วิเคราะห์งบกระแสเงินสด: เครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและนักธุรกิจมืออาชีพต้องเข้าใจในปี 2025

Table of Contents

งบกระแสเงินสด: เครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและนักธุรกิจมืออาชีพต้องเข้าใจ

ในโลกของการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ ตัวเลขต่างๆ ในงบการเงินเปรียบเสมือนแผนที่นำทางให้เราทราบถึงสถานะและความเคลื่อนไหวของกิจการ งบการเงินหลักสามงบ ได้แก่ งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด ต่างก็ให้ข้อมูลที่สำคัญในมุมที่แตกต่างกัน

ในขณะที่งบแสดงฐานะการเงินบอกเราเกี่ยวกับทรัพย์สิน หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง และงบกำไรขาดทุนบอกเราถึงรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่กำไรหรือขาดทุนสุทธิ แต่ยังมีข้อมูลสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่สองงบแรกนี้ไม่ได้บอกเราโดยตรง นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของเงินสด

เงินสดคือลมหายใจของธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจจะมีกำไรมากมายตามที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุน หากไม่มีเงินสดเพียงพอในการดำเนินงาน จ่ายค่าใช้จ่าย หรือชำระหนี้ ธุรกิจนั้นก็อาจประสบปัญหาได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ งบกระแสเงินสด กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังและขาดไม่ได้สำหรับทั้งฝ่ายบริหาร เจ้าของกิจการ นักลงทุน และเจ้าหนี้

งบกระแสเงินสดแสดงให้เห็นถึงที่มา (แหล่งเงินสดเข้า) และการใช้ไป (แหล่งเงินสดออก) ของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของกิจการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มันช่วยให้เราเข้าใจว่าเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากกิจกรรมประเภทใด ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่งบกำไรขาดทุนที่บันทึกตามหลักเกณฑ์คงค้างอาจไม่ได้สะท้อนออกมาทั้งหมดอย่างทันที

การวิเคราะห์กระแสเงินสดทางธุรกิจ

ในนามของนักธุรกิจ มีความสำคัญที่จะต้องเข้าใจถึงแถลงการณ์เกี่ยวกับการเงินที่นำเสนอในงบกระแสเงินสดเนื่องจาก:

  • ช่วยในการวางแผนการเงินขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ
  • ทำให้เห็นแนวโน้มการใช้จ่ายและรับเงินสดในอนาคต
  • สร้างความเชื่อมั่นในนักลงทุนและเจ้าหนี้เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของธุรกิจ
ประเภทกิจกรรม รายละเอียด
กิจกรรมดำเนินงาน (CFO) เงินสดที่ได้รับและจ่ายจากกิจกรรมหลักที่เกิดขึ้นในธุรกิจ
กิจกรรมการลงทุน (CFI) เงินสดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ระยะยาว
กิจกรรมจัดหาเงิน (CFF) เงินสดที่ได้จากการขอสินเชื่อหรือการออกหุ้น และเงินสดที่จ่ายคืน

งบกระแสเงินสดคืออะไรและทำไมจึงสำคัญต่อนักวิเคราะห์?

หัวใจหลักของ งบกระแสเงินสด คือการบอกเล่าเรื่องราวของการเคลื่อนไหวของเงินสดในกิจการอย่างเป็นระบบ คุณอาจเคยมองงบการเงินและสงสัยว่า “บริษัทนี้มีกำไรดีจัง ทำไมดูเหมือนเงินสดเหลือน้อย” หรืองบกระแสเงินสดอาจแสดงให้เห็นว่า “แม้จะมีกำไรไม่มาก แต่บริษัทกลับมีเงินสดเพิ่มขึ้นเยอะ” ความแตกต่างนี้เกิดจากการบันทึกรายการตามหลักเกณฑ์คงค้างในงบกำไรขาดทุน ซึ่งรับรู้รายได้เมื่อเกิดขึ้นโดยไม่ต้องรับเงินสด และรับรู้ค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินสด

แต่ งบกระแสเงินสด ตัดสินด้วยเงินสดที่เข้า-ออกจริงๆ เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่างบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันสะท้อนถึง สภาพคล่องธุรกิจ ที่แท้จริง และความสามารถของกิจการในการก่อให้เกิดเงินสดเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น:

  • การดำเนินงานตามปกติ: จ่ายค่าจ้างพนักงาน ซื้อสินค้า จ่ายค่าเช่า
  • การลงทุนในอนาคต: ซื้อสินทรัพย์ถาวร ขยายโรงงาน
  • การชำระหนี้: คืนเงินกู้ยืม
  • การจ่ายผลตอบแทนให้เจ้าของ: จ่ายเงินปันผล ซื้อหุ้นคืน

การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน

สำหรับนักลงทุนอย่างเรา การทำความเข้าใจ งบกระแสเงินสด ช่วยให้เราประเมินความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทได้อย่างลึกซึ้งกว่าแค่ดูกำไรสุทธิ เราสามารถใช้ข้อมูลในงบนี้เพื่อประเมิน ความสามารถในการก่อให้เกิดเงินสด ในอดีต ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญในการ พยากรณ์กระแสเงินสด ในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้เราวิเคราะห์ การเติบโตของกิจการ ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ และตรวจสอบ สภาพคล่องธุรกิจ ว่าบริษัทมีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอหรือไม่

ความสามารถ การวิเคราะห์
สร้างเงินสด ดูจาก CFO ที่เป็นบวกแสดงถึงความสามารถในการสร้างเงินสดได้ดี
การลงทุนในอนาคต CFI ที่ติดลบหมายถึงการลงทุนเพื่อการเติบโต
การบริหารจัดการเงินทุน CFF สะท้อนนโยบายทางการเงินของบริษัท

ทำความเข้าใจ 3 กิจกรรมหลักในงบกระแสเงินสด

เพื่อให้นักวิเคราะห์สามารถตีความ การเคลื่อนไหวเงินสด ได้อย่างมีความหมาย งบกระแสเงินสดจะจัดประเภทของเงินสดรับและเงินสดจ่ายออกเป็น 3 กิจกรรมหลัก ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็สะท้อนถึงแหล่งที่มาและการใช้ไปของเงินสดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การแยกประเภทนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์ของบริษัท

กิจกรรมทั้ง 3 มีดังนี้:

  1. กิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities หรือ CFO)
  2. กิจกรรมการลงทุน (Investing Activities หรือ CFI)
  3. กิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities หรือ CFF)

ลองมาเจาะลึกทีละกิจกรรมกัน เพื่อให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

การตัดสินใจลงทุนทางการเงิน

กิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities หรือ CFO): แหล่งเงินสดหลักจากธุรกิจปกติ

ส่วนนี้ของ งบกระแสเงินสด ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด เพราะมันแสดงถึง กระแสเงินสด ที่เกิดจากกิจกรรมหลักในการดำเนินงานของกิจการ เงินสดที่เข้ามาในส่วนนี้ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ และเงินสดที่จ่ายออกไปก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโดยตรง

ลองนึกภาพตามนะครับ สำหรับร้านค้าปลีก CFO ก็คือเงินสดที่ได้จากการขายของให้ลูกค้า หักด้วยเงินสดที่จ่ายไปเพื่อซื้อสินค้าเข้าร้าน จ่ายค่าเช่าร้าน จ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ

ตัวอย่างรายการ เงินสดรับ ในส่วนนี้ ได้แก่:

  • เงินสดรับจากการขายสินค้าและบริการ
  • เงินสดรับจากดอกเบี้ยที่ได้รับ (จากการดำเนินงานตามปกติ เช่น เงินฝากธนาคาร)
  • เงินสดรับจากเงินปันผลที่ได้รับ (จากการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อการค้า)

ตัวอย่างรายการ เงินสดจ่าย ในส่วนนี้ ได้แก่:

  • เงินสดจ่ายให้ผู้ขายสินค้าและบริการ
  • เงินสดจ่ายให้พนักงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง)
  • เงินสดจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ (ค่าเช่า ค่าการตลาด ค่าขนส่ง)
  • เงินสดจ่ายดอกเบี้ย (เงินกู้ยืมเพื่อการดำเนินงาน)
  • เงินสดจ่ายภาษีเงินได้

ข้อสังเกตสำคัญ: โดยทั่วไปแล้ว กิจการที่แข็งแรงควรมี กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน (Net Cash from Operating Activities) เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ ค่าบวกที่สูงแสดงว่าธุรกิจหลักมี ความสามารถในการก่อให้เกิดเงินสด ที่ดี สามารถนำเงินสดส่วนนี้ไปใช้ในการลงทุน จ่ายหนี้ หรือจ่ายปันผลได้ หาก CFO ติดลบอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณว่าธุรกิจหลักกำลังมีปัญหาในการเปลี่ยนกำไร (ตามหลักเกณฑ์คงค้าง) ให้เป็น เงินสด หรือกำลังเผชิญกับปัญหาการเก็บเงินจากลูกหนี้ การบริหารสินค้าคงคลัง หรือการควบคุมค่าใช้จ่าย

กิจกรรมการลงทุน (Investing Activities หรือ CFI): การเคลื่อนไหวเงินสดกับสินทรัพย์ระยะยาว

กิจกรรมส่วนนี้ใน งบกระแสเงินสด เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขาย สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หรือสินทรัพย์ระยะยาวของกิจการ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายกำลังการผลิต การซื้อเครื่องจักรใหม่ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือการเข้าลงทุนในธุรกิจอื่น

ตัวอย่างรายการ เงินสดรับ ในส่วนนี้ ได้แก่:

  • เงินสดรับจากการขายสินทรัพย์ถาวร (ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์)
  • เงินสดรับจากการขายเงินลงทุนระยะยาวในหลักทรัพย์หรือบริษัทอื่น

ตัวอย่างรายการ เงินสดจ่าย ในส่วนนี้ ได้แก่:

  • เงินสดจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวร (ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์)
  • เงินสดจ่ายเพื่อซื้อเงินลงทุนระยะยาวในหลักทรัพย์หรือบริษัทอื่น
  • เงินสดจ่ายเพื่อปล่อยกู้ยืมระยะยาวให้กิจการอื่น

ข้อสังเกตสำคัญ: กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน (Net Cash from Investing Activities) มักจะเป็นค่าลบสำหรับกิจการที่กำลังเติบโต หรือมีการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทต้องใช้เงินสดจำนวนมากในการซื้อสินทรัพย์เพื่อรองรับการขยายตัว อย่างไรก็ตาม การที่ CFI ติดลบก็ต้องดูควบคู่ไปกับสถานการณ์ของบริษัท หากบริษัทกำลังเติบโต การติดลบในส่วนนี้เป็นเรื่องปกติ แต่หากบริษัทที่อิ่มตัวแล้วยังมี CFI ติดลบจำนวนมากโดยไม่มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน ก็อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลได้ ในทางกลับกัน หาก CFI เป็นบวกจำนวนมาก อาจแสดงว่าบริษัทกำลังขายสินทรัพย์ออก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีหากเป็นการขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ก็อาจเป็นสัญญาณที่ไม่ดีหากเป็นการขายสินทรัพย์หลักเพื่อนำเงินมาประคองธุรกิจ หรือไม่มีการลงทุนในอนาคต

กิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities หรือ CFF): ความสัมพันธ์กับแหล่งเงินทุน

ส่วนสุดท้ายของ งบกระแสเงินสด นี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงขนาดและองค์ประกอบของส่วนของผู้เป็นเจ้าของและเงินกู้ยืมของกิจการ หรือพูดง่ายๆ คือบอกเราว่าบริษัทมีการระดมทุนหรือจ่ายคืนเงินทุนอย่างไร

ตัวอย่างรายการ เงินสดรับ ในส่วนนี้ ได้แก่:

  • เงินสดรับจากการออกหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ (การเพิ่มทุน)
  • เงินสดรับจากการกู้ยืมระยะยาว (เงินกู้จากธนาคาร การออกหุ้นกู้)

ตัวอย่างรายการ เงินสดจ่าย ในส่วนนี้ ได้แก่:

  • เงินสดจ่ายเพื่อชำระคืนเงินต้นของเงินกู้ยืมระยะยาว
  • เงินสดจ่ายเพื่อซื้อหุ้นสามัญคืน (Treasury Stock)
  • เงินสดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น

ข้อสังเกตสำคัญ: กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Net Cash from Financing Activities) อาจเป็นบวกหรือลบก็ได้ขึ้นอยู่กับวงจรชีวิตของบริษัทและกลยุทธ์ทางการเงิน บริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วมักจะมี CFF เป็นบวกจากการกู้ยืมเงินหรือการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการดำเนินงานและลงทุน ในขณะที่บริษัทที่เติบโตเต็มที่แล้วหรือมีกำไรสูง อาจมี CFF เป็นลบจากการชำระคืนหนี้ การซื้อหุ้นคืน หรือการจ่ายเงินปันผลจำนวนมาก การตีความ CFF ต้องดูควบคู่ไปกับ CFO และ CFI เพื่อให้เห็นภาพรวมของการบริหารเงินทุนทั้งหมด

วิธีการจัดทำงบกระแสเงินสด: รู้ที่มาที่ไปของตัวเลข

เพื่อให้เข้าใจ งบกระแสเงินสด อย่างถ่องแท้ เราควรทราบเบื้องหลังการจัดทำงบนี้ด้วย งบกระแสเงินสดไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่ใช้ข้อมูลจากงบการเงินอื่นๆ เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งบแสดงฐานะการเงินเปรียบเทียบ (แสดงฐานะการเงิน ณ สองช่วงเวลา) และ งบกำไรขาดทุน สำหรับงวดเดียวกัน

หลักการเบื้องต้นคือการคำนวณ การเปลี่ยนแปลงของเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสดในช่วงเวลาระหว่างงบแสดงฐานะการเงินสองฉบับที่นำมาเปรียบเทียบ จากนั้นจึงอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากรายการ เงินสดรับ และ เงินสดจ่าย จากกิจกรรมทั้งสามประเภทอย่างไร

มีวิธีการจัดทำงบกระแสเงินสดอยู่ 2 วิธี คือ:

  1. วิธีทางตรง (Direct Method): วิธีนี้จะแสดงรายการ เงินสดรับ และ เงินสดจ่าย ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละประเภทของกิจกรรมดำเนินงาน เช่น เงินสดรับจากลูกค้า เงินสดจ่ายให้ผู้ขาย เงินสดจ่ายค่าจ้าง วิธีนี้ให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าเกี่ยวกับแหล่งที่มาและใช้ไปของเงินสด แต่กิจการส่วนใหญ่มักไม่ได้เลือกใช้วิธีนี้
  2. วิธีทางอ้อม (Indirect Method): วิธีนี้จะเริ่มต้นด้วยกำไรสุทธิจากงบกำไรขาดทุน แล้วปรับปรุงด้วยรายการที่ไม่ใช่ เงินสด (เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย) และการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดำเนินงาน (เช่น การเปลี่ยนแปลงในลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง เจ้าหนี้การค้า) เพื่อคำนวณหา กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน ส่วนกิจกรรมการลงทุนและจัดหาเงินจะแสดงรายการ เงินสดรับ และ เงินสดจ่าย โดยตรงคล้ายกับวิธีทางตรง วิธีทางอ้อมเป็นวิธีที่นิยมใช้มากกว่าในทางปฏิบัติ

ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม ผลรวมของ กระแสเงินสดสุทธิ จากกิจกรรมทั้งสามจะต้องเท่ากับการเปลี่ยนแปลงสุทธิของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ปรากฏในงบแสดงฐานะการเงินเปรียบเทียบเสมอ

การวิเคราะห์งบกระแสเงินสดเพื่อประเมินสุขภาพทางการเงิน

เมื่อเราเข้าใจองค์ประกอบและที่มาของ งบกระแสเงินสด แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำงบนี้ไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประเมินสุขภาพทางการเงินของกิจการ การวิเคราะห์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การดูตัวเลขสุทธิของแต่ละกิจกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแนวโน้ม การเปรียบเทียบกับงวดก่อนหน้า การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และการดูความสัมพันธ์ระหว่าง กระแสเงินสด จากกิจกรรมทั้งสาม

ลองมาดูกันว่าเราจะวิเคราะห์อะไรได้บ้างจากงบกระแสเงินสด:

  • ความสามารถในการสร้างเงินสด: ดูจาก CFO เป็นหลัก กิจการที่มี CFO เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอและเพิ่มขึ้น แสดงถึงความสามารถในการสร้างเงินสดจากธุรกิจหลักที่ดี
  • การลงทุนในอนาคต: ดูจาก CFI ค่า CFI ที่ติดลบจำนวนมาก อาจแสดงว่าบริษัทกำลังลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต เราต้องพิจารณาว่าการลงทุนนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ และคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนในอนาคตได้อย่างไร
  • การบริหารจัดการเงินทุน: ดูจาก CFF การที่บริษัทกู้ยืมเงิน (CFF เป็นบวก) หรือจ่ายคืนหนี้/จ่ายปันผล (CFF เป็นลบ) บอกเราถึงนโยบายทางการเงินและโครงสร้างเงินทุนของบริษัท
  • ความยั่งยืนของกระแสเงินสด: เงินสดที่เข้ามานั้นมาจากแหล่งใด หากส่วนใหญ่มาจาก CFO แสดงว่าเป็น กระแสเงินสด ที่มีคุณภาพและยั่งยืนกว่าการได้เงินมาจากการกู้ยืมหรือการขายสินทรัพย์
  • ความสามารถในการชำระหนี้และจ่ายปันผล: บริษัทต้องมี เงินสด เพียงพอจาก CFO (เป็นหลัก) หรือแหล่งอื่นเพื่อชำระคืนเงินกู้ตามกำหนดและจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น

การวิเคราะห์เหล่านี้ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของวงจรเงินสดในกิจการ และประเมินได้ว่าบริษัทมีการบริหารจัดการ สภาพคล่องธุรกิจ ได้ดีเพียงใด

ตีความรูปแบบกระแสเงินสด: สัญญาณสุขภาพธุรกิจที่ควรอ่าน

เมื่อพิจารณา กระแสเงินสดสุทธิ จากทั้งสามกิจกรรมรวมกัน จะเห็นรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานะและทิศทางของบริษัทได้เป็นอย่างดี การรู้จักรูปแบบพื้นฐานเหล่านี้ช่วยให้คุณอ่าน งบกระแสเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นี่คือรูปแบบหลักๆ ที่คุณอาจพบเจอ:

  • +CFO, -CFI, -CFF: รูปแบบนี้มักพบในกิจการที่เติบโตเต็มที่และแข็งแรง สามารถสร้าง กระแสเงินสด ได้ดีจากกิจกรรมดำเนินงาน (CFO เป็นบวก) และนำเงินส่วนนั้นไปลงทุนเพื่อรักษาหรือเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน (CFI เป็นลบ) รวมถึงนำเงินไปจ่ายคืนหนี้หรือจ่ายเงินปันผลคืนให้ผู้ถือหุ้น (CFF เป็นลบ) นี่คือรูปแบบที่นักลงทุนส่วนใหญ่อยากเห็นในบริษัทที่มีความมั่นคง
  • +CFO, -CFI, +CFF: รูปแบบนี้พบได้บ่อยในกิจการที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถสร้าง เงินสด จากการดำเนินงานได้แล้ว (CFO เป็นบวก) แต่ยังต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการขยายธุรกิจ (CFI เป็นลบ) ซึ่งเงินทุนส่วนนี้อาจมาจากทั้ง CFO และการระดมทุนเพิ่มเติมจากการกู้ยืมหรือออกหุ้นใหม่ (CFF เป็นบวก)
  • -CFO, -CFI, +CFF: รูปแบบนี้อาจพบในกิจการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น (Startup) หรือกำลังอยู่ในช่วงลงทุนอย่างหนักเพื่ออนาคต ธุรกิจหลักยังไม่สามารถสร้าง กระแสเงินสด เป็นบวกได้ (CFO เป็นลบ) และยังต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก (CFI เป็นลบ) ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระดมทุนอย่างต่อเนื่องจากการกู้ยืมหรือออกหุ้น (CFF เป็นบวก) รูปแบบนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าสองแบบแรก แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทที่อยู่ในช่วงพัฒนา
  • -CFO, +CFI, +CFF: รูปแบบนี้มักเป็นสัญญาณเตือนของกิจการที่กำลังประสบปัญหา ธุรกิจหลักไม่สามารถสร้าง เงินสด ได้ (CFO เป็นลบ) จึงต้องขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้ (CFI เป็นบวก) และอาจต้องกู้ยืมเงินเพิ่มเพื่อประคองธุรกิจ (CFF เป็นบวก) นี่แสดงถึงภาวะวิกฤตด้าน สภาพคล่องธุรกิจ ที่รุนแรง
  • +CFO, +CFI, -CFF: รูปแบบนี้น่าสนใจ อาจพบในกิจการที่กำลังปรับโครงสร้าง ขายสินทรัพย์บางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป (CFI เป็นบวก) และนำเงินสดที่ได้ไปใช้จ่ายคืนหนี้หรือจ่ายปันผล (CFF เป็นลบ) ขณะที่ธุรกิจหลักยังสร้าง เงินสด ได้ดี (CFO เป็นบวก)

การตีความรูปแบบเหล่านี้ต้องพิจารณาร่วมกับบริบทของอุตสาหกรรม วงจรชีวิตของบริษัท และปัจจัยอื่นๆ ด้วย

ประเมินสภาพคล่องด้วยงบกระแสเงินสด: เงินสดมีพอใช้ไหม?

หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ งบกระแสเงินสด คือการช่วยให้เราประเมิน สภาพคล่องธุรกิจ ได้อย่างตรงจุด มากกว่าการดูแค่อัตราส่วนสภาพคล่องจากงบแสดงฐานะการเงิน ซึ่งใช้ตัวเลขคงค้าง

การวิเคราะห์สภาพคล่องจาก งบกระแสเงินสด ทำได้โดยดูว่าบริษัทสามารถสร้าง เงินสด จากกิจกรรมดำเนินงานได้เพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการใช้เงินสดต่างๆ หรือไม่

ตัวชี้วัดที่น่าสนใจได้แก่:

  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหนี้สินหมุนเวียน (Operating Cash Flow to Current Liabilities Ratio): คำนวณจาก CFO หารด้วยหนี้สินหมุนเวียน อัตราส่วนนี้บอกเราว่า กระแสเงินสด ที่สร้างได้จากธุรกิจหลักสามารถนำไปชำระหนี้ระยะสั้นได้กี่เท่า ค่าที่สูงกว่าแสดงว่ามี สภาพคล่อง ที่ดีกว่า
  • กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow หรือ FCF): คำนวณได้หลายแบบ ที่นิยมคือ CFO หักด้วยเงินลงทุนในการซื้อสินทรัพย์ถาวรเพื่อรักษากำลังการผลิตหรือขยายธุรกิจ (บางส่วนของ CFI ที่เป็นค่าลบ) FCF คือ เงินสด ที่เหลือหลังจากหักเงินลงทุนที่จำเป็นแล้ว ซึ่งเงินส่วนนี้บริษัทสามารถนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้ จ่ายปันผล ซื้อหุ้นคืน หรือสะสมไว้สำหรับโอกาสในอนาคต FCF ที่เป็นบวกและเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่ง

การดู เงินสด สุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเปรียบเทียบกับภาระหนี้สินระยะสั้นหรือภาระผูกพันอื่นๆ ที่ต้องใช้ เงินสด ในอนาคตอันใกล้ จะช่วยให้เราเห็นภาพว่าบริษัทมีปัญหาในการชำระหนี้ หรือมีเงินสดเหลือมากพอสำหรับโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ หรือไม่

วิเคราะห์การเติบโตและการใช้เงินสด: ธุรกิจกำลังขยายตัวหรือไม่?

แม้ งบกระแสเงินสด จะไม่ได้บอกยอดขายหรือกำไรโดยตรง แต่มันบอกเราถึงการลงทุนที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในอนาคต กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน (CFI) สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทกำลังทุ่มเท เงินสด ไปกับการได้มาซึ่งสินทรัพย์ระยะยาวมากน้อยเพียงใด

สำหรับบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโต คุณคาดว่าจะเห็น กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน ติดลบอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทต้องลงทุนในโรงงาน เครื่องจักร เทคโนโลยี หรือเข้าซื้อกิจการอื่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ขยายตลาด หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หากบริษัทมีการเติบโตของยอดขายและกำไรที่ดี แต่ CFI เป็นบวกหรือติดลบน้อยมาก อาจแปลความได้ว่าบริษัทไม่มีการลงทุนที่เพียงพอเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต หรืออาจกำลังพึ่งพาการใช้สินทรัพย์เดิมที่เริ่มเสื่อมสภาพ

ในทางกลับกัน หากบริษัทมีการลงทุนในสินทรัพย์จำนวนมาก (CFI ติดลบสูง) แต่ยอดขายและกำไรกลับไม่เติบโตตามไปด้วย อาจเป็นสัญญาณว่าการลงทุนเหล่านั้นไม่สร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวัง

นอกจากนี้ การวิเคราะห์ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ก็ช่วยให้เราประเมินการเติบโตได้เช่นกัน บริษัทที่มี FCF เป็นบวกและเพิ่มขึ้นมี เงินสด เหลือมากพอที่จะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อการเติบโตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนภายนอกมากนัก ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นทางการเงิน

กระแสเงินสดเทียบกับกำไรสุทธิ: ภาพที่ต่างกัน บอกอะไรเราได้บ้าง?

หนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากการศึกษา งบกระแสเงินสด คือความแตกต่างระหว่าง กระแสเงินสด และกำไรสุทธิ การที่บริษัทมีกำไรสุทธิสูง ไม่ได้แปลว่าบริษัทมี เงินสด มากเสมอไป และการที่บริษัทมีกำไรสุทธิไม่สูงนัก ก็ไม่ได้แปลว่าบริษัทไม่มี เงินสด หมุนเวียน

ความแตกต่างนี้เกิดจาก:

  • รายการที่ไม่ใช่เงินสด: เช่น ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เป็นค่าใช้จ่ายที่บันทึกในงบกำไรขาดทุน แต่ไม่มี เงินสด จ่ายออกไปจริงในงวดปัจจุบัน ในวิธีทางอ้อม รายการเหล่านี้จะถูกบวกกลับเข้าไปในกำไรสุทธิเพื่อหากระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
  • การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน: เช่น การเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้า หมายความว่าบริษัทขายสินค้าหรือบริการได้ (บันทึกเป็นรายได้และกำไร) แต่ยังไม่ได้รับ เงินสด การเพิ่มขึ้นของลูกหนี้จึงทำให้ กระแสเงินสด ต่ำกว่ากำไรสุทธิ ในทางตรงกันข้าม การเพิ่มขึ้นของเจ้าหนี้การค้า หมายความว่าบริษัทซื้อสินค้าหรือบริการมาแล้ว (บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดกำไร) แต่ยังไม่ได้จ่าย เงินสด การเพิ่มขึ้นของเจ้าหนี้จึงทำให้ กระแสเงินสด สูงกว่ากำไรสุทธิ
  • การรับรู้รายได้/ค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์คงค้าง: งบกำไรขาดทุนบันทึกรายการเมื่อเกิดขึ้น โดยไม่เกี่ยวกับว่าได้รับหรือจ่าย เงินสด หรือไม่

การเปรียบเทียบแนวโน้มของ กระแสเงินสด จากกิจกรรมดำเนินงานกับกำไรสุทธิในช่วงเวลาเดียวกันมีความสำคัญมาก หาก CFO สูงกว่ากำไรสุทธิอย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทมีรายการที่ไม่ใช่ เงินสด ที่เป็นบวกจำนวนมาก หรือสามารถบริหารจัดการ เงินทุนหมุนเวียน ได้ดี ในทางกลับกัน หาก CFO ต่ำกว่ากำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าบริษัทกำลังมีปัญหาในการแปลงกำไรเป็น เงินสด เช่น ปัญหาการเก็บเงินจากลูกหนี้ หรือมีการสะสมสินค้าคงคลังมากเกินไป

การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวเลขนี้ช่วยให้เราได้มุมมองที่รอบด้านเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและ สภาพคล่องธุรกิจ ของบริษัท

ตัวอย่างการอ่านและเชื่อมโยงข้อมูลเบื้องต้น

เพื่อให้เห็นภาพการวิเคราะห์ งบกระแสเงินสด ชัดเจนขึ้น ลองพิจารณาตัวอย่างง่ายๆ ที่เชื่อมโยงกับงบอื่นๆ:

สมมติว่าบริษัท ก มีข้อมูลดังนี้:

  • ปี 25X1 มีเงินสดต้นงวด 100 ล้านบาท
  • ปี 25X1 มีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท
  • ปี 25X1 มีค่าเสื่อมราคา 10 ล้านบาท (รายการที่ไม่ใช่เงินสด)
  • ปี 25X1 ลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 15 ล้านบาท
  • ปี 25X1 เจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท
  • ปี 25X1 ซื้อเครื่องจักรใหม่ 80 ล้านบาท
  • ปี 25X1 กู้ยืมเงินระยะยาวเพิ่ม 30 ล้านบาท
  • ปี 25X1 จ่ายเงินปันผล 10 ล้านบาท

จากข้อมูลนี้ เราสามารถคำนวณและตีความ งบกระแสเงินสด เบื้องต้น (โดยวิธีทางอ้อมสำหรับ CFO) ได้ดังนี้:

  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (CFO):
    เริ่มต้นด้วย กำไรสุทธิ: + 50 ล้านบาท
    บวกกลับ ค่าเสื่อมราคา (รายการที่ไม่ใช่เงินสด): + 10 ล้านบาท
    ปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์/หนี้สินหมุนเวียน:
    – ลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น (เงินสดยังไม่เข้า): – 15 ล้านบาท
    + เจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น (เงินสดยังไม่จ่าย): + 5 ล้านบาท
    CFO สุทธิ = 50 + 10 – 15 + 5 = + 50 ล้านบาท
    (แม้กำไรสุทธิ 50 ล้านบาท แต่เงินสดที่ได้จากธุรกิจหลักจริงๆ คือ 50 ล้านบาทเช่นกัน แสดงว่าผลกระทบจากลูกหนี้และเจ้าหนี้หักลบกันพอดี แต่ถ้าลูกหนี้เพิ่มเยอะกว่าเจ้าหนี้มาก CFO อาจต่ำกว่ากำไรสุทธิ)
  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน (CFI):
    เงินสดจ่ายเพื่อซื้อเครื่องจักร: – 80 ล้านบาท
    CFI สุทธิ = – 80 ล้านบาท
    (บริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเป็นการขยายธุรกิจ)
  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (CFF):
    เงินสดรับจากการกู้ยืม: + 30 ล้านบาท
    เงินสดจ่ายเงินปันผล: – 10 ล้านบาท
    CFF สุทธิ = 30 – 10 = + 20 ล้านบาท
    (บริษัทมีการระดมทุนจากการกู้ยืมและมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น)

การเปลี่ยนแปลงสุทธิของเงินสด: CFO + CFI + CFF = 50 + (-80) + 20 = – 10 ล้านบาท

เงินสดปลายงวด: เงินสดต้นงวด + การเปลี่ยนแปลงสุทธิ = 100 + (-10) = 90 ล้านบาท

การตีความเบื้องต้น: บริษัท ก มี CFO เป็นบวก 50 ล้านบาท แสดงว่าธุรกิจหลักยังทำ เงินสด ได้ดี แต่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในเครื่องจักรถึง 80 ล้านบาท ทำให้ CFI ติดลบมาก เงินสดส่วนนี้มาจาก CFO และส่วนที่เหลือ 30 ล้านบาทมาจากการกู้ยืม ทำให้ CFF เป็นบวก และยังมีการจ่ายเงินปันผล 10 ล้านบาท สุดท้าย เงินสด ของบริษัทลดลง 10 ล้านบาทเหลือ 90 ล้านบาท

จากรูปแบบ +CFO, -CFI, +CFF อาจตีความได้ว่าบริษัทอยู่ในช่วงลงทุนเพื่อการเติบโต โดยใช้ทั้ง กระแสเงินสด จากการดำเนินงานและการกู้ยืม การลดลงของ เงินสด สุทธิในงวดนี้เป็นผลมาจากการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของ CFO ในอนาคตหรือไม่

สรุป: งบกระแสเงินสด เครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับการตัดสินใจ

ดังที่คุณเห็นแล้วว่า งบกระแสเงินสด เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับ การเคลื่อนไหวเงินสด ของกิจการ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นส่วนเสริมและเติมเต็มภาพที่ได้จากงบกำไรขาดทุนและงบแสดงฐานะการเงิน การวิเคราะห์ กระแสเงินสด จากกิจกรรมดำเนินงาน การลงทุน และการจัดหาเงิน ช่วยให้เราสามารถประเมิน ความสามารถในการก่อให้เกิดเงินสด สภาพคล่องธุรกิจ ความยั่งยืนของการดำเนินงาน และกลยุทธ์ทางการเงินของบริษัทได้อย่างรอบด้าน

สำหรับนักลงทุน การทำความเข้าใจ งบกระแสเงินสด ช่วยให้คุณเห็น “คุณภาพ” ของกำไร ว่ากำไรที่เห็นในงบกำไรขาดทุนนั้นสามารถแปลงเป็น เงินสด ได้จริงหรือไม่ และบริษัทใช้ เงินสด ที่ได้มาอย่างไร การวิเคราะห์ FCF ช่วยให้คุณประเมินมูลค่าของบริษัทได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว เงินสด คือสิ่งที่นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจริงๆ

สำหรับผู้บริหารและเจ้าของกิจการ การบริหารจัดการ กระแสเงินสด เป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง การติดตาม งบกระแสเงินสด อย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดการ สภาพคล่องธุรกิจ ได้อย่างเหมาะสม และตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนและการระดมทุนได้อย่างรอบคอบ

การทำความเข้าใจ งบกระแสเงินสด อาจต้องใช้เวลาและการฝึกฝนในการตีความ แต่เราเชื่อว่าด้วยความรู้และเครื่องมือที่เราได้แบ่งปันไป จะช่วยให้คุณสามารถอ่านงบนี้ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนหรือตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิเคราะห์งบกระแสเงินสด

Q:งบกระแสเงินสดคืออะไร?

A:งบกระแสเงินสดเป็นเอกสารที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในองค์การในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

Q:ทำไมงบกระแสเงินสดถึงสำคัญต่อการลงทุน?

A:งบกระแสเงินสดช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของการสร้างเงินสดและการใช้จ่าย ซึ่งสำคัญต่อการประเมินสุขภาพทางการเงินของ المؤسسة

Q:สามารถวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัทจากงบกระแสเงินสดได้อย่างไร?

A:การวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินสามารถทำได้โดยการดูแนวโน้มของกระแสเงินสดจากกิจกรรมต่างๆ ซึ่งบอกถึงความสามารถในการสร้างเงินสดและจัดการค่าใช้จ่าย

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *