2 ล้านผู้กู้สินเชื่อนักเรียนสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญวิกฤตถูกหักค่าจ้าง: สัญญาณเตือนสุขภาพทางการเงิน
ในโลกของการเงินและการลงทุน ตัวเลขจำนวนมากมักบอกเล่าเรื่องราวสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีตัวเลขหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นพูดคุยอย่างมากในสหรัฐอเมริกา นั่นคือตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับผู้กู้สินเชื่อนักเรียนเกือบ 2 ล้าน คน ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงสูงที่จะถูกหักค่าจ้างในอนาคตอันใกล้ สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาหนี้สินส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของผู้คนจำนวนมาก และอาจมีนัยยะที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกของการลงทุนด้วย
เราจะพาคุณไปเจาะลึกว่าตัวเลข 2 ล้าน คนนี้มีความหมายอย่างไร เหตุใดพวกเขาจึงตกอยู่ในความเสี่ยงนี้ และสถานการณ์นี้เชื่อมโยงกับปัจจัยทางเศรษฐกิจและนโยบายอย่างไรบ้าง
การเงินที่ไม่มั่นคงในระดับบุคคลอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ดังนี้:
- ทำให้เกิดการบริโภคที่ลดลง จากการที่ผู้กู้ไม่มีเงินพอที่จะใช้จ่าย
- สร้างภาระให้กับระบบสังคมในการช่วยเหลือผู้ที่มีหนี้สิน
- เพิ่มความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้และทำให้เกิดปัญหาหนี้นอกระบบ
ภาพรวมหนี้สินเชื่อนักเรียนสหรัฐฯ: ภาระที่หนักอึ้ง
ก่อนที่เราจะพูดถึงกลุ่มผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง เรามาทำความเข้าใจภาพรวมกันก่อนครับ สหรัฐอเมริกามีผู้กู้สินเชื่อนักเรียนรัฐบาลกลางประมาณ 42 ล้าน คน และมียอดหนี้รวมกันมากกว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ นี่คือตัวเลขที่ใหญ่มาก สะท้อนว่าค่าเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษากลายเป็นภาระทางการเงินที่สำคัญสำหรับคนหลายสิบล้านคน
ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด-19 รัฐบาลกลางได้ออกมาตรการพักชำระหนี้สินเชื่อนักเรียน ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้กู้มาเป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อมาตรการนี้สิ้นสุดลง การกลับมาเริ่มต้นชำระหนี้อีกครั้งได้สร้างความท้าทายอย่างมากสำหรับผู้กู้จำนวนไม่น้อย
เส้นทางสู่การผิดนัดชำระหนี้: 90 วัน สู่ 270 วัน
ทำความเข้าใจกระบวนการทางเทคนิคเล็กน้อยครับ เมื่อผู้กู้ไม่ชำระเงินกู้ตามกำหนด จะเข้าสู่สถานะต่างๆ ที่เรียกว่าการค้างชำระ (Delinquency) และการผิดนัดชำระหนี้ (Default)
-
ค้างชำระ (Delinquency): หากคุณไม่จ่ายเงินกู้เป็นเวลา 90 วัน คุณจะถูกจัดว่าอยู่ในสถานะค้างชำระ ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกรายงานไปยังหน่วยงานรายงานเครดิตอย่าง ทรานส์ยูเนียน และส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตของคุณทันที
-
ผิดนัดชำระหนี้ (Default): หากการค้างชำระดำเนินต่อไปจนครบ 270 วัน สถานการณ์จะรุนแรงขึ้น คุณจะเข้าสู่สถานะผิดนัดชำระหนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งนำมาซึ่งผลกระทบที่รุนแรงกว่ามาก
ข้อมูลล่าสุดจาก ทรานส์ยูเนียน ชี้ให้เห็นว่ามีผู้กู้จำนวนมากที่กำลังอยู่ในเส้นทางนี้ และนั่นคือที่มาของความกังวลสำหรับผู้กู้เกือบ 2 ล้าน คน
ใครบ้างที่เสี่ยงถูกหักค่าจ้างในเดือนกรกฎาคมนี้?
ประเด็น “$2 ล้าน” ที่เป็นหัวใจของข้อมูลนี้ มาจากผู้กู้ประมาณหนึ่งในสามของผู้กู้ประมาณ 6 ล้านคน ที่ค้างชำระหนี้สินเชื่อนักเรียนอย่างน้อย 90 วัน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนที่ผ่านมา หากผู้กู้กลุ่มนี้ยังคงไม่ชำระหนี้ต่อไป พวกเขาจะครบกำหนด 270 วันของการค้างชำระในราวเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะทำให้พวกเขาเข้าสู่สถานะ ผิดนัดชำระหนี้ (Default)
เมื่อสินเชื่อนักเรียนรัฐบาลกลางผิดนัดชำระหนี้ รัฐบาลมีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการต่างๆ เพื่อเรียกเก็บหนี้คืน ซึ่งรวมถึง:
-
การส่งเรื่องไปยังฝ่ายเรียกเก็บหนี้
-
การ หักค่าจ้าง ของผู้กู้โดยตรงจากนายจ้าง (Wage Garnishment)
-
การนำเงินจากสวัสดิการสังคมหรือเงินคืนภาษีที่ผู้กู้พึงได้รับไปชำระหนี้
นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและกระทบโดยตรงกับรายได้ในแตละเดือนของผู้กู้ ทำให้ตัวเลขเกือบ 2 ล้านคน ที่เสี่ยงถูกหักค่าจ้างนี้เป็นประเด็นที่น่าจับตาเป็นพิเศษ
ผลกระทบต่อคะแนนเครดิต: มากกว่าแค่ตัวเลข
การค้างชำระหนี้สินเชื่อนักเรียนไม่ได้นำไปสู่ความเสี่ยงในการถูกหักค่าจ้างเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ คะแนนเครดิต ของคุณด้วย ข้อมูลจาก ทรานส์ยูเนียน ระบุว่าผู้กู้ที่เพิ่งเริ่มค้างชำระในเดือนล่าสุดมีคะแนนเครดิตลดลงโดยเฉลี่ยถึง 60 คะแนน
คุณอาจคิดว่าปัญหาค้างชำระนี้เกิดกับผู้ที่มีประวัติเครดิตไม่ดีอยู่แล้ว แต่ข้อมูลกลับชี้ให้เห็นว่าประมาณหนึ่งในห้าของผู้กู้ที่ค้างชำระใหม่เหล่านี้ มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งอยู่ในกลุ่ม Prime หรือสูงกว่า นั่นหมายความว่า สถานการณ์นี้กำลังส่งผลกระทบต่อผู้กู้ทุกระดับความเสี่ยงเครดิต แม้ในช่วงเวลาที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ดูเหมือนจะสามารถบริหารจัดการหนี้ประเภทอื่นๆ ได้ดีก็ตาม
การมีคะแนนเครดิตที่ลดลงอย่างรวดเร็วนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการกู้ยืมเงินในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ หรือแม้แต่บัตรเครดิตใหม่ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มความท้าทายทางการเงินให้กับผู้กู้เหล่านี้ในระยะยาว
เบื้องหลังนโยบาย: ต้นตอของปัญหาปัจจุบัน?
สถานการณ์ที่เราเห็นในวันนี้มีรากฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับรัฐบาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
-
รัฐบาลทรัมป์ได้เริ่มมาตรการพักชำระหนี้สินเชื่อนักเรียนรัฐบาลกลางตั้งแต่ช่วงต้นของการระบาดใหญ่ในปี 2020
-
มาตรการนี้ได้รับการขยายเวลาออกไปหลายครั้ง จนกระทั่งรัฐบาลไบเดนประกาศยกเลิกการพักชำระในฤดูใบไม้ร่วงปี 2023
-
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไบเดนได้ประกาศ “โมราทอเรียม” หรือช่วงผ่อนปรนพิเศษเป็นเวลา 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ในช่วงเวลานี้ การชำระเงินที่ล่าช้าจะไม่ถูกนับว่าเป็นการค้างชำระต่อหน่วยงานรายงานเครดิต แต่ดอกเบี้ยจะยังคงเดินต่อไป
มาตรการโมราทอเรียม 12 เดือนนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญ เมื่อมันสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2024 การไม่ชำระเงินจะกลับมาถูกนับว่าเป็นการค้างชำระตามปกติ และเมื่อเวลาผ่านไป 270 วันนับจากนั้น (ประมาณเดือนกรกฎาคม 2025 หากนับจากเดือนตุลาคม 2024 – *หมายเหตุ: ข้อมูลในแหล่งเดิมระบุผู้ที่ค้างชำระ ก.พ.-เม.ย. 2024 เสี่ยงผิดนัด ก.ค. 2024 ซึ่งหมายความว่าการนับ 270 วันเริ่มจากก่อน ต.ค. 2023 หรือการนับ 90 วันแรกเริ่มหลัง ต.ค. 2023)* การผิดนัดชำระก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ผู้กู้ 2 ล้านคน นี้มีความเสี่ยงสูงสุด
คุณจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แม้จะมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือผู้กู้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เมื่อมาตรการเหล่านั้นสิ้นสุดลง ก็สามารถสร้างคลื่นของปัญหาลูกใหม่ขึ้นมาได้เช่นกัน
จุดสิ้นสุดของโมราทอเรียม: เมื่อการนับถอยหลังเริ่มขึ้น
อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้น ช่วงโมราทอเรียม 12 เดือนที่เริ่มในเดือนตุลาคม 2023 เป็นเหมือน “ทางลาด” ให้ผู้กู้กลับมาตั้งหลักและเริ่มชำระหนี้อีกครั้ง ในช่วงนี้ แม้คุณจะพลาดการชำระหนี้ คุณจะไม่ถูกรายงานว่าค้างชำระต่อหน่วยงานเครดิต แต่เมื่อโมราทอเรียมนี้สิ้นสุดลง กระบวนการเดิมก่อนโรคระบาดก็จะกลับมาใช้เต็มรูปแบบ
ผู้กู้ที่ยังไม่ได้กลับมาเริ่มชำระหนี้หรือกำลังประสบปัญหาในการชำระ จึงเข้าสู่สถานะค้างชำระ 90 วัน และกำลังมุ่งหน้าสู่การผิดนัดชำระ 270 วันอย่างรวดเร็ว ตัวเลข 6 ล้านคน ที่ค้างชำระ 90 วันขึ้นไปในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าผู้กู้จำนวนมากยังคงเผชิญความยากลำบากในการกลับมาบริหารจัดการหนี้สินเชื่อนักเรียนของตน และหนึ่งในสามของกลุ่มนี้ หรือประมาณ 2 ล้านคน คือกลุ่มที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูงสุดในขณะนี้
เมื่อหนี้ผิดนัดชำระ: ผลกระทบที่ต้องเผชิญ
สำหรับผู้กู้ที่เข้าสู่สถานะผิดนัดชำระหนี้ ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงและกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก
-
การหักค่าจ้าง (Wage Garnishment): รัฐบาลมีอำนาจในการออกคำสั่งให้ให้นายจ้างหักเงินส่วนหนึ่งจากค่าจ้างของคุณโดยตรงเพื่อนำไปชำระหนี้ ซึ่งอาจมากถึง 15% ของรายได้ที่ใช้แล้วของคุณ
-
การหักเงินจากสวัสดิการสังคมหรือเงินคืนภาษี: เงินสวัสดิการสังคมที่คุณพึงได้รับ หรือเงินคืนภาษีประจำปี อาจถูกรัฐบาลนำไปหักเพื่อชำระหนี้ที่ผิดนัด
-
ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น: ยอดหนี้ของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยที่ยังคงสะสม
-
ผลกระทบต่อคะแนนเครดิต: การผิดนัดชำระหนี้จะปรากฏในรายงานเครดิตของคุณเป็นเวลานาน (ปกติ 7 ปี) ซึ่งทำให้การเข้าถึงสินเชื่อในอนาคตเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง
นี่คือภาพสะท้อนของความเปราะบางทางการเงินที่ผู้กู้เกือบ 2 ล้านคน กำลังเผชิญ และเป็นสิ่งที่เราในฐานะผู้ที่สนใจเรื่องการเงินไม่ควรมองข้าม
นัยยะทางเศรษฐกิจมหภาคที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่านี่จะเป็นปัญหาที่เริ่มต้นจากหนี้สินเชื่อนักเรียน แต่สถานการณ์ของผู้กู้จำนวนมากที่ต้องเผชิญการถูกหักค่าจ้างนี้ อาจมีนัยยะที่กว้างขวางกว่านั้น
-
การบริโภคที่ลดลง: เมื่อรายได้ส่วนหนึ่งถูกหักเพื่อชำระหนี้ ผู้กู้เหล่านี้จะมีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายในสินค้าและบริการน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการบริโภคโดยรวม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ
-
ความตึงเครียดทางการเงินของครัวเรือน: การถูกหักค่าจ้างเพิ่มความตึงเครียดทางการเงินให้กับครัวเรือนที่อาจมีภาระหนี้อื่นๆ อยู่แล้ว (เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้รถยนต์) ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการชำระหนี้ประเภทอื่นๆ ตามมา
-
ความเชื่อมั่นผู้บริโภค: ความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและหนี้สินอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจจับจ่ายใช้สอยและการลงทุน
สำหรับนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ การทำความเข้าใจสถานการณ์เหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของสุขภาพเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น แม้ว่านี่จะเป็นประเด็นที่เน้นไปที่สหรัฐฯ แต่ในโลกที่เชื่อมถึงกัน ปัญหาหนี้สินในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกได้
ทางออกสำหรับผู้กู้ที่กำลังเผชิญความเสี่ยง
หากคุณหรือคนรู้จักกำลังเผชิญสถานการณ์นี้ สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าเพิกเฉย มีทางเลือกและโครงการช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางที่คุณสามารถพิจารณาได้:
-
แผนการชำระหนี้ตามรายได้ (Income-Driven Repayment – IDR): แผนเหล่านี้จะปรับยอดผ่อนชำระรายเดือนของคุณให้สอดคล้องกับรายได้และขนาดครัวเรือน ทำให้การชำระหนี้ทำได้ง่ายขึ้น
-
การรวมหนี้ (Consolidation): การรวมหนี้สินเชื่อนักเรียนหลายก้อนเป็นก้อนเดียว อาจช่วยลดความสับสนในการบริหารจัดการและอาจนำไปสู่ยอดผ่อนชำระรายเดือนที่ลดลง (แต่ดอกเบี้ยรวมอาจสูงขึ้นในระยะยาว)
-
การติดต่อผู้ให้บริการสินเชื่อ (Loan Servicer): ติดต่อผู้ให้บริการสินเชื่อของคุณโดยตรงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ หรือขอผ่อนปรนชั่วคราว
-
การขอคำปรึกษาทางการเงิน: หน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรหลายแห่งให้คำปรึกษาฟรีเกี่ยวกับวิธีการบริหารจัดการหนี้สินเชื่อนักเรียน
การดำเนินการเชิงรุกและทันท่วงที เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการหลีกเลี่ยงการเข้าสู่สถานะผิดนัดชำระหนี้ และลดผลกระทบที่จะตามมา
ความสำคัญของการวางแผนทางการเงินและทางเลือกการลงทุน
สถานการณ์หนี้สินเชื่อนักเรียนนี้ย้ำเตือนเราถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินที่ดี ไม่เพียงแต่การจัดการหนี้ที่มีอยู่ แต่ยังรวมถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวด้วย การมีความรู้ด้านการเงินและการลงทุนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่จะช่วยให้คุณรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่งคั่งได้
ถ้าคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นทำการเทรดหรือมองหาแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายสินค้าหลากหลายประเภท Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจพิจารณา มันมาจากออสเตรเลีย และมีเครื่องมือทางการเงินให้เลือกมากกว่า 1,000 รายการ ซึ่งเหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์
บทสรุป: วิกฤตหนี้สินที่ต้องเฝ้าระวัง
ตัวเลข 2 ล้าน ผู้กู้สินเชื่อนักเรียนสหรัฐฯ ที่เสี่ยงต่อการถูกหักค่าจ้างในเดือนกรกฎาคมนี้ เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญเกี่ยวกับสุขภาพทางการเงินของผู้คนจำนวนมากในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก สถานการณ์นี้เป็นผลรวมของการตัดสินใจกู้ยืม ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล
ในฐานะผู้ที่อยู่ในโลกของการเงิน การทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดได้ชัดเจนขึ้น และสำหรับแต่ละบุคคล มันย้ำเตือนเราว่าการวางแผนทางการเงินที่ดี การบริหารจัดการหนี้อย่างรอบคอบ และการมีความรู้ด้านการลงทุน คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวคุณเอง เราหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ดียิ่งขึ้นครับ
สถานะหนี้ | ระยะเวลา | ผลกระทบ |
---|---|---|
ค้างชำระ (Delinquency) | 90 วัน | ส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิต |
ผิดนัดชำระหนี้ (Default) | 270 วัน | เข้าสู่สถานะผิดนัด มีผลกระทบทางการเงินรุนแรง |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ2 million
Q:ผู้กู้ที่ค้างชำระมีทางเลือกอะไรบ้าง?
A:ผู้กู้อาจพิจารณาการชำระหนี้ตามรายได้ การรวมหนี้ หรือขอคำปรึกษาทางการเงินจากหน่วยงานที่เชี่ยวชาญ
Q:เงินที่ถูกหักจากค่าจ้างจะเป็นจำนวนเท่าไหร่?
A:รัฐบาลสามารถหักเงินได้สูงสุดถึง 15% ของรายได้ที่ใช้แล้วของผู้กู้
Q:ผลกระทบของหนี้ผิดนัดชำระมีอะไรบ้าง?
A:ผู้กู้จะเผชิญกับค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น คะแนนเครดิตที่ลดลง และอาจมีความยากลำบากในการเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต