวมได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาหุ้นของ Credit Suisse ดิ่งลงอย่างรุนแรง และค่า Credit Default Swap (CDS) ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของธนาคาร ก็พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่กับการตัดสินใจที่ไม่เพิ่มทุน: ฟางเส้นสุดท้าย
ท่ามกลางบรรยากาศความไม่แน่นอนและความกังวลที่ปกคลุม Credit Suisse อยู่แล้ว เหตุการณ์สำคัญที่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สถานการณ์เข้าสู่จุดวิกฤตอย่างแท้จริง คือการแสดงความเห็นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของธนาคาร นั่นคือ Saudi National Bank (SNB) ซึ่งถือหุ้น Credit Suisse อยู่ประมาณ 9.9% ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2023 ประธานของ Saudi National Bank ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะไม่เพิ่มเงินทุนให้ Credit Suisse อีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
คำพูดนี้สร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลในตลาดการเงิน เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนเพิ่มเติมในช่วงเวลาที่ธนาคารต้องการ ‘ความเชื่อมั่น‘ มากที่สุด นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าสถานการณ์ของ Credit Suisse นั้นวิกฤตจริง และทำให้ราคาหุ้นของธนาคารร่วงลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก และนำไปสู่การเข้าแทรกแซงอย่างเร่งด่วนของทางการสวิส
แผนช่วยเหลือฉุกเฉิน: บทบาทของทางการสวิสในการรักษาเสถียรภาพ
เมื่อสถานการณ์ของ Credit Suisse เข้าขั้นวิกฤตและเริ่มส่งผลกระทบต่อ ‘ความเชื่อมั่น‘ ในระบบการเงินสวิสและระดับโลก หน่วยงานกำกับดูแลของสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งชาติสวิส (Swiss National Bank – SNB) ซึ่งเป็นธนาคารกลาง และหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินสวิส (FINMA) ก็ต้องเข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ในช่วงแรก SNB ได้ประกาศพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่ Credit Suisse หากจำเป็น เพื่อลดความกังวลและสร้าง ‘ความเชื่อมั่น‘ กลับคืนมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤต ทางการสวิสจึงตัดสินใจว่ามาตรการให้สภาพคล่องเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีทางออกที่ถาวรและเด็ดขาดกว่านั้น เพื่อป้องกันการล้มของ SIFI และรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและของโลก ดีลการเข้าซื้อกิจการโดย UBS ซึ่งเป็นธนาคารคู่แข่งรายใหญ่และเป็น SIFI อีกแห่งของสวิตเซอร์แลนด์ จึงถูกผลักดันขึ้นมาอย่างเร่งด่วน โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ
ประเภทการสนับสนุน | รายละเอียด |
---|---|
การค้ำประกันความสูญเสีย | สูงถึง 9 พันล้านฟรังก์สวิส |
การสนับสนุนสภาพคล่อง | สูงถึง 100 พันล้านฟรังก์สวิส |
การจัดการกับพันธบัตร AT1 | การตัดมูลค่าเป็นศูนย์ |
ดีลประวัติศาสตร์: UBS เข้าซื้อกิจการ Credit Suisse
ในที่สุด ภายใต้การอำนวยการและสนับสนุนจากรัฐบาลสวิส ธนาคารกลาง (SNB) และหน่วยงานกำกับดูแล (FINMA) ธนาคารยูบีเอส (UBS) ได้บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2023 ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงฉุกเฉินที่ถูกเร่งรัดให้เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อป้องกันวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในวันจันทร์ถัดมา
รายละเอียดสำคัญของดีลนี้คือ UBS จะเข้าซื้อกิจการ Credit Suisse ในราคา 3 พันล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 3.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาดของ Credit Suisse อย่างมากก่อนที่จะเกิดวิกฤต ผู้ถือหุ้นเดิมของ Credit Suisse จะได้รับหุ้นของ UBS ในอัตราส่วน 1 หุ้น UBS ต่อ 22.48 หุ้น Credit Suisse เดิม ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อรวมสองธนาคารยักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์เข้าด้วยกันภายใต้ร่มของ UBS เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงินและปกป้องเศรษฐกิจสวิสจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
การค้ำประกันและการสนับสนุนจากภาครัฐ: ต้นทุนแห่งความมั่นคง
เพื่อให้ดีลการเข้าซื้อกิจการครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่ UBS ต้องแบกรับจากการเข้าซื้อกิจการ Credit Suisse ที่มีปัญหา รัฐบาลสวิสและธนาคารแห่งชาติสวิส (SNB) ได้ให้การสนับสนุนที่สำคัญหลายอย่าง
-
การค้ำประกันความสูญเสีย: รัฐบาลสวิสให้การค้ำประกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับ UBS จากสินทรัพย์บางส่วนของ Credit Suisse เป็นจำนวนเงินสูงถึง 9 พันล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยรัฐบาลจะรับความเสี่ยงหลังจากที่ UBS รับความสูญเสียส่วนแรกไปแล้ว 5 พันล้านฟรังก์สวิส การค้ำประกันนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในบัญชีของ Credit Suisse สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อ UBS ในอนาคต
-
การสนับสนุนสภาพคล่อง: ธนาคารแห่งชาติสวิส (SNB) ให้การสนับสนุนสภาพคล่องเพิ่มเติมแก่ UBS เป็นจำนวนเงินสูงถึง 100 พันล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นการให้กู้ยืมภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เพื่อให้ UBS มีเงินสดเพียงพอในการบริหารจัดการและบูรณาการ Credit Suisse เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น
-
การจัดการกับพันธบัตร AT1: หน่วยงานกำกับดูแล FINMA ได้ตัดสินใจที่จะตัดมูลค่าของพันธบัตร Additional Tier 1 (AT1) ที่ Credit Suisse ออกมาทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 1.6 หมื่นล้านฟรังก์สวิส ให้เหลือศูนย์ การตัดสินใจนี้สร้างความประหลาดใจและไม่พอใจให้กับนักลงทุนที่ถือพันธบัตรประเภทนี้อย่างมาก เพราะตามหลักการทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นสามัญควรจะเป็นกลุ่มแรกที่รับความสูญเสียก่อนผู้ถือพันธบัตร แต่ในกรณีนี้ผู้ถือพันธบัตร AT1 กลับต้องรับความสูญเสียทั้งหมด ในขณะที่ผู้ถือหุ้นสามัญยังได้รับค่าตอบแทน (แม้จะน้อยนิด) จากดีลการเข้าซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความยืดหยุ่นของกฎเกณฑ์ในภาวะวิกฤต
มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินในภาวะวิกฤต แม้จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนจำนวนมหาศาลและการตัดสินใจที่อาจเป็นที่ถกเถียง
บทเรียนและผลกระทบต่อระบบการเงินโลกและไทย
วิกฤต Credit Suisse และการเข้าซื้อกิจการโดย UBS ให้บทเรียนสำคัญหลายประการแก่เราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในตลาดการเงิน
-
ความเชื่อมั่นคือหัวใจ: เหตุการณ์นี้ย้ำเตือนให้เห็นอีกครั้งว่า ‘ความเชื่อมั่น‘ เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดและเปราะบางที่สุดของธนาคาร เมื่อใดที่ความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ไม่ว่าธนาคารจะใหญ่แค่ไหน มีสินทรัพย์มากเท่าใด ก็สามารถเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว การบริหารจัดการชื่อเสียงและการสื่อสารกับสาธารณชนในยามวิกฤตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
-
การกำกับดูแลต้องเข้มแข็ง: ปัญหาเรื้อรังของ Credit Suisse ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการกำกับดูแล (Regulation) ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการกำกับดูแลกิจการ หลังเหตุการณ์นี้ เราอาจได้เห็นหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและกำกับดูแลสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต
-
ความท้าทายของธนาคารกลาง: วิกฤตในภาคธนาคารที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป สร้างความท้าทายใหม่ให้กับธนาคารกลางหลักๆ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่กำลังอยู่ในช่วงของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วอาจส่งผลกระทบต่อฐานะของธนาคาร (เช่น มูลค่าพันธบัตรที่ถืออยู่ลดลง) ทำให้ธนาคารกลางต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างไรต่อไป เพื่อรักษาเสถียรภาพทั้งด้านราคา (ควบคุมเงินเฟ้อ) และด้านเสถียรภาพทางการเงิน
สำหรับผลกระทบโดยตรงต่อสถาบันการเงินในประเทศไทยนั้น ค่อนข้างจำกัด จากข้อมูลเบื้องต้น สถาบันการเงินไทยมีความเชื่อมโยงกับ Credit Suisse โดยตรงไม่มากนัก ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบริการรับฝากทรัพย์สิน (Custodian Service) หรือการลงทุนในหุ้นกู้บางส่วนในสัดส่วนที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์โดยรวมของธนาคารพาณิชย์ไทย นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนสำรองและสภาพคล่องในระดับสูง ซึ่งได้รับการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบธนาคารของไทยยังคงมีความมั่นคงและพร้อมรับมือกับความผันผวนในตลาดการเงินโลกได้
ก้าวต่อไป: การบูรณาการ UBS และอนาคตของภาคธนาคาร
แม้ว่าการเข้าซื้อกิจการโดย UBS จะช่วยป้องกันการล่มสลายฉับพลันของ Credit Suisse ได้ แต่ความท้าทายที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นสำหรับ UBS นั่นคือกระบวนการบูรณาการ (Integration) สององค์กรขนาดใหญ่ที่มีวัฒนธรรมองค์กรและระบบงานที่แตกต่างกันเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายสูง UBS จะต้องบริหารจัดการทั้งในด้านการรวมระบบไอที การปรับโครงสร้างธุรกิจ การตัดสินใจเรื่องบุคลากร และการรักษาฐานลูกค้าเดิมของ Credit Suisse ซึ่งอาจมีความกังวลจากการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ภาคธนาคารทั่วโลกจะยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านการกำกับดูแลที่เพิ่มขึ้น เหตุการณ์ Credit Suisse และ SVB เป็นเครื่องเตือนใจว่าสถาบันการเงินจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อรับมือกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งอาจมาในรูปแบบของความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ หรือความเสี่ยงจากนวัตกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
บทสรุป: บทเรียนเพื่อการลงทุนในโลกที่ผันผวน
เรื่องราวของ Credit Suisse เป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่สถาบันการเงินที่ดูยิ่งใหญ่และมั่นคงก็สามารถเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหาภายในผสมโรงกับแรงกดดันภายนอก และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อ ‘ความเชื่อมั่น‘ ถูกทำลายไป
ในฐานะนักลงทุน สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์นี้คือการตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง การไม่ฝากเงินหรือลงทุนในสถาบันใดสถาบันหนึ่งมากจนเกินไป และการทำความเข้าใจความเสี่ยงที่แฝงอยู่ในระบบการเงิน การติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจการเงินโลกเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ
เหตุการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของหน่วยงานกำกับดูแลในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้ตลาดการเงินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนักลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้อย่างมั่นใจ
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของวิกฤต Credit Suisse ได้อย่างชัดเจนขึ้น และนำบทเรียนเหล่านี้ไปปรับใช้ในการตัดสินใจและบริหารจัดการการลงทุนของคุณในโลกที่ยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอนในอนาคต
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับcredit suisse คือ
Q:Credit Suisse คือธนาคารอะไร?
A:Credit Suisse เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีประวัติยาวนานและมีบทบาทสำคัญในตลาดการเงินโลก
Q:เหตุใด Credit Suisse จึงเผชิญกับวิกฤต?
A:Credit Suisse เผชิญกับวิกฤตจากการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นต่ำ และผลกระทบจากเหตุการณ์อื่นๆ ในตลาดการเงิน
Q:การเข้าซื้อกิจการ Credit Suisse ของ UBS มีผลกระทบอย่างไร?
A:การเข้าซื้อกิจการช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการเงินและป้องกันการล้มละลายของสถาบันการเงิน