เลเวอเรจ Forex คืออะไร? เรียนรู้เครื่องมือทรงพลังในปี 2025

Table of Contents

ทำความเข้าใจ “เลเวอเรจ Forex” เครื่องมือทรงพลังที่มาพร้อมความเสี่ยงสูง

สวัสดีครับเทรดเดอร์ทุกท่าน! ในโลกของการเทรด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มีเครื่องมือหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งพระเอกและผู้ร้ายในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือ “เลเวอเรจ” (Leverage) ครับ หากคุณเป็นมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้นเส้นทางนี้ หรือแม้แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และต้องการทำความเข้าใจในเชิงลึกมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของ เลเวอเรจ Forex เพื่อให้คุณสามารถใช้งานมันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด

คุณอาจเคยได้ยินว่า เลเวอเรจ ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่คุณมีอยู่จริงได้หลายเท่าตัว ซึ่งฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหมครับ? แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนคือ เลเวอเรจ ไม่ใช่เงินวิเศษที่ได้มาฟรีๆ โดยไม่มีผลกระทบอะไรเลย มันคือเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มทั้งโอกาสในการทำกำไรและเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนไปพร้อมๆ กัน เปรียบเสมือนดาบสองคมที่หากใช้ไม่เป็น อาจบาดมือตัวเองได้ง่ายๆ

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกกันว่า เลเวอเรจ Forex คืออะไร ทำงานอย่างไร มีความสัมพันธ์กับ มาร์จิ้น (Margin) อย่างไร รวมถึงข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่คุณต้องรู้ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับการเดินทางในตลาด Forex ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายครับ เรามาเริ่มกันเลย!

การทำการเทรด Forex

ในบริบทของ Forex และการซื้อขายสินทรัพย์แบบ Contract for Difference (CFD) อื่นๆ เลเวอเรจ คือสิ่งที่โบรกเกอร์มอบให้แก่เทรดเดอร์ในรูปของ “เงินกู้ยืม” เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อขายของคุณครับ แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ มันไม่ใช่เงินกู้ที่คุณต้องจ่ายดอกเบี้ย หรือเป็นหนี้สินนอกเหนือจากเงินทุนที่คุณมีในบัญชีเทรดของคุณแต่อย่างใด

ลองนึกภาพว่าคุณต้องการซื้อสินทรัพย์มูลค่า 100,000 หน่วย (เช่น ซื้อ EUR/USD มูลค่า 100,000 ยูโร) แต่คุณมีเงินทุนในบัญชีเพียง 1,000 ดอลลาร์ หากไม่มี เลเวอเรจ คุณจะไม่สามารถเปิดคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่นี้ได้เลยครับ แต่ด้วย เลเวอเรจ โบรกเกอร์จะให้คุณยืมเงินส่วนที่ขาดไป เพื่อให้คุณสามารถควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ที่ใหญ่กว่าเงินทุนของคุณได้

อัตราส่วน เลเวอเรจ จะบอกให้คุณทราบว่า คุณสามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้เป็นกี่เท่าของเงินทุนที่คุณต้องใช้เป็นหลักประกัน (มาร์จิ้น) ครับ ยกตัวอย่างเช่น:

อัตราส่วนเลเวอเรจ มูลค่าการซื้อขายที่ควบคุมได้
1:100 100 เท่าของเงินทุนที่มี
1:500 500 เท่าของเงินทุนที่มี
1:1000 1000 เท่าของเงินทุนที่มี

การทำงานของ เลเวอเรจ คือการช่วยให้คุณสามารถเปิด ขนาดคำสั่ง หรือ Lot Size ที่ใหญ่ขึ้นได้โดยใช้เงินทุนเริ่มต้นที่น้อยลงอย่างมาก ซึ่งเงินทุนเริ่มต้นส่วนนี้เราเรียกว่า มาร์จิ้นที่ต้องใช้ (Required Margin) หรือ มาร์จิ้นที่ถูกล็อก (Used Margin) ยิ่งอัตราส่วน เลเวอเรจ สูงเท่าไหร่ เงิน มาร์จิ้น ที่คุณต้องวางต่อ ขนาดคำสั่ง เท่าเดิมก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้นครับ

ความสัมพันธ์ที่สำคัญ: เลเวอเรจกับมาร์จิ้น

หัวใจสำคัญในการทำความเข้าใจ เลเวอเรจ คือการเข้าใจความสัมพันธ์ของมันกับ มาร์จิ้น ครับ มาร์จิ้น คือเงินส่วนหนึ่งในบัญชีของคุณที่โบรกเกอร์กันไว้เป็นหลักประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงในการเปิดคำสั่งซื้อขายของคุณ เงินจำนวนนี้จะถูก “ล็อก” ไว้ตราบเท่าที่คุณยังถือสถานะการซื้อขายนั้นอยู่

ความสัมพันธ์ระหว่าง เลเวอเรจ และ มาร์จิ้น เป็นแบบผกผัน (Inverse Relationship):

เลเวอเรจสูง มาร์จิ้นที่ต้องใช้ มูลค่าการซื้อขาย
1:100 1,100 USD 110,000 USD
1:500 220 USD 110,000 USD
1:1000 110 USD 110,000 USD

จะเห็นได้ว่า ยิ่ง เลเวอเรจ สูงเท่าไหร่ เงิน มาร์จิ้น ที่ถูกกันไว้ก็จะยิ่งน้อยลง ทำให้คุณมีเงินทุนส่วนที่เหลือ (เรียกว่า Free Margin หรือ เงินดำเนินการใช้ได้) ในบัญชีมากขึ้น เงิน Free Margin นี้คือเงินที่คุณสามารถใช้เพื่อเปิดคำสั่งซื้อขายใหม่ หรือใช้เพื่อรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานะที่คุณเปิดอยู่ครับ

การมี Free Margin เหลือเยอะ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ? ใช่ครับ มันทำให้คุณยืดหยุ่นมากขึ้นในการบริหารจัดการพอร์ต แต่อย่าลืมว่า ยิ่ง Free Margin เหลือเยอะ คุณก็ยิ่งมี “กำลัง” ในการเปิด ขนาดคำสั่ง ที่ใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งนี่คือจุดที่ความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างรวดเร็วครับ

การคำนวณและแสดงอัตราส่วนเลเวอเรจ

อัตราส่วน เลเวอเรจ โดยทั่วไปจะแสดงในรูปแบบ 1:X โดยที่ X คือจำนวนเท่าของมูลค่าการซื้อขายที่คุณสามารถควบคุมได้เมื่อเทียบกับเงิน มาร์จิ้น ที่คุณวาง

สูตรการคำนวณ มาร์จิ้นที่ต้องใช้ (Required Margin) สำหรับคำสั่งซื้อขายหนึ่งๆ คือ:

Required Margin = (มูลค่าสัญญา / อัตราส่วนเลเวอเรจ) * อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินมาร์จิ้นกับสกุลเงินฐาน

หรือในกรณีของคู่สกุลเงินที่มี USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) และบัญชีของคุณเป็น USD ก็จะง่ายลง:

Required Margin = (มูลค่าสัญญา / อัตราส่วนเลเวอเรจ)

มูลค่าสัญญาสำหรับ Forex จะขึ้นอยู่กับ Lot Size:

ประเภท Lot หน่วย
Standard Lot 100,000 Units
Mini Lot 10,000 Units
Micro Lot 1,000 Units
Nano Lot 100 Units (ไม่ค่อยพบทั่วไป)

ตัวอย่างการคำนวณ:

คุณต้องการเปิดคำสั่งซื้อ 0.5 Standard Lot (เท่ากับ 50,000 Units) ของ EUR/USD โดยใช้ เลเวอเรจ 1:400 สมมติราคา EUR/USD อยู่ที่ 1.1200 และบัญชีของคุณเป็น USD

มูลค่าสัญญา = 50,000 EUR

Required Margin = (50,000 EUR / 400) * 1.1200 (อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD)

Required Margin = 125 * 1.1200

Required Margin = 140 USD

นั่นหมายความว่า สำหรับการซื้อขาย EUR/USD ขนาด 0.5 Standard Lot ที่มีมูลค่าจริงประมาณ 56,000 USD คุณต้องใช้เงิน มาร์จิ้น ล็อกไว้เพียง 140 USD เท่านั้น!

การคำนวณเหล่านี้มักถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติบนแพลตฟอร์มการเทรด เช่น MetaTrader 4 (MT4) หรือ MT5 และโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็มีเครื่องคิดเลข มาร์จิ้น และ เลเวอเรจ ให้ใช้งานบนเว็บไซต์ คุณสามารถตรวจสอบ Required Margin สำหรับ ขนาดคำสั่ง ต่างๆ ได้จากข้อมูลจำเพาะของเครื่องมือในแพลตฟอร์มเทรดของคุณ

เลือกและกำหนดระดับเลเวอเรจที่เหมาะสมได้อย่างไร?

นี่เป็นคำถามสำคัญที่เทรดเดอร์หลายคนสงสัย และคำตอบก็คือ “ไม่มีระดับ เลเวอเรจ ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน” ครับ การเลือก เลเวอเรจ ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งประสบการณ์ของคุณ กลยุทธ์การเทรด ระดับเงินทุน และที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการรับความเสี่ยง ของคุณเอง

สำหรับ เทรดเดอร์มือใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้น เราขอแนะนำอย่างยิ่งให้เริ่มต้นด้วยอัตราส่วน เลเวอเรจ ที่ต่ำครับ อาจจะเริ่มต้นที่ 1:50 หรือ 1:100 ก่อน เหตุผลคือ เลเวอเรจ ที่ต่ำกว่าจะทำให้ มาร์จิ้นที่ต้องใช้ สำหรับ ขนาดคำสั่ง ที่เท่ากันสูงขึ้น ซึ่งเป็นการจำกัดกำลังในการเปิดคำสั่งที่ใหญ่เกินตัวโดยไม่ตั้งใจ ทำให้คุณมีโอกาสน้อยลงที่จะเผชิญกับสถานการณ์ มาร์จิ้นคอล (Margin Call) หรือ สต็อปเอาท์ (Stop Out) ได้ง่ายเมื่อตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง

เมื่อคุณมีประสบการณ์มากขึ้น เข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และมีระบบ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดีแล้ว คุณอาจพิจารณาเพิ่มระดับ เลเวอเรจ ให้สูงขึ้นได้ แต่การใช้ เลเวอเรจ สูงควรมาพร้อมกับการวางแผน ขนาดคำสั่ง อย่างรอบคอบ ไม่ใช่การเปิดคำสั่งให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่ เลเวอเรจ จะเอื้ออำนวย

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก เลเวอเรจ:

  • ระดับประสบการณ์: มือใหม่ควรใช้ต่ำ ผู้มีประสบการณ์สูงสามารถใช้สูงขึ้นได้หากมีการบริหารจัดการที่ดี

  • ขนาดเงินทุนในบัญชี: เงินทุนที่น้อยอาจจำเป็นต้องใช้ เลเวอเรจ ที่สูงกว่าเพื่อเข้าถึง ขนาดคำสั่ง ที่มีนัยสำคัญ แต่ต้องระวังเรื่องความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

  • กลยุทธ์การเทรด: กลยุทธ์แบบ Scalping หรือ Day Trading ที่ถือสถานะสั้นๆ อาจใช้ เลเวอเรจ สูงกว่าได้ (แต่ก็เสี่ยงกว่ามาก) ในขณะที่กลยุทธ์แบบ Swing Trading หรือ Positional Trading ที่ถือสถานะนานๆ และต้องเผชิญกับความผันผวนที่มากกว่า ควรใช้ เลเวอเรจ ต่ำกว่า

  • ความสามารถในการรับความเสี่ยง: สำคัญที่สุด! คุณยอมรับการขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน? จงเลือก เลเวอเรจ ที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้จริงๆ

  • ข้อจำกัดของโบรกเกอร์และหน่วยงานกำกับดูแล: โบรกเกอร์บางรายและหน่วยงานกำกับดูแลในบางภูมิภาค (เช่น ในยุโรปหรืออเมริกา) จะมีข้อจำกัดสูงสุดของ เลเวอเรจ ที่เสนอให้กับลูกค้ารายย่อย

    หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นและได้รับการกำกับดูแลที่ดีเพื่อเริ่มต้นการเทรดในตลาดโลก

    หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่มีตัวเลือก เลเวอเรจ ที่หลากหลาย พร้อมทั้งเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่รองรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ รวมถึงมีการกำกับดูแลที่เชื่อถือได้

    หากคุณกำลังพิจารณาโบรกเกอร์ที่มีตัวเลือก เลเวอเรจ ที่ยืดหยุ่นและหลากหลายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับกลยุทธ์และความเสี่ยงที่คุณรับได้

ไม่ว่าคุณจะเลือก เลเวอเรจ ระดับใด สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่ามันส่งผลต่อ มาร์จิ้น และ ความเสี่ยง อย่างไร และต้องใช้งานมันอย่างมีสติครับ

ข้อดีของการใช้เลเวอเรจ: โอกาสที่น่าดึงดูด

แน่นอนว่า เลเวอเรจ ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย หากใช้เป็น มันคือเครื่องมือที่ทรงพลังซึ่งมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญแก่เทรดเดอร์ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนค่อนข้างต่ำแต่มีสภาพคล่องสูงอย่าง Forex ครับ ข้อดีหลักๆ ของการใช้ เลเวอเรจ ได้แก่:

  • เพิ่มศักยภาพในการทำกำไร: นี่คือข้อดีที่ชัดเจนที่สุด เลเวอเรจ ช่วยให้คุณสามารถเปิด ขนาดคำสั่ง ที่ใหญ่ขึ้นได้ ด้วยเงินทุนเท่าเดิม การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้เกิดกำไรจำนวนมากเมื่อเทียบกับเงินทุนที่คุณใช้ไป (Return on Investment – ROI) ลองนึกภาพว่าคุณใช้เงิน 100 USD วาง มาร์จิ้น และสามารถควบคุมการซื้อขายมูลค่า 100,000 USD ได้ หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์เพียง 100 Pip คุณอาจทำกำไรได้หลายร้อยหรือหลายพันดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับเงินทุนเริ่มต้นเพียง 100 USD (หากไม่มี เลเวอเรจ คุณจะทำกำไรได้เพียงหลักสิบเซนต์จากเงินลงทุนเท่านี้)

  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยลง: เลเวอเรจ ทำให้บุคคลทั่วไปที่มีเงินทุนไม่มากนักสามารถเข้าถึงตลาด Forex ได้ คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินหลายหมื่นหรือหลายแสนดอลลาร์เพื่อเริ่มเทรด Forex คุณสามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียงไม่กี่ร้อยหรือพันดอลลาร์และใช้ เลเวอเรจ เพื่อเปิดคำสั่งที่มีนัยสำคัญได้ ทำให้ตลาดนี้เข้าถึงง่ายสำหรับผู้คนวงกว้าง

  • เพิ่มประสิทธิภาพเงินทุน (Capital Efficiency): เลเวอเรจ ที่สูงขึ้นช่วยลดเงิน มาร์จิ้น ที่ถูกล็อก ทำให้คุณมี Free Margin เหลืออยู่ในบัญชีมากขึ้น เงินส่วนนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น:

    • เปิดคำสั่งซื้อขายอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่นๆ
    • ใช้เป็นบัฟเฟอร์รองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น ทำให้บัญชีของคุณทนต่อการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่เป็นใจได้มากขึ้น ก่อนที่จะถึงระดับ มาร์จิ้นคอล หรือ สต็อปเอาท์

ข้อดีเหล่านี้ทำให้ เลเวอเรจ เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจอย่างยิ่งในตลาด Forex แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าข้อดีเหล่านี้มาพร้อมกับอีกด้านหนึ่งของเหรียญเสมอ ซึ่งคือ “ความเสี่ยง” นั่นเองครับ

ข้อเสียและความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจ: ด้านมืดที่คุณต้องระวัง

อย่างที่เราได้กล่าวไป เลเวอเรจ คือดาบสองคม หากเพิ่มโอกาสในการทำกำไร มันก็เพิ่มโอกาสในการขาดทุนเช่นกัน และนี่คือด้านมืดที่คุณต้องระวังให้ดี:

  • เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างทวีคูณ: นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดจากการใช้ เลเวอเรจ ครับ เช่นเดียวกับที่ เลเวอเรจ ขยายขนาดกำไร มันก็ขยายขนาดการขาดทุนด้วย เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับตำแหน่งของคุณ การขาดทุนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเงิน มาร์จิ้น หรือเงินทุนทั้งหมดที่คุณมีในบัญชี การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ดูไม่สำคัญสำหรับ ขนาดคำสั่ง ปกติ อาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งการล้างพอร์ต (Margin Call/Stop Out) ได้อย่างรวดเร็วเมื่อใช้ เลเวอเรจ สูง

  • โอกาสเกิดมาร์จิ้นคอลและสต็อปเอาท์สูงขึ้น: เมื่อคุณใช้ เลเวอเรจ สูง เงิน มาร์จิ้นที่ต้องใช้ จะน้อยลง แต่ในทางกลับกัน เงิน Free Margin ที่เหลืออยู่เพื่อรองรับการขาดทุนก็จะน้อยลงตามไปด้วย เมื่อการขาดทุนสะสมจนทำให้ระดับ มาร์จิ้น ของคุณ (Equity / Used Margin) ลดลงถึงระดับที่กำหนด โบรกเกอร์จะส่ง มาร์จิ้นคอล เพื่อแจ้งเตือนให้คุณเติมเงิน หรือหากการขาดทุนรุนแรงขึ้นจนถึงระดับ สต็อปเอาท์ โบรกเกอร์จะทำการปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดคงเหลือในบัญชีของคุณ (Balance) ติดลบ การใช้ เลเวอเรจ สูงทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะถึงระดับเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น

  • กระตุ้นให้เกิดการ Overtrade: นี่เป็นปัญหาทางด้านจิตวิทยาที่พบบ่อย การมี Free Margin เหลือเยอะจากการใช้ เลเวอเรจ สูง อาจทำให้เทรดเดอร์รู้สึกมี “กำลังซื้อ” มาก และตัดสินใจเปิด ขนาดคำสั่ง ที่ใหญ่เกินตัวเมื่อเทียบกับเงินทุนทั้งหมดในบัญชี นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Overtrade การ Overtrade เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ (และแม้แต่ผู้มีประสบการณ์) ล้างพอร์ต การใช้ เลเวอเรจ สูงโดยไม่มีวินัยในการควบคุม ขนาดคำสั่ง คือหายนะ

  • ความอ่อนไหวต่อค่า Spread และ Slippage: เมื่อคุณเปิด ขนาดคำสั่ง ใหญ่ขึ้นโดยใช้ เลเวอเรจ ผลกระทบจาก ค่า Spread (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย) และ Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคาที่คาดหวังกับราคาที่ได้จริง) ก็จะใหญ่ขึ้นตามไปด้วย การขาดทุนเบื้องต้นจาก ค่า Spread เมื่อเปิดสถานะจะมากขึ้น และหากเกิด Slippage ในช่วงข่าวสำคัญหรือตลาดผันผวน ผลกระทบต่อบัญชีของคุณก็จะรุนแรงขึ้นเช่นกัน

ดังนั้น แม้ เลเวอเรจ จะมีข้อดี แต่การใช้มันโดยไม่เข้าใจความเสี่ยงอย่างถ่องแท้และไม่มี การบริหารความเสี่ยง ที่ดี ก็เหมือนการเล่นกับไฟครับ

ตัวอย่างการใช้งานและการคำนวณเลเวอเรจในสถานการณ์จริง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาดูตัวอย่างการเทรดโดยใช้ เลเวอเรจ ในสถานการณ์ต่างๆ กันครับ

ตัวอย่างที่ 1: การเทรดปกติด้วยเลเวอเรจปานกลาง

คุณมีเงินทุนในบัญชี 5,000 USD และเลือกใช้ เลเวอเรจ 1:200

คุณตัดสินใจเปิดคำสั่งซื้อ 0.2 Standard Lot (20,000 Units) ของคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.2500

มูลค่าสัญญา = 20,000 GBP

Required Margin = (20,000 GBP / 200) * 1.2500 (อัตราแลกเปลี่ยน GBP/USD)

Required Margin = 100 * 1.2500 = 125 USD

คุณต้องใช้เงิน มาร์จิ้น ล็อกไว้ 125 USD

Free Margin ของคุณเริ่มต้นที่ 5,000 – 125 = 4,875 USD

สมมติราคา GBP/USD เคลื่อนไหวขึ้น 50 Pip เป็น 1.2550

กำไรต่อ Pip สำหรับ 0.2 Standard Lot คือ (20,000 Units * 0.0001) = 2 USD ต่อ Pip

กำไรทั้งหมด = 50 Pip * 2 USD/Pip = 100 USD

ยอดคงเหลือ (Balance) ใหม่ของคุณ = 5,000 + 100 = 5,100 USD

หากราคาเคลื่อนไหวลง 50 Pip เป็น 1.2450

ขาดทุนทั้งหมด = 50 Pip * 2 USD/Pip = 100 USD

ยอดคงเหลือ (Balance) ใหม่ของคุณ = 5,000 – 100 = 4,900 USD

ในตัวอย่างนี้ การใช้ เลเวอเรจ 1:200 ทำให้คุณสามารถเปิดคำสั่งขนาด 0.2 Standard Lot ได้โดยใช้เงิน มาร์จิ้น เพียงเล็กน้อย และการเคลื่อนไหวของราคา 50 Pip ส่งผลต่อบัญชีของคุณ 100 USD ซึ่งเป็นจำนวน 2% ของเงินทุนเริ่มต้น (100/5000 * 100%) หากคุณไม่มี เลเวอเรจ และเทรด 0.2 Standard Lot จริงๆ คุณต้องใช้เงิน 20,000 GBP (หรือประมาณ 25,000 USD) และการเคลื่อนไหว 50 Pip จะส่งผลเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินทุนก้อนใหญ่

ตัวอย่างที่ 2: การเทรดด้วยเลเวอเรจสูงและความเสี่ยง Overtrade

คุณมีเงินทุนในบัญชี 1,000 USD และเลือกใช้ เลเวอเรจ 1:500

คุณตัดสินใจเปิดคำสั่งซื้อ 1 Standard Lot (100,000 Units) ของ EUR/USD ที่ราคา 1.1000 (นี่คือการ Overtrade เพราะ ขนาดคำสั่ง ใหญ่มากเมื่อเทียบกับเงินทุน)

มูลค่าสัญญา = 100,000 EUR

Required Margin = (100,000 EUR / 500) * 1.1000 (อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD)

Required Margin = 200 * 1.1000 = 220 USD

คุณต้องใช้เงิน มาร์จิ้น ล็อกไว้ 220 USD

Free Margin ของคุณเริ่มต้นที่ 1,000 – 220 = 780 USD

สมมติราคา EUR/USD เคลื่อนไหวลงเพียง 20 Pip จาก 1.1000 เป็น 1.0980 (เป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยในตลาด Forex)

ขาดทุนต่อ Pip สำหรับ 1 Standard Lot คือ 10 USD ต่อ Pip

ขาดทุนทั้งหมด = 20 Pip * 10 USD/Pip = 200 USD

ยอดคงเหลือ (Balance) ของคุณคือ 1,000 – 200 = 800 USD

Equity ของคุณ (ยอดคงเหลือ + กำไร/ขาดทุนลอยตัว) คือ 800 USD

มาร์จิ้นที่ถูกใช้ (Used Margin) ยังคงเป็น 220 USD (จนกว่าจะปิดสถานะ)

ระดับมาร์จิ้น (Margin Level) = (Equity / Used Margin) * 100% = (800 / 220) * 100% ≈ 363%

สมมติว่าโบรกเกอร์ของคุณมี Stop Out Level ที่ 50% หมายความว่าหาก Margin Level ลดลงถึง 50% ระบบจะปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติ

หากราคา EUR/USD เคลื่อนไหวสวนทางต่อไปอีกไม่กี่ Pip Equity ของคุณก็จะลดลงเรื่อยๆ และ Margin Level จะเข้าใกล้ 50% อย่างรวดเร็ว

หากราคาลดลงอีก 68 Pip (รวมเป็น 88 Pip จากจุดเข้า) ขาดทุนจะเท่ากับ 88 * 10 = 880 USD

Equity จะเหลือ 1000 – 880 = 120 USD

Margin Level = (120 / 220) * 100% ≈ 54.5% ซึ่งใกล้เคียงกับ Stop Out Level มาก และหากเคลื่อนไหวอีกนิดเดียว สถานะของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ คุณจะสูญเสียเงินทุนเกือบทั้งหมด

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้ เลเวอเรจ สูงและ Overtrade ทำให้บัญชีของคุณอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมาก การขาดทุนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขาย ก็สามารถทำให้เงินทุนของคุณหายไปจำนวนมากเมื่อเทียบกับยอดคงเหลือในบัญชีได้ทันที

การบริหารความเสี่ยงเมื่อใช้เลเวอเรจ: กุญแจสู่ความยั่งยืน

การใช้ เลเวอเรจ ไม่ได้ผิดครับ มันเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาด Forex และ CFD ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัว เลเวอเรจ แต่อยู่ที่ “วิธีการ” ที่เทรดเดอร์ใช้มันต่างหาก

กุญแจสำคัญในการใช้ เลเวอเรจ ให้ปลอดภัยและยั่งยืนคือ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดีและเข้มงวด ซึ่งรวมถึง:

  • การเลือกขนาดคำสั่ง (Lot Size) ที่เหมาะสม: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดครับ ไม่ว่าโบรกเกอร์จะให้ เลเวอเรจ คุณสูงแค่ไหน (เช่น 1:500, 1:1000 หรือแม้แต่ 1:2000) คุณไม่ควรใช้กำลังซื้อทั้งหมดที่ เลเวอเรจ นั้นมอบให้ คุณควรคำนวณ ขนาดคำสั่ง ที่เหมาะสมกับเงินทุนในบัญชีของคุณ โดยยึดหลักว่า “คุณยอมรับการขาดทุนได้กี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง” (เช่น 1-2% ต่อการเทรด) จากนั้นค่อยคำนวณกลับว่า ขนาดคำสั่ง สูงสุดที่คุณสามารถเปิดได้คือเท่าไหร่ เพื่อให้การขาดทุนสูงสุดที่คุณตั้งไว้ (เมื่อราคาไปถึงจุดตัดขาดทุนที่คุณกำหนด) ไม่เกินเปอร์เซ็นต์ที่คุณรับได้

  • การตั้ง Stop Loss เสมอ: เครื่องมือนี้คือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในตลาด Forex ครับ การตั้ง Stop Loss เป็นการกำหนดจุดสูงสุดที่คุณยอมรับการขาดทุนได้ หากราคาเคลื่อนไหวไปถึงจุดนั้น ระบบจะปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติ การใช้ Stop Loss ช่วยจำกัดความเสี่ยงของการขาดทุนก้อนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อใช้ เลเวอเรจ

  • ไม่ Overtrade: อย่างที่เราได้พูดถึงไปแล้ว การ Overtrade คือการเปิด ขนาดคำสั่ง ที่ใหญ่เกินตัว ซึ่งมักเกิดจากการใช้ เลเวอเรจ สูงโดยไม่ควบคุมวินัย จงคำนวณ ขนาดคำสั่ง อย่างรอบคอบเสมอ

  • มี Money Management ที่ดี: วางแผนว่าคุณจะใช้เงินทุนเท่าไหร่ในการเทรดแต่ละครั้ง ใช้ เลเวอเรจ ระดับใด และบริหารจัดการเงินทุนของคุณอย่างไรให้สามารถอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว

  • ทำความเข้าใจ Margin Level และ Stop Out Level: รู้ว่าโบรกเกอร์ของคุณมีกฎเกี่ยวกับ มาร์จิ้นคอล และ สต็อปเอาท์ อย่างไร และคอยตรวจสอบ Margin Level ในบัญชีของคุณอยู่เสมอ

หากคุณสามารถจัดการ ขนาดคำสั่ง และ ความเสี่ยง ได้อย่างมีวินัย คุณก็สามารถใช้ เลเวอเรจ ที่ค่อนข้างสูงได้โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเกินตัว แต่หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ การเริ่มต้นด้วย เลเวอเรจ ต่ำๆ จะปลอดภัยกว่าครับ

เลเวอเรจในสินทรัพย์อื่นๆ นอกจากคู่เงิน Forex

แนวคิดของ เลเวอเรจ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาด Forex เท่านั้นครับ การซื้อขายสินทรัพย์แบบ CFD (Contract for Difference) ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ (XAUUSD), น้ำมัน (Usoil), หุ้น (เช่น Apple) หรือแม้แต่ คริปโต (เช่น Bitcoin) ก็มักจะใช้ เลเวอเรจ ในการซื้อขายเช่นกัน

อัตราส่วน เลเวอเรจ สำหรับสินทรัพย์เหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ ความผันผวน และนโยบายของโบรกเกอร์ ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ สำหรับ ทองคำ หรือดัชนีหุ้น อาจจะน้อยกว่า เลเวอเรจ สำหรับคู่สกุลเงินหลัก ในขณะที่ คริปโต ซึ่งมีความผันผวนสูงมาก มักจะมีอัตราส่วน เลเวอเรจ ที่จำกัดกว่ามาก

วิธีการทำงานของ เลเวอเรจ และความสัมพันธ์กับ มาร์จิ้น ยังคงเป็นหลักการเดียวกัน เพียงแต่สูตรการคำนวณ Required Margin อาจจะแตกต่างไปตามหน่วยของสัญญา (Contract Size) ของสินทรัพย์นั้นๆ

การทำความเข้าใจ เลเวอเรจ ในตลาด Forex จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่ดีในการทำความเข้าใจและจัดการ ความเสี่ยง เมื่อเทรดสินทรัพย์อื่นๆ ที่มี เลเวอเรจ ได้ครับ ไม่ว่าคุณจะเทรดอะไร การบริหาร ขนาดคำสั่ง และการตั้ง Stop Loss ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

ข้อกำหนดด้านเลเวอเรจของโบรกเกอร์และหน่วยงานกำกับดูแล

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เลเวอเรจ คือข้อจำกัดที่อาจมาจากโบรกเกอร์เอง หรือจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินในประเทศที่โบรกเกอร์นั้นได้รับใบอนุญาต

หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีกฎระเบียบเข้มงวด เช่น สหภาพยุโรป (ภายใต้ MiFID II ของ ESMA) หรือออสเตรเลีย (ภายใต้ ASIC) ได้กำหนดข้อจำกัดสูงสุดของอัตราส่วน เลเวอเรจ ที่โบรกเกอร์สามารถเสนอให้กับลูกค้ารายย่อยสำหรับการเทรด CFD ต่างๆ เพื่อเป็นการปกป้องเทรดเดอร์ โดยเฉพาะมือใหม่ จาก ความเสี่ยง ที่มากเกินไป

ประเภทสินทรัพย์ สูงสุดที่อนุญาตโดยหน่วยงาน
คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) 1:30
คู่สกุลเงินรอง, ทองคำ และดัชนีหลัก 1:20
สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ และดัชนีรอง 1:10
หุ้น 1:5
คริปโต 1:2

อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์บางแห่งที่จดทะเบียนในเขตอำนาจศาลที่ไม่ได้มีข้อจำกัดเข้มงวดเท่า (เช่น บางประเทศในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา หรือแคริบเบียน) อาจยังคงเสนอ เลเวอเรจ ที่สูงมากให้กับลูกค้ารายย่อยได้ เช่น 1:500, 1:1000 หรือมากกว่านั้น

หากคุณเลือกโบรกเกอร์ที่เสนอ เลเวอเรจ สูง คุณต้องเข้าใจว่านี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจำเป็นต้องใช้ เลเวอเรจ ในระดับนั้นจริงๆ คุณยังคงสามารถเลือกใช้ เลเวอเรจ ในระดับที่ต่ำกว่าได้ เพียงแค่เปิด ขนาดคำสั่ง ที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับกำลังซื้อสูงสุดที่โบรกเกอร์ให้มา

ในทางกลับกัน หากคุณเทรดกับโบรกเกอร์ที่อยู่ในเขตกำกับดูแลที่จำกัด เลเวอเรจ สูงสุด คุณก็ต้องปรับกลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง และความคาดหวังของคุณให้สอดคล้องกับข้อจำกัดนั้นครับ

หากคุณกำลังพิจารณาโบรกเกอร์ที่มีตัวเลือก เลเวอเรจ ที่ยืดหยุ่นและหลากหลายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับกลยุทธ์และความเสี่ยงที่คุณรับได้ รวมถึงการกำกับดูแลที่เชื่อถือได้เพื่อความปลอดภัยของเงินทุน

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่เสนอตัวเลือก เลเวอเรจ ที่หลากหลาย รวมถึงแพลตฟอร์มการเทรดที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ

หากคุณกำลังพิจารณาโบรกเกอร์ที่ให้ความยืดหยุ่นในระดับ เลเวอเรจ ที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ พร้อมทั้งเครื่องมือสนับสนุนการเทรดที่ครบครัน และมีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ

การเลือกโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลที่ดีและเข้าใจข้อกำหนดด้าน เลเวอเรจ ของพวกเขาถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผน การบริหารความเสี่ยง ที่ครอบคลุมครับ

Indicator หรือเครื่องมือช่วยในการจัดการเลเวอเรจ

บนแพลตฟอร์มการเทรดอย่าง MetaTrader 4 (MT4) หรือ MT5 ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ เลเวอเรจ และ มาร์จิ้น จะแสดงอยู่ในส่วน “Trade” หรือ “Terminal” ของหน้าต่างแพลตฟอร์ม ซึ่งคุณจะเห็นข้อมูลต่างๆ เช่น:

  • Balance: ยอดเงินทั้งหมดในบัญชีของคุณ (หลังปิดสถานะทั้งหมดแล้ว)
  • Equity: ยอดเงินปัจจุบันในบัญชีของคุณ ซึ่งรวมถึงกำไรหรือขาดทุนลอยตัวจากสถานะที่เปิดอยู่ (Balance + กำไรลอยตัว – ขาดทุนลอยตัว)
  • Margin: หรือ Used Margin คือจำนวนเงิน มาร์จิ้น ที่ถูกล็อกไว้สำหรับสถานะที่เปิดอยู่
  • Free Margin: หรือ Usable Margin คือยอดเงินที่เหลือในบัญชีของคุณที่สามารถใช้เพื่อเปิดสถานะใหม่หรือรองรับการขาดทุนได้ (Equity – Used Margin)
  • Margin Level: ระดับ มาร์จิ้น ซึ่งคำนวณจาก (Equity / Used Margin) * 100% Indicator นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อ Margin Level ลดลงถึงระดับที่กำหนด (เช่น 100%) อาจเป็นสัญญาณ มาร์จิ้นคอล และหากลดลงถึงระดับ สต็อปเอาท์ (เช่น 50%) สถานะจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ

การติดตามค่าเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ Margin Level เป็นสิ่งสำคัญมากในการจัดการ ความเสี่ยง เมื่อใช้ เลเวอเรจ คุณควรตั้งเป้าที่จะรักษา Margin Level ให้อยู่ในระดับที่สูงพอสมควร เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดสถานะโดยไม่ตั้งใจ

นอกจากเครื่องมือพื้นฐานเหล่านี้ ยังมี Indicator หรือ Expert Advisor (EA) บางตัวที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยเทรดเดอร์ในการคำนวณ ขนาดคำสั่ง ที่เหมาะสมตามเปอร์เซ็นต์ ความเสี่ยง ที่ยอมรับได้ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้อาจรวมเอาการคำนวณ เลเวอเรจ และ มาร์จิ้น เข้ามาช่วยในการตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องมือช่วยหรือไม่ การทำความเข้าใจหลักการเบื้องหลังด้วยตัวเองยังคงสำคัญที่สุดครับ

สรุป: ใช้เลเวอเรจอย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างโอกาสในตลาด Forex

มาถึงตรงนี้ เราได้สำรวจทุกแง่มุมของ เลเวอเรจ Forex กันแล้วนะครับ เราได้เรียนรู้ว่ามันคือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อขายของเรา ทำให้สามารถเข้าถึง ขนาดคำสั่ง ที่ใหญ่ขึ้นได้โดยใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อยลง

เราได้เห็นว่า เลเวอเรจ มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับ มาร์จิ้นที่ต้องใช้ ยิ่ง เลเวอเรจ สูง ยิ่งใช้ มาร์จิ้น น้อย ทำให้ Free Margin เหลือเยอะ แต่ก็เพิ่ม ความเสี่ยง ในการขาดทุนอย่างทวีคูณ และเพิ่มโอกาสในการเกิด มาร์จิ้นคอล หรือ สต็อปเอาท์

ข้อดีของ เลเวอเรจ คือโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น การใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้น แต่ข้อเสียคือ ความเสี่ยง ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และการกระตุ้นให้เกิดการ Overtrade

สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ เลเวอเรจ คือ การบริหารความเสี่ยง จงเลือก ขนาดคำสั่ง ที่เหมาะสมกับเงินทุนที่คุณรับ ความเสี่ยง ได้เสมอ ไม่ว่า เลเวอเรจ ที่โบรกเกอร์ให้มาจะสูงแค่ไหนก็ตาม จงตั้ง Stop Loss และมีวินัยในแผน Money Management ของคุณ

การเลือก เลเวอเรจ ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือส่วนหนึ่งของการวางแผน การบริหารความเสี่ยง ที่รอบคอบครับ สำหรับ เทรดเดอร์มือใหม่ การเริ่มต้นด้วย เลเวอเรจ ต่ำๆ เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด

จำไว้เสมอว่า เลเวอเรจ คือเครื่องมือ ไม่ใช่ทางลัดสู่ความร่ำรวย มันสามารถช่วยให้คุณสร้างโอกาสที่ดีในตลาด Forex ได้ หากคุณใช้งานมันด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง การวางแผนที่ดี และ การบริหารความเสี่ยง ที่เข้มงวดครับ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการเดินทางในโลกของ Forex นะครับ!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเวอเรจ forex คือ

Q:เลเวอเรจคืออะไร?

A:เลเวอเรจคือตัวช่วยที่ทำให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้นโดยใช้เงินทุนที่น้อยกว่า

Q:มีความเสี่ยงอะไรกับการใช้เลเวอเรจ?

A:มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงขึ้น และอาจนำไปสู่การมาร์จิ้นคอลหรือสต็อปเอาท์ได้

Q:ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์จิ้นและเลเวอเรจเป็นอย่างไร?

A:ความสัมพันธ์เป็นแบบผกผัน ยิ่งเลเวอเรจสูง มาร์จิ้นที่ต้องใช้จะต่ำลง

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *